...นี่เราพูดถึงเรื่องเมตตานะ มันก็เลยต่อมาๆ ที่ว่ามันไหลซอกแซกซิกแซ็ก มันเป็นเองนะ ค่อยเป็นค่อยไป เป็นเอง มองไปที่ไหนมันมีแต่ความจนตรอกจนมุมของโลก หาความสมบูรณ์พูนผลไม่มีมันเป็นยังไง มันหากเป็นของมันเอง โลกกว้างแสนกว้างแทนที่จะเต็มไปด้วยความสุขความเจริญ กลับกลายเป็นฟืนเป็นไฟ โลกเลยกลายเป็นเชื้อไฟ ไฟเผาโลกคือความทุกข์ความทรมานเผาหัวใจสัตว์ มันเลยกลายเป็นอย่างนั้นเสีย ทีนี้ก็ดิ้นรนกระวนกระวายหาความช่วยเหลือ หาผู้ช่วยเหลือ ใครมีเมตตามีอรรถมีธรรมก็ช่วยเหลือกันไปๆ อย่างนี้แหละ
พระพุทธเจ้าจึงได้ยกว่าทานเป็นอันดับหนึ่งในโลกที่อยู่ร่วมกัน ไม่มีทานอยู่ไม่ได้ แม้ที่สุดพ่อกับแม่กับลูกแตกกัน ท่านว่าอย่างนั้นนะในธรรมมี ทานเป็นของสำคัญมาก เป็นพื้นฐานที่โลกอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าสัตว์ไม่ว่าบุคคลมีทานเป็นพื้นฐานทั้งนั้น เราคิดดูซิอย่างปลวกอย่างมด เขาหาอะไรๆ มาได้มาเลี้ยงดูกันในรังของเขา นั่นตั้งแต่สัตว์มันก็ยังมีทานมีการเสียสละ เพราะฉะนั้นทานจึงเป็นพื้นฐานของธรรมทั้งหลาย กระจายออกๆ นี่พูดถึงการช่วยโลก แต่ก่อนก็ไม่เคยคิดว่าจิตดวงนี้มันจะเป็นอย่างนั้นๆ ไม่ได้เป็นด้วยความเสกสรรนะ
เรื่องความสงสารที่ให้ที่นั่นที่นี่ ไม่ได้เป็นด้วยความเสกสรร มันหากเป็นขึ้นในจิตเอง แต่ก่อนมันไม่เคยมี เวลามีแล้วมันก็แสดงขึ้นมามากน้อยๆ ออกละที่นี่ เวลากำจัดความหิวโหย ความเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวเหล่านี้ออกไปๆ ความอิ่มพอหนุนเข้ามาๆ ด้วยการสร้างความดี ทีนี้พอ นั่นถึงขั้นพอได้ การสร้างความดีพอได้ การสร้างความชั่วไม่พอ ได้เท่าไรไม่พอ ไม่มีอะไรพอคือกิเลสสร้างกองทุกข์บนหัวใจคน ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา กิเลสทั้งนั้นสร้างตัวเองขึ้นมาใส่หัวใจสัตว์ สัตว์ทั้งหลายจึงดิ้นรนกระวนกระวายหาความพอไม่ได้ เพราะความหิวโหยเผาเอาๆ
เอาธรรมเป็นน้ำดับไฟชะล้างลงไปๆ ความดีงามมีมากเท่าไรแล้วมองเห็นเราและมองเห็นเขา มองเห็นความจำเป็นของเรา มองเห็นความจำเป็นของโลก ดูไปๆ ทีนี้การเสียสละออกมาเองๆ เรื่อยกระจายไปหมด นั่นละออกจากเมตตาธรรมเป็นความเสียสละๆ ทีนี้เวลาบำเพ็ญพอ ที่ตะเกียกตะกายมาก็ไม่เคยคิดว่าจะพอไม่พออะไร แต่หากทำไปตามภาสีภาษาภายในใจ บำเพ็ญไปอย่างนั้นแหละ ทีนี้ดำเนินเข้าไป ความแปลกประหลาดความอัศจรรย์ ความดื่มด่ำภายในจิตนี้หากเป็นขึ้นมาในตัวๆ เพราะความเพียรอันเป็นต้นเหตุหนุนในทางดีขึ้นมา ก็จ้าขึ้นมาๆ ฟาดเสียผึงทีเดียว นิพพานคือพอเห็นไหมล่ะ กิเลสคือพอไม่มี กิเลสตัวสั่งสม นิพพานตัวกำจัดสิ่งหิวโหยทั้งหลายเหล่านี้ออกจากใจ
...เรื่องท่านปัญญานี่ก็จัดการอะไรเรียบร้อยหมดแล้ว อัฐิธาตุของท่านก็มอบให้พระท่านแจกกันไปกราบไหว้บูชา อัฐิธาตุของพระดีคนดี เป็นสิริมงคลแก่ผู้รับไป ธรรมดากระดูกนี้ไม่มีใครกลัวยิ่งกว่ากลัวผี กระดูกเข้าไปป่าช้านี้กลัว กลัวกระดูกนั่นแหละเข้าใจไหม เป็นผีเป็นตัวเสนียดจัญไร แต่พอกระดูกของท่านผู้มีบุญมีคุณกลายเป็นกระดูกที่เลิศที่เลอ ไม่มีใครกลัว มีแต่อยากได้ทั้งนั้น นี่มันกลับกันนะ พากันจำเอา วันนี้พูดเท่านั้นละ พูดวันละเล็กละน้อยไม่พูดมาก เหนื่อย
ต่อจากนี้ไปก็จะให้พร ให้พรแล้วเราก็ไปของเรา เอาของไปแจกทาน แจกตามโรงพยาบาล แจกตามวัด แจกไปเรื่อย พูดถึงเรื่องทาน ท่านสาธกไว้อย่างชัดเจนมากก็คือ เช่นอย่างพระสีวลี ไปที่ไหนเกลื่อนกล่นด้วยจตุปัจจัยไทยทาน ถึงขนาดพระพุทธเจ้าทรงประกาศเกียรติคุณของท่านผู้ให้ทาน เช่น พระสีวลีนี่นักให้ทาน พระเรวัตตะน้องชายของพระสารีบุตรท่านก็เป็นพระอรหันต์ ท่านอยู่ในป่าลึก พระองค์รับสั่งว่า นี่เราจะไปเยี่ยมพระเรวัตตะ พระอานนท์ก็มากราบทูลวิงวอนขออย่าให้ไป ว่าที่อัตคัดขัดสนมาก ไปมาลำบากลำบน แล้วพระองค์จะเสด็จไปยังไง
พระองค์ยกพระคุณของพระสีวลีขึ้นมา โห เราลำบากเราอดอยากก็ต้องอาศัยพระสีวลีซิ เอาพระสีวลีไปด้วย พระองค์ทรงเลิศขนาดไหนพระองค์ไม่เกี่ยวกับพระองค์ ยกพระสีวลีลูกศิษย์ตถาคตขึ้นบนหัวพ่อเลย เอาพระสีวลีไปด้วย นั่นละอำนาจแห่งทาน คือไปที่ไหนหากเป็นอยู่ในจิต จิตนี้เป็นแม่เหล็ก แม่เหล็กทั้งฝ่ายชั่วฝ่ายดี ไปทางความชั่วเป็นแม่เหล็กทางชั่ว คนดีเข้ามาหาไม่ได้ ถ้าคนชั่วติดทันทีๆ ทีนี้คนดีมาติดความดี เป็นแม่เหล็กอันหนึ่งติด ท่านแสดงไว้ในตำรา เวลาดูพื้นฐานดั้งเดิมของท่านพระสีวลี โอ๋ ก็น่าร่ำลือ ท่านทำจนร่ำลือว่างั้นเถอะ ทีนี้เวลาผลปรากฏขึ้นมาพระสีวลีเอียงไปไหนไม่ได้ ไหลเข้ามา ก็ผลบุญผลทานของท่านทั้งนั้นไม่ใช่ของใคร ของท่านตามสนองท่าน เป็นอย่างนั้นละ
ผิดกับคนตระหนี่ถี่เหนียว คนตระหนี่ถี่เหนียวท่านก็มายกเป็นตัวอย่างไว้เหมือนกัน เพราะเป็นความจริงด้วยกัน คนตระหนี่ถี่เหนียวไปที่ไหนคับแคบตีบตัน ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคม เช่นอย่างเกิดมาเป็นคนขอทาน ไปเกิดในแม่ใด ลูกของแม่ใด เด็กคนนี้ไปเกิดในสถานที่ใดแม่นั้นอดอยากขาดแคลนลำบากลำบน อุ้มลูกไปขอทาน ไม่มีใครให้ทาน ถ้าวันไหนไม่เอาลูกไปแล้ววันนั้นเป็นธรรมดาๆ ขอทานได้ทั่วไป อัธยาศัยของมนุษย์มีการสงเคราะห์กันเป็นพื้นฐานมาดั้งเดิม ไม่ใช่พึ่งมามีวันนี้คืนนี้ มีมาดั้งเดิม ถ้าวันไหนลูกไปด้วย วันนั้นอดอยากทั้งแม่ทั้งลูก ถ้าวันไหนลูกไม่ได้ไปด้วย ไปขอทานลำพังตนได้มา นี่อำนาจแห่งความคับแคบตีบตันมันปิดกั้นไว้หมด นี่ท่านก็แสดงเอาไว้
แล้วก็มาถึงพระเราอีก นี้เอาในตำรามาพูดนะ ท่านเอาความจริงมาพูด คนที่ว่านี่แหละมาบวชเป็นพระ บิณฑบาตมาฉันไม่เคยอิ่ม จนร่ำลือไปหมด พระองค์นี้ไปไหนไปด้วยความอดอยาก ไปที่ไหนไม่เคยสมบูรณ์ ถ้าพระองค์นี้ไปไหนพระองค์อื่นพลอยอดอยากด้วย นั่นฟังซิ ร่ำลือไปหมดนะไม่ใช่ธรรมดา ไปที่ไหนๆ ลำบาก การทำบุญเขาทำอยู่ทั่วๆ ไป พระบิณฑบาตก็ไปเหมือนกัน ท่านก็ไปเหมือนกันกับเขา แต่กรรมของท่านกับพระทั้งหลายต่างกัน แน่ะ ถ้าให้ไปข้างหน้าบันดลบันดาลไม่ให้เขาเห็นเสีย ยิ่งให้อยู่สุดท้ายข้าวหมดแล้ว มันยังไงกัน เสียงดังไปหมดในวงพุทธศาสนาเรา
กระเทือนไปถึงพระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ ท่านก็มาเองเพราะร่ำลือเหลือประมาณความอดอยากขาดแคลนของพระองค์นี้ตั้งแต่วันบวชมา ว่างั้นนะ บิณฑบาตฉันจังหันไม่เคยอิ่มเลย มันหากเป็นอยู่ในกรรมนั่นแหละ ทีนี้พระสารีบุตรมา บรรจุข้าวเต็มบาตรท่านมาเลย ทั้งพระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์มาเยี่ยมพระองค์นี้ให้เห็นด้วยความสัตย์ความจริง มาก็เข้าถึงเลย ได้ทราบว่าท่านอดอยากขาดแคลนตั้งแต่บวชมา บิณฑบาตฉันวันหนึ่งๆ ไม่เคยอิ่ม เป็นความจริงไหม ว่าเป็นความจริง เพราะอะไรจึงไม่อิ่ม พระท่านไม่ให้เหรอ หรือเขาไม่ใส่บาตรให้ ท่านก็บรรยายไป พระท่านทำทุกอย่าง แต่กรรมอันนี้มันก็เหนือทุกอย่างเหมือนกัน
จึงว่าที่ท่านพูดว่า นตฺถิ กมฺม สมํ พลํ (นัตถิ กัมมะ สมัง พลัง) นี่ก็พุทธภาษิต ไม่มีอะไรมีอำนาจเหนือกรรมไปได้ ไม่ว่ากรรมดีกรรมชั่ว ใครอย่าอวดเก่ง กรรมเหนือตลอดนะ ตัวนั้นละเป็นผู้มีอำนาจทำกรรม และกรรมนั้นแหละมีอำนาจบังคับตัวเองในทางชั่ว เสริมตัวในทางที่ดี คือกรรมดีกรรมชั่วของตัวเองนั้นแล ไม่ใช่กรรมนี้เหาะลอยมาจากไหน มาจากเจ้าของเองผู้ทำ นั่นท่านว่า นี่ท่านบอกไว้ในตำรา น่าสลดสังเวชนะ
เอาวันนี้ ท่านว่างั้นนะ พระสารีบุตรเองใส่บาตรให้เลย ถามทุกสิ่งทุกอย่างละเอียดลออเราไม่พูดมากแหละ ย่นเวลาเข้ามาให้พอดี เอ้า จะใส่บาตรให้ ใส่แต่ของดิบของดี ก็พระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์เป็นอัครสาวกเป็นพระอรหันต์ ใส่บาตรให้เต็ม เอ้า วันนี้ท่านฉันให้อิ่มนะ ใส่บาตรให้เต็ม เต็มแล้วฉัน เวลาท่านฉันพระสารีบุตรต้องจับขอบปากบาตรเอาไว้ ฟังซิ ถ้าปล่อยนี้ปั๊บจะหมดไปๆ เลย ใครมองเห็นเมื่อไรว่าหมดเมื่อไร นี่ละอำนาจของกรรมเห็นต่อหน้าต่อตาอย่างนั้น พระสารีบุตรจับขอบปากบาตรเอาไว้ เอา วันนี้ฉันให้อิ่มนะให้พอ ท่านก็ฉันอิ่มวันนั้น เลยตายในวันนั้นนะ อาจจะอิ่มวันเดียวก็ตาย นี่อำนาจผลกรรมแสดงให้เห็น
นี้ออกมาจากความตระหนี่ถี่เหนียวเห็นแก่ตัวยังไม่แล้ว มีเล่ห์มีเหลี่ยมหลายสันพันคมที่จะคดจะโกงรีดไถผู้อื่นเข้ามาเป็นกรรมหมุนเข้ามาหาเจ้าของหมด ให้พากันจำเอานะ นี้ประกาศธรรมของพระพุทธเจ้า ศาสดาองค์เอก พูดไม่มีสองคือศาสดาองค์เอก นี่เรานำมาพูด ท่านทั้งหลายที่เป็นลูกศิษย์ตถาคตให้ฟังเสียงนี้ให้ดี อย่าเอาความอยากความทะเยอทะยานมาเหนือกรรมนะ ความอยากนี่ละเป็นเหตุให้ทำกรรม กรรมจะเหนือผู้นี้อีก ผลจะแสดงออกมาอย่างนี้ เข้าใจเหรอ ท่านแสดงไว้อย่างนั้นชัดเจน
ทั้งดีทั้งชั่วท่านแสดงไว้เป็นคติตัวอย่างทั้งหมด อย่างที่ว่าพระสีวลีไปที่ไหนเต็มไปหมด เกลื่อนไปด้วยวัตถุไทยทาน ดูเหมือนท้าวสักกเทวราชบันดลบันดาลให้ลงมา นิรมิตตนเป็นคนแก่คนทุกข์คนจนมารอใส่บาตรท่าน ท้าวสักกเทวราชกับนางสุชาดานั่นละมา นิรมิตตนเป็นคนแก่มาใส่บาตรท่าน อย่างนั้นนะ มันบันดลบันดาลถึงโน้นละอำนาจแห่งความดี เอาละเท่านั้น
ผู้กำกับ ; "ลูกศิษย์ฝากถวายมาครับ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ ๓๐ ส.ค. ๔๗ ครับ"
หลวงตาอ่านหนังสือพิมพ์ ; เผาพระฝรั่ง เช้าวันที่ ๒๘ ส.ค. ที่วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ได้มีการจัดงานฌาปนกิจหลวงพ่อปัญญา ปัญญาวัฑโฒ พระชาวอังกฤษ อายุ ๗๘ ปี รองเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด ที่มรณภาพด้วยโรคมะเร็งลำไส้ โดยมีหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ มีนายจารึก ปริญญาพล ผวจ.หนองบัวลำภู เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ท่ามกลางพระสายธรรมยุต และข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน แห่ร่วมพิธีคับคั่งนับหมื่นคน
หลังจากเลี้ยงพระเช้า ตชด.ได้แบกบศพหลวงพ่อปัญญา จากศาลาใหญ่ขึ้นสู่เมรุ ระหว่างนั้นเมฆได้เคลื่อนบดบังแสงอาทิตย์แล้วเกิดรุ้งรูปวงกลม หรือพระอาทิตย์ทรงกลดนาน ๒๐ นาที
จากนั้นหลวงตามหาบัวได้ขึ้นแสดงธรรมเทศนาแล้วทอดผ้ามหาบังสุกุล ปรากฏว่าได้เกิดพระอาทิตย์ทรงกลดขึ้นอีกเป็นครั้งที่ ๒ ท่ามกลางสายตาผู้ร่วมงานนับแสน(ทีแรกก็นับหมื่น ทีนี้ฟาดขึ้นเป็นแสน)
กระทั่งมีการจุดไฟบนเมรุ ระหว่างที่เพลิงกำลังเผาสังขารหลวงพ่อปัญญา ได้เกิดพระอาทิตย์ทรงกลดเป็นครั้งที่ ๓
ทำให้ผู้ร่วมงานเชื่อว่าเป็นปาฏิหาริย์ เพราะเกิดขึ้นถึง ๓ ครั้ง หลังเสร็จการฌาปนกิจ ตชด.ได้นำลวดหนามวางรอบกองฟอน เพราะเกรงชาวบ้านแห่แย่งอัฐิ เนื่องจากเชื่อว่าหลวงพ่อปัญญาบรรลุธรรม
หมดเท่านั้นนะ (ครับ) พวกนี้มามันไม่ได้มองดูเมรุ มองดูสิ่งที่เป็นอรรถเป็นธรรม มันแหงนหน้าขึ้นฟ้าไปดูพระอาทิตย์ทรงกลด มันตาดียิ่งกว่าหลวงตาพวกนี้น่ะ ตาดียิ่งกว่าตาแมวอีก เข้าใจหรือ มันไปเห็นพระอาทิตย์ทรงกลด หลวงตาก็อยู่ด้วยกันหลวงตาไม่เห็น แสดงว่าลูกศิษย์เก่งกว่าหลวงตา พวกบ้านี่มันเก่งกว่าครู เอาละพอ เรายอมรับละเรื่องท่านปัญญา การปฏิบัติหาที่ตำหนิไม่ได้เลยตั้งแต่ท่านมาอยู่ และสมเหตุสมผลที่ท่านมาขออยู่วัดเราตั้ง ๕ ครั้งนะ เราไม่รับถึง ๕ ครั้ง นั่นละครั้งที่ ๕ ถึงได้มาขอพลิกแพลงใหม่ ถ้าไม่รับให้อยู่เป็นประจำก็ขอมาพักชั่วคราวก็เอาท่านว่า เราก็เลยผ่อนลงมา ท่านมาพักชั่วคราวเราก็รับได้
ทีนี้พักชั่วคราวตั้งแต่วันที่ ๖ กุมภา ๒๕๐๖ จนกระทั่งวันท่านมรณภาพจากไปกี่ปีฟังซิจะว่าไง ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เราไม่เคยได้ดุด่าว่ากล่าวท่านเลย ฟังซิ อยู่นี้ได้ ๔๑ ปี บรรดาพระเณรจะต้องมีการดุด่าว่ากล่าวชี้แจงนั้นนี้ด้วยความผิดพลาดของตัวเองอยู่เสมอ ในฐานะเราเป็นครูเป็นอาจารย์คอยสอดส่องดูแลความผิดถูกชั่วดีของพระ ต้องได้เตือนเสมอ สำหรับท่านปัญญาไม่เคยมี นั่นฟังซิ ท่านเรียบขนาดนั้น ยังทำให้คิดย้อนหลังมาอีกด้วยว่า ถ้าเป็นนักมวยเราต่อยท่านปัญญาไม่ถูก คือไม่เคยได้ดุด่าว่ากล่าวท่านเลย ต่อยที่ไหนก็พลาดไปๆ ท่านปัญญาอาจต่อยเราถูกไม่รู้กี่ครั้ง แต่ท่านไม่พูดเฉยๆ ท่านอาจจะตำหนิเราอย่างนั้นอย่างนี้อยู่ภายในใจ เรียกว่าต่อยเราถูกๆ เราไม่รู้ตัวก็ได้ นี่ละพระที่ดีเป็นอย่างนี้
นี่ละสัตว์โลกฟังซิ กิเลสมีในหัวใจ แก้กิเลสออกแล้วดีเลิศเลอเหมือนกันหมด ให้ถือเอาจุดนี้ อย่าไปถือเอาชาติชั้นวรรณะ ชาตินั้นชาตินี้ อย่า อันนี้เรื่องโลกเขานิยมว่ากันไปตามโลก ธรรมนี่ สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้งหลายมีความทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น ต้องการความช่วยเหลือจากโลกด้วยกันตลอดไป ฟังซิน่ะ เอาละที่นี่ให้พร...