[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
10 พฤษภาคม 2567 06:15:47 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : แม็ตทีเรียลลิสต์เอ๋ย - ฝันกับความหมายชี้วัดไม่ได้  (อ่าน 1599 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5081


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 19 มิถุนายน 2554 06:05:20 »



มนุษย์เราจำนวนมากๆ โดยเฉพาะสาธารณชนคนทั่วไปทั่วทั้งโลกมักจะเป็นแม็ตทีเรียลลิสต์ (materialist) แต่ในปัจจุบันนี้คนฝรั่งในประเทศที่พัฒนามากๆ แล้ว เช่น ในยุโรป ที่สหรัฐอเมริกา ฯลฯ โดยเฉพาะนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักฟิสิกส์กำลังหันไปเชื่อในฟิสิกส์ใหม่ โดยเฉพาะควอนตัมเม็คคานิกส์เป็นจำนวนมากและรวดเร็วมากๆ แต่ในประเทศด้อยพัฒนา กำลังพัฒนา และประเทศที่พัฒนาใหม่ของเอเชีย นักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่แม้ว่าบางคนจะเคยได้ยินฟิสิกส์ใหม่มาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ติดตาม แถมบางคนยังไม่เชื่อ โดยคิดว่าเป็นวิทยาศาสตร์ผิดๆ หรือทฤษฎีเทียมๆ รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ในบ้านเรา โดยเฉพาะแพทย์เราโดยทั่วไป เมื่อต้นเดือนของเดือนมิถุนายนนี้ มีแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ต่างจังหวัดมาเยี่ยมสถานพยาบาลที่ผู้เขียนทำงานอยู่ ระหว่างพูดคุยกันมีหมอคนหนึ่ง ซึ่งมีอายุคงจะประมาณ 56-57 ปี ถามขึ้นมาในทำนองว่าแพทย์เรียนมาทางวิทยาศาสตร์และรู้วิทยาศาสตร์พอสมควร ดังนั้นเราควรเรียนวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ อาทิ ควอนตัมเม็คคานิกส์หรือไม่? และได้ตอบเขาไปว่าควรจะเรียน  หรืออย่างน้อยก็ควรจะติดตาม เพราะว่าควอนตัมฟิสิกส์ได้ผ่านการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์มาอย่างครบถ้วนกระบวนความมากที่สุด ที่พูดว่ามาที่สุดนั้นก็เพราะมันขัดกับสามัญสำนึกของนักวิทยาศาสตร์เก่าแทบจะทุกคน เนื่องจากว่าควอนตัมฟิสิกส์เหมือนถูกผีสิงหรือพระเจ้าเล่นตลก คือกลับไปเล่นการพนันเสียเอง ไอน์สไตน์ถึงได้พูดว่า “พระเจ้าท่านไม่เล่นทอดลูกเต๋าหรอก” ที่แย่ไปกว่านั้นควอนตัมฟิสิกส์กลับไปตรงกับความจริงที่แท้จริงของศาสนาที่นักวิทยาศาสตร์บางคนคิดว่าเป็นความ “งมงาย” เช่น ในที่นี้ทฤษฎีควอนตัมกลับไปตรงกับวัฒนธรรมเวดิก และศาสนาที่เกิดมาจากวัฒนธรรมนั้น เป็นต้นว่า ศาสนาฮินดู  (พราหมณ์) ศาสนาพุทธ และกับศาสนาเต๋ามากที่สุดจนไม่น่าเชื่อ (Frittjof  Capra) ควอนตัมเม็คคานิกส์ ซึ่งบอกว่าในธรรมชาตินั้นพูดๆ ได้ว่าในสภาพที่เล็กจริงๆ ขนาดอะตอมและอนุภาค (ต่างๆ รวมทั้งคว้าก) ที่ทางวิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นวัตถุ แต่ในธรรมชาติแล้วไซร้พวกมันทั้งหมดกลับเป็น “คลื่น” ที่เชื่อมโยงติดต่อพัวพันกันอีนุงตุงนัง (entangled) แถมยังเชื่อมโยงติดต่อกันแบบไม่มีตำแหน่งแหล่งที่ (non-local) เสียด้วย การจะทำให้มันกลับกลายมาเป็นวัตถุ เป็นอะตอมที่ประกอบหรือโตจนมองเห็นเป็นความจริงทางโลกได้ หรือเป็นเหตุการณ์ - ประสบการณ์ให้เรารับรู้ได้ก็ต้องสลายความเป็น “คลื่น” ออกไปก่อน  (wave-function collapsed) ซึ่งพฤติกรรมที่ว่านี้จะต้องมี “จิต” (consciousness)  เป็นส่วนร่วมด้วย หรือเป็นผู้สังเกต (participating or as observer)
นานพอสมควรที่บ้านเราคงจะสัก 10 กว่าปีได้ มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากแทบจะทั้งหมดก็ว่าได้มีความเชื่อมั่นว่าโครงการอะไรก็ตามจะต้องชี้วัดได้ การชี้วัด (measurable) ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเป็นลักษณะหรือคุณสมบัติของแม็ตทีเรียลลิสต์ (materialist) ผู้เขียนคิดว่าการชี้วัดคือการที่เราวัด ชั่ง  จับเวลา และหาปริมาตรของวัตถุ (matter) ต่างๆ ซึ่งมาริโอ บูเรการ์ด นักประสาทวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งเคยมาเมืองไทยและได้ไปพูดที่มหิดล  (ศาลายา) เมื่อต้นปีนี้ (ได้อ้างอิงชื่อไปหลายหนแล้ว) ที่คิดว่าคงจะไม่ชอบนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นนักแม็ตทีเรียลลิสต์เท่าใดนัก เพราะเขียน “ว่า” ไว้เสมอ (ในหนังสือ the spiritual brain ที่ขายดีมากของเขา) มนุษย์นั้นมีทั้งความฝันและความหมาย ซึ่งถ้าหากใครมาพูดว่านักวิชาการคนใดคนหนึ่งในพวกนั้นว่า “คุณช่างเป็นคนที่ไม่มีความหมายอะไรเลย” ผู้เขียนเชื่อว่าเขาคงไม่ชอบใจแน่นอน                                      นักวิทยาศาสตร์แห่งปลายกับต้นศตวรรษที่ 19-20 อันเป็นศตวรรษของช่วงเวลาของการประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีที่คิดค้นขึ้นใหม่ทุกๆ วัน  นั่นคือการเริ่มต้นทำร้ายและทำลายธรรมชาติสิ่งแวดล้อมอย่างทารุณและโหดร้ายไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ และเป็นช่วงเวลาที่ “พอดี” กับจำนวนประชากรของโลกมามีความสมดุลกับปริมาณของสิ่งแวดล้อมธรรมชาติที่โลกเรามีอยู่ นั่นคือ ประชากรโลกในตอนเริ่มต้นสงครามมหาเอเชียบูรพาจะอยู่ที่ประมาณ 2,000  ล้านคน และสิ่งแวดล้อมธรรมชาติกำลังอยู่ในความพอดีที่ว่านั้น เพราะเทคโนโลยีทั่วๆ ไปได้หยุดชะงักลงบางส่วน คงเหลือแต่เทคโนโลยีด้านยุทธศาสตร์ที่ก้าวหน้าไปมาก

พูดง่ายๆ สิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับวัตถุ (matter) ที่หยาบและมองเห็น รวมทั้งหมดคือรูปร่างกายภาพ (physical) ที่แยกไปตั้งอยู่ข้างนอกนั่น - ก็คือนาม  (พุทธศาสนา) หรือจิตนั่นเอง เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับวัตถุหรือกายภาพ ที่มาของหลักการวัตถุกายภาพนิยมหรือแม็ตทีเรียลลิซึ่ม  (materialism) ก็คือจิต - ผู้เขียนเห็นด้วยกับคาร์ล ซี.จุง ร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าเป็นจิตไร้สำนึกร่วมจักรวาล (universal unconscious continuum) สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความฝัน ความหมาย (meaning) ความพ้องจองกัน (synchronicity) ของจิตไร้สำนึกร่วมโดยรวมของจักรวาล - ที่เชื่อมโยงติดต่อกับจิตจักรวาลโดยรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน - ซึ่งเข้ามาอยู่ในทุกๆ ที่ว่างของสมองแต่ละบุคคลเป็นปัจเจก

ตรงนี้ขอพูดและขอย้ำ ซึ่งผู้เขียนคิดเอาเองว่าจิตไร้สำนึก - ที่เชื่อมโยงติดต่อเป็นหนึ่งเดียวกันของจิตจักรวาลนั้น ซึ่งทำให้ความฝัน ความหมาย ความพ้องจองกัน ฯลฯ ติดต่อกันได้ และทำให้เรารู้ได้ - ส่วนสำหรับจิตไร้สำนึกของจักรวาลที่เข้ามาอยู่ในสมองของแต่ละบุคคลเป็นปัจเจกนั้น จะเข้ามาอยู่โดยแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ จะเข้ามาก่อน - ในทารกในครรภ์แม่ เป็นอัตตา (self) กับเข้า “ตลอดเวลา” ในสมองของปัจเจกบุคลนั้นในภายหลัง (ข้อมูลจากอะบอริจินส์ที่นิวกินี ดู Arnold Mindel : Processmind, 2010) ซึ่งให้สมองของปัจเจกบุคคลนั้นๆ บริหารเป็นจิตรู้ หรือจิตสำนึก

ความฝัน ความหมาย ความพ้องจองกัน ฯลฯ ทั้งหมดเหล่านี้ไม่สามารถจะชี้วัดได้เลย ทั้งหมดนั้นเป็นนามธรรม (subjective) ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับรูปธรรม (objective) นามธรรมนั้นว่ากันตามจริงสำคัญกว่ารูปธรรม เพราะว่ามันเป็น “เนื้อหาสาระ” (essence) ของนิยายเรื่องจักรวาลที่พูดกันตามจริง เพราะเราไม่รู้หรือ เพราะอวิชชาต่างหากที่ทำให้ฝรั่งในอดีต โดยเฉพาะนักปรัชญาแรกๆ สุด ชาวกรีกคิดง่ายๆ เพราะมองเห็นได้ชัดดี - ฝรั่งและชาวกรีกที่นับถือศาสนาคริสต์แท้ๆ แต่ไม่เคยคิดเลยว่ากลางวันและการมองเห็นนั้นได้มาจากกลางคืนที่ว่างเปล่าและไม่มีอะไร (เจเนสิส) - สำหรับรูปธรรมนั้นพูดง่ายๆ  เกี่ยวข้องกับการชี้วัด (measurement) และวิทยาศาสตร์โดยตรงเกี่ยวข้องกับเรื่องของที่ว่าง (space) กับเวลา (time) หรือระยะทาง และวัตถุ (matter) ซึ่งใช้การวัด การชั่ง การหาระยะทาง ฯลฯ หรือการชี้วัดอยู่แล้ว ซึ่งโครงการไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่จะไม่เกี่ยวข้องกับนามธรรมเลย ไม่เกี่ยวข้องกับความหมายเลย  หากเกี่ยวกับมนุษย์แล้ว - ย่อมไม่มี เพราะฉะนั้นสรุปแล้วจะเห็นอย่างชัดเจนว่าเรื่องราวทั้งหลายทั้งปวงในโลกในจักรวาลนี้จะต้อมีทั้งรูปธรรมและนามธรรม จะต้องมีวัตถุกายภาพและความฝัน - ความหมาย เราจะต้องมีแม็ตทีเรียลลิซึ่ม  หรือออพเจ็คติวิซึ่ม “เท่าๆ กับ” จะต้องมีจิตไร้สำนึกจักรวาล หรือโปรเซสไมนด์  หรือซับเจ็คติวิซึ่ม (objectivism and subjectivism) นั่นคือเราจะต้องมีวิทยาศาสตร์และศาสนา และเราจะต้องรู้ว่า ที่จริงทั้ง 2 องค์ความรู้นั้นคือความรู้หนึ่งเดียวกันและความรู้ทั้งหมด อันดับแรกเป็นความรู้อันดับเดียวกันกับทั้งโลกทั้งจักรวาล และอันดับที่สองก็เชื่อมโยงติดต่อเป็นหนึ่งเดียวกันกับสรรพสิ่งและปรากฏการณ์เป็นองค์รวม ซ้อนๆ องค์รวมเป็นบูรณาการ

เท่าที่เล่าให้ฟังในโลกหรือจักรวาลนี้จึงมีเพียง 2 อย่างที่พระพุทธเจ้าว่าไว้  คือนามกับรูปที่ประกอบเป็นขันธ์ 5 และเดี๋ยวนี้นักวิทยาศาสตร์ทุกวันนี้หรือนักฟิสิกส์ใหม่หรือนักวิชาการปัญญาชนของฝรั่งในประเทศที่พัฒนามากๆ มานานแล้วก็เชื่อกัน ฟิสิกส์ใหม่ที่รวมทั้งทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ และทฤษฎีควอนตัม - ที่จริงที่สุดและนักฟิสิกส์แทบทั้งหมดเชื่อว่าเป็นความจริงที่แท้จริง  หรือเป็นความจริงทางธรรม หรือ “ธรรมะ” ระดับสูงของพระพุทธเจ้า - ขอย้ำว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่ว่านักวิชาการปัญญาชนคนไทยจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ อีกสักหน่อยเราก็จะรู้เอง

นักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์บ้านเราที่ยกมาในตอนต้นของบทความนี้  ที่ผู้เขียนคิดว่าอย่างน้อยก็เป็นส่วนใหญ่ส่วนหนึ่งทุกวันนี้และเดี๋ยวนี้ที่มัวเมาอยู่กับเทคโนโลยีกายวัตถุเก่าๆ นั่น-ในความคิดของผู้เขียนล้วนแล้วแต่เป็นแม็ตทีเรียลลิสต์ (materialist) เป็นส่วนใหญ่

พุทธศาสนาบอกว่าจิตไร้สำนึกมาก่อนจักรวาล -ไม่ว่าจักรวาลของเราอันนี้หรือจักรวาลอันไหน - และจิตปฐมภูมิ (ไร้สำนึกที่ซี.ซี.จุง เรียกว่า collective  unconscious continuum ของจักรวาล หรือที่อาร์โนลด์ มินเดล เรียกว่า สนามกระบวนการจิต หรือ processmind) นั้นที่แยกออกจากพลังงานปฐมภูมิไม่ได้ -  จักรวาลวิทยาใหม่ซึ่งมีอายุไม่ถึง 10 ปี ที่ผู้เขียนในฐานะเป็นนักวิทยาศาสตร์ประยุกต์ - เชื่อเพราะว่าเป็นผลงานของการวิจัยวิทยาศาสตร์แนวหน้า (science  at the cutting edge) ที่ส่วนใหญ่มากๆ เป็นฟิสิกส์ใหม่ อีกอย่างเพราะว่าผู้เขียนเชื่อมั่นในพุทธศาสนาและเชื่ออย่างมีเหตุผลร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มว่าพุทธศาสนาที่แท้จริงนั้นไม่มีเลยหรือปราศจากความงมงายไสยศาสตร์แม้แต่น้อย

 แม้แต่ในอดีตกาลมาแล้วเราจะรู้ว่า หลักการวัตถุนิยมเกี่ยวข้องกับวัตถุ  (matter) แต่เราเอากายภาพ (physical) มารวมกับวัตถุทีหลังเมื่อเราคิดว่าสรรพสิ่งทั้งหลาย - รวมทั้งชีวิตและเนื้อเยื่อจะต้องเป็นวัตถุเท่านั้น จะต้องประกอบด้วยวัตถุอย่างตลอดรอดฝั่งตั้งแต่ต้นเลย เช่นเดียวกับธาตุ ทองหรือเงินหรือตึก  ไม่ว่าจะใหญ่โตเท่าไหร่ต้องประกอบด้วยโครงสร้างที่เป็นวัตถุ (building-block)  สารและสสารไล่ลงไปจนถึงอะตอมที่เดโมเครตัส (300 B.C.) บอกว่าเป็นหน่วยที่เล็กที่สุด ไม่มีทางที่สามารถจะแยกต่อไปได้ ในสมัยลิบนิตช์คู่ปรับของนิวตันที่เป็นชาวเยอรมันได้คิดว่าอะตอมมีธาตุรู้หรือมีจิต (consciousness) เสียด้วย แต่ก็ต้องยอมแพ้นักวัตถุนิยมไป หลักการแม็ตทีเรียลลิซึ่มจึงค่อยๆ รุ่งโรจน์ชัชวาลมาตั้งแต่ตอนนั้น เพียง 200 กว่าปีก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ราว 30 กว่าปี หรือเพียง 4-5 ชั่วคน เมื่อปลายศตวรรษที่ 19 อันเป็นช่วงที่เทคโนโลยีทำร้ายและทำลายธรรมชาติและน้ำมันราคาถูกได้มีโอกาสหวือหวากระดี๊กระด๊าขึ้นมา ที่ชาวโลกดีใจพากันไชโยโห่ฮิ้ว โดยหารู้ไม่ว่าความเจริญที่เรียกๆ กันนั้นที่แท้คือความเสื่อมของโลกธรรมชาติอย่างแรง.

http://www.thaipost.net/sunday/190611/40400

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : รูป นาม วิญญาณกับจักรวาลวิทยา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2475 กระทู้ล่าสุด 21 กุมภาพันธ์ 2553 14:00:45
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : วิวัฒนาการสุดท้ายของสังคมมนุษย์
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2753 กระทู้ล่าสุด 08 มีนาคม 2553 08:52:02
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ประวัติศาสตร์คือบันทึกความสัมพันธ์ของดินกับฟ้า
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2066 กระทู้ล่าสุด 05 เมษายน 2553 08:47:42
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ทฤษฎีรวมแรงทั้งหมดกับพุทธศาสนา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2006 กระทู้ล่าสุด 18 เมษายน 2553 17:16:25
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : มนุษย์กับโลกไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2059 กระทู้ล่าสุด 03 พฤษภาคม 2553 08:42:23
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.376 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 26 กุมภาพันธ์ 2567 05:26:42