ตามข้อมูลโดยทั่วไปของมะหาดจะพบว่า อันที่จริงแล้วชาวบ้านต่างจังหวัดต่างก็รู้จัก และเก็บเกี่ยวประโยชน์จากต้นมะหาดกันมานาน
เพียงแต่สรรพคุณทางเคมีที่มีการค้นพบแรกเริ่มคือช่วยลดการเกิดเม็ดสีผิวคล้ำ หรือเรียกง่ายๆว่าทำให้ขาวขึ้น แต่ไม่เป็นที่สนใจมากนัก
พบสูตรสมุนไพรไทย 'แก่นมะหาด' ช่วยให้ผิวขาว เภสัชศาสตร์ จุฬาฯ พบสูตรสมุนไพรไทย“แก่นมะหาด”ลดความเข้มของเม็ดสีเมลานินในผิวหนัง มีผลทำให้ผิวขาวได้ ปลอดภัยและไม่ทำให้ระคายเคืองผิว
รศ.ดร.กิตติศักดิ์ ลิขิตวิทยาวุฒิ และ รศ.ดร.ภาคภูมิ เต็งอำนวย อาจารย์ประจำภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งศึกษาวิจัย “สมุนไพรช่วยให้ผิวขาวจากแก่นมะหาด” เปิดเผยว่า
สารที่มีคุณสมบัติลดสีผิวและช่วยทำให้ผิวขาว มีหลายประเภทขึ้นอยู่กับกลไกการออกฤทธิ์ ทั้งนี้ สารที่ทำให้เกิดผิวขาวที่นิยมใช้มากที่สุดคือ สารขจัดสีผิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารที่ออกฤทธิ์ยับยั้ง
เอนไซม์ไทโรสิเนส ซึ่งทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยา ตั้งต้นของกระบวนการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานิน สารเหล่านี้ต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ทำให้ผลิตภัณฑ์มีราคาแพง
การศึกษาวิจัยสมุนไพรไทยจากแก่นมะหาด เพื่อพัฒนาสารที่ช่วยทำให้ผิวขาว นับเป็นทางเลือกหนึ่งในการลดการนำเข้าสารเหล่านี้จากต่างประเทศ
มะหาดมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Artocarpus lakoocha Roxb. เป็นต้นไม้ยืนต้นในวงศ์ Moraceae พบมากในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชาวบ้านนิยมนำแก่นมาต้มกับน้ำ
และนำสิ่งที่สกัดได้มาทำให้เป็นผงแห้ง เรียกว่า “ปวกหาด” ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิตัวตืด การศึกษาวิจัยเรื่องสรรพคุณของมะหาดที่ทำให้ผิวขาวนั้นเริ่มต้นเมื่อปี 2541 โดยทำการสุ่มตัวอย่างพืชสมุนไพร
หลายชนิด มาทดสอบฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรสิเนสในหลอดทดลอง จนกระทั่งพบว่าสารสกัดจากแก่นมะหาด ให้ผลยับยั้งเอนไซม์ชนิดนี้มากที่สุด และมีความเป็นไปได้ที่จะนำสารชนิดนี้มาพัฒนา
เป็นส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ผู้วิจัยได้ทำการประเมินประสิทธิผลของสารสกัดจากแก่นมะหาดเป็นลำดับขั้น เริ่มจากการศึกษาในหนูตะเภา และการทดลองใช้ในอาสาสมัคร
โดยช่วงแรกผู้วิจัยได้นำผงปวกหาดที่หาได้ง่ายมาทดลองใช้ เปรียบเทียบกับสารที่ช่วยทำให้ผิวขาวเป็นที่นิยมใช้อยู่ในปัจจุบันและมีราคาแพง
ผลการทดลองพบว่าปวกหาดมีประสิทธิภาพในการลดความเข้มของสีผิวในหนูตะเภา ต่อมาได้ทำการศึกษาในอาสาสมัครจำนวน 4 คน โดยทาสารสกัดจากแก่นมะหาดที่แขนวันละ 2 ครั้ง
เป็นเวลา 4 สัปดาห์ และทำการวัดค่าความเข้มของสีผิวด้วยเครื่อง Mexameter พบว่าแขนที่ทาด้วยสารสกัดจากแก่นมะหาดมีแนวโน้มให้ค่าความเข้มของสีผิวลดลง นอกจากนี้
ยังไม่มีอาการแพ้หรือระคายเคือง ในที่สุดผู้วิจัยได้ศึกษาในอาสาสมัครจำนวนมากขึ้น คือ 60 คน ในระยะเวลา 12 สัปดาห์ โดยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 20 คน
เป็นเพศหญิง อายุ 20–48 ปี มีสภาพผิวหนังปกติ จากการทาสารสกัดที่ต้นแขนของอาสาสมัครวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เปรียบเทียบกับอาสาสมัครที่ทาด้วยสารสกัดจากชะเอมและกรดโคจิก
ผลการทดลองพบว่ากลุ่มอาสาสมัครที่ทาด้วยสารสกัดจากมะหาด จะมีผิวขาวขึ้นเรื่อย ๆ ความขาวของสีผิวจะเห็นผลในระยะเวลาเพียง 4 สัปดาห์ และจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
อย่างมีนัยสำคัญตามระยะเวลาที่ทำการทดลอง นอกจากนี้ ยังไม่พบอาการแพ้หรือระคายเคืองผิวแต่อย่างใด ในขณะที่สารสกัดจากชะเอมและกรดโคจิกให้ผลในการทำให้ผิวขาวในระยะเวลาที่นานกว่า
คือ 10 และ 8 สัปดาห์ตามลำดับ
ปัจจุบันการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้อยู่ในขั้นตอนการทดลองพัฒนา ตลอดจนศึกษาถึงประสิทธิภาพและความคงตัวเมื่ออยู่ในสูตรตำรับต่าง ๆ เปอร์เซ็นต์ความเข้มข้นที่เหมาะสมสำหรับใช้ในผลิตภัณฑ์
รวมถึงวิธีการสกัดสารจากแก่นมะหาดให้มีความบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น
ที่มา นสพ. ผู้จัดการออนไลน์ ฉบับวันที่ 5 ธ.ค. 2545
ต่อมาจึงมีการค้นพบสรรพคุณเพิ่มเติม และได้รับความสนใจมากกว่า
พบ "มะหาด" แก้ปัญหา "หัวล้าน" ได้ นับเป็นความหวังใหม่สำหรับคนที่ผมร่วง ศีรษะล้าน หลังจากที่ ปราณี ศิริบูรณ์พิพัฒนา นักศึกษาปริญญาโท ภาควิชาเทคโนโลยีชีวภาพ คณะเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ได้วิจัยจนค้นพบว่า "ต้นมะหาด" สามารถนำมาสกัดเป็นยากระตุ้นการงอกของเส้นผม และยับยั้งการหลุดร่วงได้ โดยไม่พบผลข้างเคียง
ปราณี เล่าว่า เดิมใบหน้าของตนเป็นฝ้า และจากการติดตามข้อมูลข่าวสารพบว่าลำต้นมะหาดสามารถช่วยลดฝ้าทำให้หน้าขาว
จึงนำเนื้อไม้และแก่นต้นมะหาดมาต้มเอาน้ำมาทาบนใบหน้า ผลปรากฏว่า ฝ้าหายไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ขนคิ้วซึ่งขึ้นมาเยอะจนผิดปกติ เพราะแต่เดิมขนคิ้วไม่ดก
จึงได้ศึกษาอย่างจริงจังและสกัดเป็นน้ำทาศีรษะบริเวณที่ผมบางให้พ่อที่อายุ 74 ปี ใช้เวลาเพียง 45 วัน ผลปรากฏว่า ผมพ่อขึ้นหนากว่าเดิม
จากนั้นจึงพัฒนาสูตรมาเรื่อยๆ เป็นเวลาร่วม 2 ปีได้ทดลองกับอาสาสมัครกว่า 100 ราย ได้ผล 100% โดยไม่มีผลข้างเคียงและได้จดสิทธิบัตรกับกรมทรัพย์สินทางปัญญาเรียบร้อยแล้ว
ผลิตภัณฑ์น้ำยาปลูกผมจากต้นมะหาดนี้เป็นสมุนไพร 100% ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ไม่มีสารเคมี เป็นน้ำใสๆ ไม่มีสารแต่งกลิ่นแต่งสีใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีกลิ่นเหม็น
ได้ส่งให้กรมวิทยาศาสตร์บริการตรวจแล้ว ไม่พบความเป็นพิษกับคน จากการศึกษาพบว่ามีสรรพคุณยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ที่ทำให้ผมร่วงและช่วยกระตุ้นการงอกของเส้นผมด้วย
ปราณี กล่าวอีกว่า การทำวิทยานิพนธ์ในครั้งนี้เพื่อศึกษาองค์ประกอบทางเคมีและศึกษาการใช้สารสกัดมะหาดในคนศีรษะล้าน
ดังนั้น ผู้ที่มีปัญหาผมร่วงเมื่อใช้สมุนไพรสูตรนี้จะแก้ปัญหาได้ภายใน 1 เดือน และเมื่อใช้ครบ 2 เดือน จะมีผมงอกออกมาเป็นจำนวนมาก สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
สำหรับ “มะหาด” เป็นไม้ยืนต้น พบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือของประเทศไทย ผลสุกรับประทานได้มีรสหวานอมเปรี้ยว เปลือก ลำต้น นำมากินกับหมากแทนสีเสียด
ลำต้นนำมาต้มเคี่ยวเอาน้ำทำยาถ่ายพยาธิ
ด้าน อำพน ศิริคำ ข้าราชการใน จ.ขอนแก่น บอกว่า ผมเริ่มหงอกเมื่ออายุประมาณ 30 ปี โกรกผมเฉลี่ยเดือนละ 2 ครั้ง นานกว่า 10 ปี ผมร่วงสะสมมาเป็นเวลานาน
ทำให้ผมบาง ซึ่งส่วนหนึ่งสาเหตุน่าจะมาจากการโกรกผมบ่อย นอกจากนี้ บริเวณเหนือหน้าผากมุมซ้ายและขวาค่อยๆ หลุดร่วงไปทีละเล็กทีละน้อย นานวันเข้าจะมีลักษณะเป็นง่าม
แต่ภายหลังจากใช้ยานี้ 1 เดือน ผมหยุดร่วงชัดเจนมาก และเมื่อใช้ครบ 2 เดือน ปรากฏว่ามีผมงอกออกมา และดกขึ้นเรื่อยๆ
ที่มาจากหนังสือพิมพ์คมชัดลึก ปี พ.ศ.2551