กระบองเพชรสว่าน ไม้สวยแปลกที่หายไปผมเคยแนะนำต้น “กระบองเพชรสว่าน” ไปหลายปีแล้ว โดยในขณะนั้นผู้ขายบอกได้เพียงว่าเป็นต้นกระบองเพชรสายพันธุ์เดียวกับกระบองเพชรชนิดที่มีต้นสูงใหญ่และคนทั่วไปรู้จักเป็นอย่างดีนั่นเอง แต่กระบองเพชรชนิดนี้ผู้ขายบอกต่อว่าเป็นกระบองเพชรกลายพันธุ์จากต้นดั้งเดิมแล้วมีลักษณะแตกต่างกันอย่างชัดเจนคือ ลำต้นจะเล็กลงโตหรืออ้วนประมาณท่อนแขนของเด็ก และลำต้นจะบิดเป็นเกลียวคลายเกลียวสว่าน (ตามภาพประกอบคอลัมน์) ซึ่งผู้ขายบอกว่าจำชื่อวิทยาศาสตร์ไม่ได้ และไม่มีชื่อภาษาไทยอย่างเป็นทางการด้วย เป็นไม้นำเข้าจากต่างประเทศ จึงพร้อมใจเรียกกระบองเพชรดังกล่าวตามลักษณะต้นว่า “กระบองเพชรสว่าน”
กระบองเพชรสว่าน หากเป็นไม้กลายพันธุ์จากต้นกระบองเพชรชนิดที่มีต้นสูงใหญ่และคนทั่วไปรู้จักตามที่ผู้ขายบอกข้างต้น พอจะระบุได้ว่า เป็นกระบองเพชรในกลุ่ม
CE-REUS HEXAGONUS (LINN.) MILL อยู่ในวงศ์
CACTACEAE มีลักษณะเป็นไม้พุ่ม ต้นดั้งเดิมสูง ๓-๕ เมตร แต่ “กระบองเพชรสว่าน” สูงแค่ ประมาณ ๑ ฟุต ลำต้นกลม อวบน้ำ มีรอยหยักเป็นร่องลึกและมีสันสูงบิดเป็นเกลียวเหมือนสว่าน โดยส่วนที่เป็นสันสูงจะมีหนามแหลมแข็งออกเป็นกระจุก กระจุกละ ๕-๗ หนาม เว้นระยะห่างกันประมาณ ๑.๕-๒ นิ้วฟุต เรียงตลอดแนวสันของต้น ต้นเป็นสีเขียว นอกจากต้นจะดูคล้ายเกลียวสว่านแล้วยังดูเหมือนกับ “เทียนวันเกิด” ที่ใช้ปักบนขนมเค้กแล้วจุดเป่าฉลองวันเกิดอีกด้วย
ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆหรือเป็นช่อ ๑-๓ ดอกบริเวณปลายยอด ดอกขนาดใหญ่ กลีบดอกเป็นสีเขียว มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดอกมักจะบานตอนกลางคืน ดอกสามารถออกได้เรื่อยๆ เมื่อต้นสมบูรณ์เต็มที่ ขยายพันธุ์ด้วยต้น
ปัจจุบันต้น “กระบองเพชรสว่าน” ไม่พบมีขายหรือหายไปจากวงการไม้สวยแปลกหลายปีแล้ว สมัยก่อนเคยมีขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๒๓ ครับ.
ไทยรัฐ ปาล์มเจ้าชาย สวยพลิ้วปาล์มชนิดนี้ มีถิ่นกำเนิดจากประเทศออสเตรเลีย ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานกว่า ๑๐ ปีแล้ว โดยในช่วงแรกๆมีต้นวางขายได้รับความนิยมปลูกกันอย่างแพร่หลาย แต่ในปัจจุบันไม่พบว่ามีต้นขายอีกแล้ว ซึ่งต้น “ปาล์มเจ้าชาย” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า
ARCHONTOPHOENIX ALEXANDRAE (F.J.MUELL.) H.A. WENDL.–DURDE อยู่ในวงศ์
PALMAE มีชื่อสามัญ
KING PALM มีชื่อเรียกในท้องถิ่น ปาล์มสามเหลี่ยมเขียว
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ทั่วไป ลำต้นสูง ๑๑-๑๓ เมตร อาจสูงได้ถึง ๒๐ เมตร ลำต้นเห็นปล้องชัดเจน ลำต้นตั้งตรง สีของลำต้นเป็นสีเทาปนน้ำตาล ขนาดลำต้นเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๐-๑๕ ซม. ใบเป็นรูปขอบขนานคล้ายทางมะพร้าว ใบยาว ๓-๕ ฟุต ใบย่อยออกเรียงสลับ มี ๓๐-๔๐ คู่ ปลายใบแหลมแผ่กางออก สีใบเป็นสีเขียวเป็นมัน หลังใบเป็นสีเทาเงินดูงดงามมาก
ดอก ออกเป็นช่อขนาดใหญ่ตามซอกใบช่วงปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก เป็นสีขาวครีม “ผล” กลมรียาวประมาณ ๑ นิ้วฟุต ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่จะเป็นสีแดง ๑ ผล จะมีเพียง ๑ เมล็ด ดอกและผลจะมีเรื่อยๆอยู่ที่ความสมบูรณ์ของต้น ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
นิยมปลูก ประดับตามสำนักงาน สวนสาธารณะและปลูกริมถนนสองข้างทางเป็นแถวยาว เวลาต้นเจริญเติบโตใบของต้นจะพลิ้วไหวน่าชมยิ่ง ปลูกได้ในดินทั่วไป เป็นไม้ชอบแดดจัดตลอดทั้งวัน เป็นปาล์มที่ปลูกแล้วเติบโตได้เร็วกว่าปาล์มชนิดใดๆ ใครต้องการต้นไปปลูกต้องเสาะหากันเอง เพราะที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ที่เปิดขายเฉพาะไม้ดอกไม้ผลเพียงอย่างเดียวทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ไม่พบมีวางขายอีกแล้วตามที่กล่าวข้างต้นครับ.
ไทยรัฐ ปาล์มกะพ้อ ใบอ่อนห่อตูป๊ะปาล์มกะพ้อ พบทั่วไปตามริมทะเลที่ความสูง ๒๕๐ เมตร เหนือระดับน้ำทะเล และขึ้นได้หลายรูปแบบทั้งริมบึงที่ราบ มีเขตกระจายพันธุ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชายแดนไทยมาเลเซีย หมู่เกาะอันดามัน มาเลเซีย เกาะนิโคบา เกาะสุมาตรา เกาะชวา เกาะบอเนียว และฟิลิปปินส์ ส่วนใหญ่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ทั้งในที่ร่มและกลางแจ้ง คนท้องถิ่นภาคใต้ของไทยและมาเลเซียนิยมตัดเอาใบอ่อนที่ยังไม่คลี่มาฉีกออกเอาเฉพาะใบ นำไปห่อข้าวเหนียวผัดใส่ถั่วขาว หรือถั่วดำนึ่งเป็นข้าวต้มมัดใต้ หรือเรียกชื่อตามภาษายาวีว่า “ตูป๊ะ” หมายถึงข้าวต้มมัดใบกะพ้อรับประทานเฉพาะถิ่นอร่อยมาก
ปาล์มกะพ้อ หรือ
LICUALA SPINOSA THUNB เป็นปาล์มกอ ต้นสูงได้ ๕ เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางลำต้น ๕ ซม. เป็นกอรวมกันหนาแน่นจนหนาทึบ จัดเป็นไม้พื้นล่างของป่า ใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือตั้งขึ้นและแผ่ออก ๑๐-๑๕ ทาง กาบใบแยกออกจากกัน แต่จะมีใยหยาบๆสานกันชัดเจน ก้านใบยาว ๒-๓ เมตร ขอบก้านใบมีหนามรูปสามเหลี่ยมแคบๆและงอยาว ๑-๒ ซม. ตลอดทั้งก้าน ใบเรียงกันเกือบกลม ขนาด ๘๐-๑๕๐ ซม. ฉีกเป็นแฉกลึกถึงกลางใบ ๑๕-๒๕ แฉก แต่ละแฉกมีขนาด ๓.๕-๑๔ คูณ ๔๐-๗๕ ซม. แฉกกลางมีขนาดใหญ่ที่สุด ปลายใบตัดและหยักไม่เท่ากัน
ดอก ออกเป็นช่อตั้งขึ้น โค้งและแผ่ออก ๒-๓ ช่อ มักมีความยาวกว่าใบ ช่อดอกรวมสามารถยาวได้ถึง ๓ เมตร แตกกิ่งย่อย ๗-๑๐ กิ่ง ยาว ๕๐ ซม. กิ่งแขนงย่อยอีก ๔ กิ่ง ยาว ๒๐-๔๐ ซม. “ผล” รูปทรงกลม เมื่อผลสุกเป็นสีส้มหรือสีแดง ๑ ผล มี ๑ เมล็ด ดอกและผลทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและแยกต้น
ปัจจุบันมีต้นขายทั่วไปที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แต่ละแผงราคาต่างกันต้องเดินสำรวจก่อนตัดสินใจซื้อไปปลูกประดับครับ.
ไทยรัฐ กันภัยมหิดล ดอกสวยกับที่มาชื่อและพันธุ์ไม้ต้นนี้ถูกค้นพบโดยเจ้าหน้าที่ของกองพืชฯ กรมวิชาการเกษตร เมื่อวันที่ ๑๔ ก.ย.๑๐ บริเวณเขาหินปูนเตี้ยๆ หลังสถานีรถไฟวังโต จ.กาญจนบุรี เป็นไม้เถาเลื้อยสกุลเดียวกับถั่วแปบช้าง แต่สีสันของดอกไม่เหมือนกัน เจ้าหน้าที่จึงเก็บเอาเมล็ดจากฝักไปปลูกที่กรุงเทพฯ ในวันที่ ๑๕ พ.ย. ปีเดียวกันพร้อมกับนำตัวอย่างส่งไปพิสูจน์ชื่อที่ประเทศสกอตแลนด์ ได้รับการยืนยันว่าเป็นคนละต้นกับถั่วแปบช้าง แต่อยู่ในสกุลเดียวกันและเป็นพันธุ์ใหม่ จึงได้ทำเรื่องขอพระราชทานชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่พระชนนีศรีสังวาลย์ในขณะนั้น โดยมีคำแนะนำให้ใช้คำว่า ศรีสังวาลย์ หรือมหิดล เลยได้ชื่อว่า “กันภัยมหิดล” ดังกล่าวและเรียกกันเรื่อยมาจนปัจจุบัน
กันภัยมหิดล หรือ
SCIENTIFIC NAME, AFGEKIA MAHIDOLAE BURTTET CHERMSIRIXATHANA อยู่ในวงศ์
FABACEAE, LEGUMINOSAE, PAPILIONOIDEAE เป็นไม้เถาเลื้อยมีขนนุ่มหนาแน่น ใบประกอบขนนก ออกเรียงสลับ มีใบย่อย ๙-๑๑ ใบ เป็นรูปไข่กลับ ปลายมนเป็นติ่ง โคนมน ใบดกและเยอะมาก
ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ดอกเป็นรูปดอกถั่ว ยาว ๒ ซม. กลีบเลี้ยงโคนซ้อนกัน ปลายแยกเป็น ๕ แฉก ก้านช่อดอกยาว กลีบดอกเป็นสีม่วง ลักษณะดอกคล้ายกับดอกถั่วแปบช้าง เวลามีดอกดกดอกจะชูตั้งขึ้นสวยงามน่าชมยิ่งนัก มีเกสรตัวผู้ ๑๐ อัน โคนเชื่อมกัน ๙ อัน “ผล” เป็นฝักแบน มีหลายเมล็ด ดอกออกช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายนทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด
ปัจจุบันต้น “กันภัยมหิดล” มีขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ราคาแต่ละแผงไม่เท่ากันหรืออยู่ที่ขนาดของต้น ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกเป็นไม้ประดับให้ต้นหรือเถาเลื้อยพันรั้วและไต่ซุ้มดอกเห็ดทำม้านั่งรอบโคนต้น เวลามีดอกดกตามฤดูกาลจะดูสวยงามมากครับ.
ไทยรัฐ พุดกุหลาบฮอลแลนด์พุดกุหลาบฮอลแลนด์ มีถิ่นกำเนิดจากประเทศเนเธอร์แลนด์ หรือ ฮอลแลนด์ นำเข้ามาปลูกขยายพันธุ์ในบ้านเรานานแล้ว มีลักษณะเด่นเฉพาะตัวคือ มีกลีบดอกเรียงซ้อนกันหลายชั้นจนทำให้ดูคล้ายดอกกุหลาบสีขาวสวยงามมาก จึงถูกตั้งชื่อภาษาไทยว่า “พุดกุหลาบฮอลแลนด์” และที่สำคัญดอกจะมีกลิ่นหอมแรงมาก เวลามีดอกดกเต็มต้นและดอกบานพร้อมกันจะส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายเป็นที่ชื่นใจยิ่งนัก
ส่วนพุดสายพันธุ์ที่มีดอกลักษณะใกล้เคียงกับ “พุดกุหลาบฮอลแลนด์” คือ พุดฮาวายกับพุดเวียดนาม ทั้ง ๒ ชนิดนี้มีข้อแตกต่างกับ “พุดกุหลาบฮอลแลนด์” คือ มีกลีบดอกเรียงซ้อนกัน ๒ ชั้น หรือไม่เกิน ๓ ชั้น ขนาดของดอกใหญ่ใกล้เคียงกัน จึงทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดเสมอว่าเป็นพุดต้นเดียวกัน
พุดกุหลาบฮอลแลนด์ หรือ
GRADENIA JASMINOIDES อยู่ในวงศ์
RUBIACEAE เป็นไม้พุ่มสูง ๑.๕-๒ เมตร ใบเดี่ยว ออกตรงกันข้ามรูปไข่กลับ ปลายแหลม โคนสอบ สีเขียวสด ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆที่ปลายยอด มีกลีบดอก ๕-๗ กลีบ เรียงซ้อนกันหนาแน่นหลายชั้นเกินกว่า ๕-๖ ชั้น เนื้อกลีบดอกหนาแข็ง เป็นสีขาว ดอกมีกลิ่นหอมแรง โดยเฉพาะตอนพลบค่ำ ดอกแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ดอกบานได้ทนนาน ๕ วัน เมื่อบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๓-๔ นิ้วฟุต ดอกออกได้เรื่อยๆ และดกมาก ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำกิ่งและตอนกิ่ง
มีกิ่งตอนรุ่นใหม่ขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ
ไทยรัฐ "อโศกขาว" ใบอ่อนสวยเหมือนดอกอโศกชนิดนี้ มีถิ่นกำเนิดจาก นิวกินี ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ขายในประเทศไทยบ้านเรานานหลายปีแล้ว “อโศกขาว” มีชื่อทางวิทยาศาสตร์เฉพาะคือ
MANILTOA GRANDIFLORA SCHEFF., WHITE HAND- KERCHIEF อยู่ในวงศ์
LEGUMINOSAE หรือ
FABACEAE มีลักษณะเป็นไม้ยืนต้นขนาดย่อม ต้นสูงเต็มที่เฉลี่ยระหว่าง ๔-๕ เมตรเท่านั้น ไม่ผลัดใบ แตกกิ่งก้านเป็นทรงพุ่มหนาแน่น
ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกชนิดปลายคู่ มีใบย่อย ๑-๓ คู่ เป็นรูปขอบขนานหรือรูปรี ปลายใบแหลม โคนใบสอบหรือป้าน ใบยาวประมาณ ๙-๑๗ ซม. และที่เป็นจุดเด่นคือเมื่อแตกใบอ่อน ใบอ่อนดังกล่าวจะเป็นพู่ หรือเป็นจีบเรียงซ้อนกันเป็นระเบียบยาวห้อยลงเป็นระย้า และเป็นสีขาวหรือสีชมพูทำให้ดูเหมือนดอก เวลาแตกยอดอ่อนทั้งต้นยอดอ่อนห้อยลงลองหลับตานึกภาพดูว่าจะสวยงามน่าชมขนาดไหน ผู้นำเข้าจึงตั้งชื่อเป็นภาษาไทยว่า “อโศกขาว” ดังกล่าว ซึ่งหลังจากใบอ่อนแก่ขึ้นจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวตามธรรมชาติ จากนั้นก็จะแตกยอดอ่อนเป็นสีขาวหรือสีชมพูให้ ชื่นชมอย่างต่อเนื่องไม่ขาดต้น
ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆที่ปลายยอด หรือออกตามกิ่งก้านใกล้ก้านใบ มีใบประดับหุ้มหลายชั้น มีกลีบดอก ๕ กลีบ ขนาดเล็กไม่เท่ากัน มีเกสรตัวผู้สีขาวจำนวนมาก “ผล” เป็นฝักยาว ภายในมีเมล็ด ๑-๒ เมล็ด ดอกออกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง
ปัจจุบัน “อโศกขาว” มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ หลายแผงหลายเจ้า มีทั้งต้นขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ราคาอยู่ที่ขนาดของต้น ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป เวลาแตกยอดอ่อนจะดูสวยงามมากครับ
ไทยรัฐ โมกหลวงสีชมพู สวยหอม อมตะโมกหลวงชนิดนี้ เกิดจากการเอาเมล็ดของโมกหลวงพันธุ์ดั้งเดิมที่มีดอกเป็นสีขาวไปเพาะเป็นต้นกล้าหลายเมล็ดและหลายต้น จากนั้นก็ปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอก ปรากฏว่ามีอยู่ ๒-๓ ต้นที่สีสันของดอกเป็นสีชมพูแตกต่างจากสีสันของดอกโมกหลวงพันธุ์แม่ที่เป็นสีขาวอย่างชัดเจน ผู้ขยายพันธุ์เชื่อว่าเป็นไม้กลายพันธุ์ จึงทำการขยายพันธุ์ปลูกทดสอบความนิ่งของพันธุ์หลายวิธีและหลายครั้ง ปรากฏว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม คือ สีสันของดอกยังคงเป็นสีชมพูไม่กลับไปเป็นสีขาวเช่นโมกหลวงพันธุ์แม่อีก ทำให้มั่นใจว่าได้กลายพันธุ์ถาวรอย่างแน่นอนแล้ว จึงตั้งชื่อว่า “โมกหลวงสีชมพู” พร้อมขยายพันธุ์ตอนกิ่งวางขายได้รับความนิยมปลูกอย่างแพร่หลายขณะนี้
โมกหลวงสีชมพู หรือ
HOLARRHENA ANTIDYSENTERICA WALL อยู่ในวงศ์
APOCYNACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง ๘-๑๕ เมตร เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลเข้ม ทุกส่วนมียางขาวข้น ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้าม รูปรีกว้าง ปลายใบแหลม โคนมน หน้าใบสีเขียว ท้องใบมีขนสีขาวละเอียด ขอบใบเรียบ
ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก ลักษณะดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอดยาว ปลายแยกเป็นกลีบดอก ๕ กลีบ รูปรียาว ปลายกลีบมน เนื้อกลีบค่อนข้างหนา กลีบดอกเป็นสีชมพูอ่อนจนถึงชมพูเข้ม ดอกมีกลิ่นหอมแรงเหมือนกับดอกโมกหลวงชนิดดอกสีขาวที่เป็นพันธุ์แม่ทุกอย่าง เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้นจะดูสวยงาม และส่งกลิ่นหอมมากแบบเป็นอมตะไม่เสื่อมคลาย “ผล” เป็นฝักยาว มีเมล็ดแบน มีปีกสีขาวคล้ายปุยนุ่นติดที่บริเวณส่วนปลายของเมล็ดด้านหนึ่ง ดอกออกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง และเสียบยอด
มีต้นขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๑ ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกประดับในบริเวณบ้าน เวลามีดอกจะสวยงามและส่งกลิ่นหอมชื่นใจครับ.
ไทยรัฐ เหลืองอินเดีย อร่ามตาฤดูร้อนในช่วง ระหว่างเดือน มีนาคม ต่อเนื่องไปจน ถึงเดือนเมษายน ของทุกๆปี ใครที่เป็นคนช่างสังเกตจะพบว่าตามริมถนนหลายสายทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดบางจังหวัดที่ปลูกต้น “เหลืองอินเดีย” ๒ ข้างทางเป็นแนวยาวตลอดทั้งถนนจะมีดอกบานสะพรั่งเป็นสีเหลืองอร่ามสวยงามน่าชมมาก ซึ่งหลายคนอยากทราบว่าต้น “เหลืองอินเดีย” เป็นอย่างไร มีถิ่นกำเนิดจากที่ไหน และหาซื้อต้นไปปลูกได้จากแหล่งใด
เหลืองอินเดีย มีถิ่นกำเนิดในแถบประเทศเม็กซิโกถึงตอนเหนือของประเทศเวเนซุเอลา จากนั้นมีผู้นำพันธุ์ไปปลูกในเขตร้อนทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วยที่ถูกนำเข้ามาปลูกประดับตั้งแต่โบราณแล้วในชื่อว่า “เหลืองอินเดีย” มีชื่อวิทยาศาสตร์เฉพาะว่า
TABEBUIA CHRY-SANTHA (JACQ.) NICHOLS ชื่อสามัญ
GOLDEN TREE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบ สูง ๕-๙ เมตร ใบเป็นประกอบแบบนิ้วมือ มีใบย่อย ๕ ใบ รูปรีแกมขอบขนานหรือรูปขอบขนานปลายเรียวแหลมและเป็นติ่งสั้นๆ โคนมนด้านล่างใบมีขนสีขาว
ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อย ๓-๑๐ ดอก กลีบเลี้ยงมีขน ส่วนกลีบดอกโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว ๔-๗ ซม. ปลายแยกเป็นรูปปากแตรหรือเป็นกลีบดอก ๕ กลีบ เป็นสีเหลืองสดใส ดอกบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลาง ๓-๔ ซม. มีเกสรตัวผู้ ๔ อัน สั้น ๒ อัน ยาว ๒ อัน โคนก้านเกสรมีขน เวลามีดอกจะทิ้งใบหมดทั้งต้น เหลือเพียงดอกเป็นสีเหลืองอร่ามงดงามจับใจมาก ดอกออกช่วงฤดูร้อนตามที่กล่าวข้างต้น ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง
ปัจจุบันต้น “เหลืองอินเดีย” มีทั้งต้นขนาดเล็กและต้นขนาดใหญ่วางขายทั่วไปที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ราคาอยู่ที่ขนาดของต้น ปลูกได้ในดินทั่วไป ทนแล้งได้ดี นิยมปลูกประดับในบริเวณบ้านสำนักงาน สวนสาธารณะ ริมถนนสองข้างทางเวลามีดอกจะทิ้งใบหมดเหลือเพียงดอกเหลืองอร่ามงดงามยิ่งครับ.
ไทยรัฐ “บอทเทิลทรี” ต้นกักน้ำดอกสวยไม้ต้นนี้ มีวางขายมีภาพถ่ายของต้นและดอกจริงแขวนโชว์ให้ชมด้วย และยังมีป้ายชื่อภาษาไทยติดไว้ว่า “บอทเทิลทรี” กับชื่อภาษาอังกฤษ
BRACHYCHITON POPULNEUS, BOTTLE TREE แต่ผู้ขายบอกลักษณะทางพฤกษศาสตร์ไม่ได้ รู้เพียงว่าเป็นไม้นำมาจากประเทศออสเตรเลีย มีดอกสีสันงดงามมากเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่ได้จากเพื่อน ช่วยเหลือมอบให้พอจะบอกได้ว่า ต้น “บอทเทิล-ทรี” มีถิ่นที่พบจากรัฐควีนส์แลนด์ นิวเซาท์เวลส์ ของประเทศออสเตรเลีย และมีชื่อวิทยาศาสตร์คือ
BRACHYCHITON POPULNEUS ชื่อสามัญ
LACEBARK KURRATONG หรือ “ต้นไม้ขวด” อยู่ในวงศ์
STERCULIACEAE เป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๐-๑๕ เมตร พบขึ้นตามธรรมชาติหลากหลายรูปแบบ ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่แห้งแล้งหรือทะเลทรายทั่วไป
บอทเทิลทรี หรือ “ต้นไม้ขวด” จะมีความเป็นพิเศษคือ ลำต้นสามารถเก็บกักเอาน้ำไว้ในลำต้นเพื่อใช้หล่อเลี้ยงตัวเองได้ในช่วงที่เจอสภาพอากาศแห้งแล้งจัด โดยในช่วงที่ลำต้นกักเก็บน้ำนั้นจะมีลักษณะอ้วนป่องขนาดใหญ่ทำให้ดูคล้ายขวดโบราณ จึงถูกตั้งชื่อตามลักษณะดังกล่าวว่า “ต้นไม้ขวด” ส่วนปลายของลำต้นจะแตกกิ่งก้านสาขาเช่นต้นไม้ทั่วไป ใบมี ๒ แบบ คือใบกลมรีขนาดใหญ่และใบเรียวแหลมขนาดเล็ก ดอก ออกเป็นช่อขนาดใหญ่ที่ปลายยอด มีดอกย่อยจำนวนมาก ดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นกลีบดอกรูประฆัง ๕ แฉก แต่ละแฉกแหลม ภายในหลอดดอกมีเกสรสีเหลืองเป็นกระจุก กลีบดอกเป็นสีชมพูเข้ม หรือสีชมพูอ่อน เวลามีดอกเต็มต้นและดอกบานพร้อมกันจะดูสวยงามมาก “ผล” รูปทรงกลม ภายในมีเมล็ด ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ชาวพื้นเมืองของออสเตรเลียนิยมเอาเมล็ดไปคั่วก่อนกินเป็นอาหาร
มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๒๑ ราคาสอบถามกันเองครับ.
ไทยรัฐ “ไดโนซอรัส” ไม้ประดับใบสวยต้น “ไดโนซอรัส” หรือ ไดโนเสาร์ ที่เคยแนะนำไปนั้น เป็นไม้นำเข้าจากต่างประเทศ แต่ผู้ขายบอกไม่ได้ว่าเป็นประเทศอะไร มีลักษณะเป็นไม้เถาเลื้อยขนาดเล็ก มีเหง้าใต้ดิน เถาสามารถเลื้อยหรือพาดพันต้นไม้อื่นได้ยาวกว่า ๓ เมตร เถารูปทรงกลม มีขนละเอียดทั่ว แตกกิ่งก้านน้อย เถาเป็นสีแดงอมม่วง เถาอ่อนจะเป็นสีเขียวก่อนเปลี่ยนเป็นสีแดงอมม่วงเมื่อแก่ขึ้น
ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับห่างๆ ก้านใบยาวเป็นสีแดงอมม่วง ใบเป็นรูปนิ้วมือ ปลายใบเว้าหรือหยักเป็น ๓ แฉก ปลายแต่ละแฉกแหลม แฉกตรงกลางจะยาวกว่า ๒ แฉกที่อยู่ด้านข้างอย่างชัดเจน โคนใบมน แผ่นใบอ่อนเป็นสีเขียว มีลายสีขาวแทงขึ้นจากโคนใบไปจนจดปลายแฉกทั้ง ๓ แฉก ทำให้ดูเหมือนกับรอยเท้าของตัวไดโนเสาร์สวยงามมาก หลังใบเป็นสีม่วงเข้ม ใบเมื่อแก่ขึ้นหน้าใบจะเป็นสีแดงอมม่วง จึงเป็นที่มาของชื่อที่ผู้นำเข้าตั้งให้คือ “ไดโนซอรัส” และ “ไดโนเสาร์” เวลาเถาเลื้อยพาดพันโครงหรือห้อยเป็นสายยาวและมีใบดกจะงดงามแปลกตาแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนดอก ผู้ขายบอกไม่เคยพบเห็น จึงไม่มั่นใจว่าต้น “ไดโนซอรัส” หรือไดโนเสาร์จะมีดอกหรือไม่ ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำต้น เหมาะจะปลูกทั้งลงดินทำโครงให้เถาไต่ หรือปลูกลงกระถางแขวนให้เถาห้อยลงเป็นสายยาว เวลามีใบจะสวยงามมากครับ.
ไทยรัฐ “สตรอเบอรี่แคคตัส” สวยแปลกผู้อ่านไทยรัฐจำนวนมากที่ชอบปลูกไม้ประดับจำพวกต้นกระบองเพชร อยากทราบว่าต้น “สตรอเบอรี่แคคตัส” เป็นอย่างไร ซึ่งก็เป็นต้นกระบองเพชรชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเด่นเฉพาะพันธุ์คือ ขนาดของต้นเล็ก แตกต้นเป็นกอกระจายหลายสิบต้นต่อกอ ลำต้นเป็นสีม่วงอมแดง เวลาแตกต้นเป็นกอจำนวนหลายๆต้นทำให้ดูคล้ายผลสตรอเบอรี่เป็นกระจุกสวยงามน่าชมมาก จึงถูกตั้งชื่อตามลักษณะว่า “สตรอเบอรี่แคคตัส” ดังกล่าว เป็นไม้นําเข้าจากต่างประเทศนานกว่า ๒ ปีแล้ว ระบุไม่ได้ว่าเป็นพันธุ์ลูกผสมใหม่หรือพันธุ์แท้ กำลังนิยมแพร่หลายในปัจจุบัน
สตรอเบอรี่แคคตัส มีชื่อเฉพาะคือ
SULCOREBUTIA RAUSCHII ลำต้นเป็นรูปทรงกลมขนาดเล็ก ต้นสูงไม่เกิน ๒-๒.๕ นิ้วฟุต ตามลำต้นมีหนามแหลมสั้นกระจายทั่ว แตกต้นเป็นกอเบียดกันหนาแน่นจำนวนมากกว่า ๒๐-๓๐ ต้น
ขึ้นไป ลำต้นเป็นสีแดงอมม่วง
ดอก ออกบริเวณปลายยอดของต้น กลีบดอกเป็นสีแดงอมม่วง เวลามีดอกพร้อมๆกันหลายๆ ต้น จะมีสีสันสวยงามน่าชมยิ่งนัก “ผล” กลมขนาดเล็ก มีเมล็ด ดอกออกได้เรื่อยๆ อยู่ที่ความสมบูรณ์ของต้น ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด และเสียบยอดกับตอต้นแก้วมังกร
การปลูก “สตรอเบอรี่แคคตัส” เป็นไม้ชอบแดดจัด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ชอบนํ้ามากนักจะทำให้รากเน่าตาย หลังปลูกรดนํ้า ๗-๑๐ วันครั้ง ในช่วงฤดูฝนต้องยกหลบไม่ให้โดนฝน เพราะไม่ชอบฝน บำรุงปุ๋ยละลายช้าสูตรเสมอ ๓-๔ เดือนครั้ง จะทำให้ต้น “สตรอเบอรี่แคคตัส” แตกเป็นกอจำนวนมากและมีดอกสวยงาม
ปัจจุบัน “สตรอเบอรี่แคคตัส” กำลังเป็นที่นิยมปลูกอย่างแพร่หลาย เนื่องจากเป็นแคคตัสหรือต้นกระบองเพชรขนาดเล็กสามารถยกไปตั้งประดับบนโต๊ะทำงานหรือเคลื่อนย้ายได้ง่ายนั่นเอง
มีต้นขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณตรงกันข้ามกับโครงการ ๑๓ หรือโครงการ ๑๕ ผู้ขายมีวิธีปลูกแนะนำให้ด้วย ราคาสอบถามกันเองครับ
ไทยรัฐ พวงแก้วกุดั่น ดอกสวยหอมแรงหลายคนอยากทราบว่า “พวงแก้วกุดั่น” เป็นอย่างไรและจะหาซื้อต้นไปปลูกประดับได้จากที่ไหน ซึ่ง “พวงแก้วกุดั่น” ถูกระบุว่าเป็นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศอินเดีย แล้วกระจายพันธุ์ปลูกในเขตร้อนไปทั่วโลก ในประเทศไทยถูกนำเข้ามาปลูกแพร่หลายช้านานแล้วจนกลายเป็นไม้ไทยไปโดยปริยาย ส่วนใหญ่จะปลูกให้ต้นหรือเถาเลื้อยพันรั้วหน้าบ้านหรือปลูกให้เลื้อยซุ้มประตูทางเข้าบ้าน เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันตามฤดูกาลนอกจากจะดูสวยงามแล้ว ดอกยังส่งกลิ่นหอมแรงฟุ้งกระจายทั่วบริเวณใกล้เคียงเป็นที่ชื่นใจยิ่ง
พวงแก้วกุดั่น หรือ
CLEMATIS SMILACIFOLIA WALL. อยู่ในวงศ์
RANUNCULACEAE เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งอายุหลายปี ต้นหรือเถาสามารถเลื้อยได้ยาวกว่า ๕ เมตร ลำต้นกลมสีเขียวหรือสีคลํ้าดำเกือบม่วง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปไข่ ปลายและโคนใบแหลม เนื้อใบค่อนข้างหนา ผิวใบและขอบใบเรียบเป็นมัน สีเขียวสด ใบดกน่าชมมาก
ดอก ออกเป็นช่อกระจุก ๒-๓ ดอกต่อช่อ ออกตามซอกใบ มีกลีบเลี้ยง ๔-๖ แฉก รูปแถบยาว ปลายแฉกแหลม สีม่วงแดง ปลายกลีบเลี้ยงจะม้วนงอลงชัดเจน กลีบดอกไม่มี ส่วนที่เป็นฝอยๆ สีขาวจำนวนมากนั้นคือเกสรไม่ใช่กลีบดอก ดอกจะทยอยบานไม่พร้อมกัน ดอกมีกลิ่นหอมแรงตลอดทั้งวัน จะส่งกลิ่นจัดจ้านยิ่งขึ้นในช่วงพลบคํ่า ทำให้เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันหลายๆ ดอก นอกจากจะดูงดงามแล้ว ดอกยังส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายเป็นที่ประทับใจมาก “ผล” รูปทรงกลม มีขนาดเล็ก ภายในมีเมล็ดเยอะ ดอกออกช่วงระหว่างเดือนมกราคม ต่อเนื่องไปจนถึงเดือนเมษายนของทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและปักชำต้น มีชื่อเรียกในประเทศไทยอีกคือ เครือจางหลวง และจางน้อย
มีต้นขายทั่วไปที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ราคาอยู่ที่ขนาดของต้น เป็นไม้ชอบแดดจัด ไม่ชอบนํ้าท่วมขังครับ.
ไทยรัฐ บัวรัตติกาล บานกลางคืนสีสวยบัวชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดจากประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานแล้ว จัดเป็นบัวสายชนิดหนึ่งที่ดอกจะบานสะพรั่งตอนกลางคืนตั้งแต่พลบคํ่าเรื่อยไปจนถึงรุ่งเช้าประมาณสิบโมงเช้าดอกจะหุบลง จึงถูกตั้งชื่อเป็นภาษาไทยว่า “บัวรัตติกาล” หรืออีกชื่อหนึ่ง “บัวราตรี” ซึ่งก็เป็นตัวเดียวกันกับบัวเรดแฟร์ ที่เคยแนะนำในคอลัมน์ไปแล้ว เวลามีดอกบานยามคํ่าคืนถูกแสงจันทร์ในคืนพระจันทร์เต็มดวงหรือแสงไฟสาดส่องกระทบสีสันของกลีบดอกจะดูสวยงามยิ่งนัก
บัวรัตติกาล หรือ บัวเรดแฟร์ อยู่ในวงศ์
MYMPHAEACEAE เป็นไม้ล้มลุก มีลำต้นใต้ดินคล้ายหัวเผือก ใบเดี่ยวออกสลับลอยเหนือผิวนํ้าเรียงเป็นวงกว้าง แผ่นใบค่อนข้างกลม โคนเว้าลึก ขอบจัก ผิวใบเป็นสีแดงอมม่วงเกือบดำ มีขนนุ่ม ก้านใบหรือเรียกว่าสายบัวเป็นสีแดงเข้ม เมื่อหักจะมีใยสีขาวยาวยืดเรียกว่า “ใยบัว” ที่คนมักจะเอาไปเปรียบเทียบเป็นคำพังเพยว่า “ตัดบัวแล้วยังเหลือเยื่อใย” ซึ่งก็หมายถึง “ตัดไม่ขาด” นั่นเอง
ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ บานเหนือนํ้าเล็กน้อย มีกลีบเลี้ยง ๔ กลีบ ด้านหลังกลีบเลี้ยงเป็นสีเขียว ด้านในเป็นสีเดียวกับกลีบดอก ซึ่งกลีบดอกจะมีจำนวนมากเรียงซ้อนกันหลายชั้น เป็นสีแดงเข้มหรือสีแดงอมม่วงตามภาพประกอบคอลัมน์ ดอกมีขนาดใหญ่กว่าดอกบัวสายสายพันธุ์ไทยทั่วไป ดอกจะบานเฉพาะตอนกลางคืนและจะหุบตอนเช้าประมาณสิบโมงเช้าตามที่กล่าวข้างต้น ดอกออกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยหน่อ
ปัจจุบัน “บัวรัตติกาล” หรือบัวเรดแฟร์ และ “บัวราตรี” มีขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๒ ราคาสอบถามกันเอง นิยมปลูกลงกระถางบัวตั้งประดับในที่แจ้ง บำรุงปุ๋ยสูตร ๑๖-๑๖-๑๖ ห่อด้วยกระดาษชำระ ๕-๗ เม็ด กดลงใต้ดินในกระถางเดือนละครั้งจะทำให้ “บัวรัตติกาล” มีดอกสวยงามยามราตรีครับ.
ไทยรัฐ บัวคิงออฟสยาม ชื่อมงคลสวยหอมผู้อ่านไทยรัฐจำนวนมาก อยากทราบว่า “บัวคิงออฟสยาม” มีความเป็นมาอย่างไร ซึ่ง บัวดังกล่าวจัดอยู่ในกลุ่มของ บัวผัน ที่มีการเจริญจากหัวหรือเหง้าใต้ดินในแนวตั้ง เป็นบัวที่เกิดจากการขยายพันธุ์โดยฝีมือของ อ.ชัยพล ธรรมสุวรรณ มีลักษณะเด่นประจำพันธุ์คือ สีสันของดอกสวยงามน่าชมยิ่ง และดอกยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ อีกด้วย จึงตั้งชื่อเป็นมงคลว่า “บัวคิงออฟสยาม” หรืออีกชื่อหนึ่งว่า “บัวฉลองขวัญ” ดังกล่าว
บัวคิงออฟสยาม หรือ “บัวฉลองขวัญ” อยู่ในสกุล
NYMPHAEA และอยู่ในวงศ์
NYMPHAEACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้ล้มลุก มีลำต้นใต้ดินเป็นหัวหรือเหง้า ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับถี่ลอยบนผิวน้ำ เป็นวงกลม แผ่นใบเป็นรูปไข่ โคนเว้า ฐานใบเปิดครึ่งหนึ่ง ขอบเรียบและเป็นคลื่น ด้านบนสีเขียวมัน ด้านล่างสีม่วงอมน้ำเงิน ในก้านใบมีน้ำยางใส เมื่อหักจะเป็นใยติดยาวยืด เรียกว่า “ใยบัว” ซึ่งคนมักจะนำไปเปรียบเปรยว่า “ตัดบัวแล้วยังมีเยื่อใย” หมายถึงยังตัดไม่ขาดนั่นเอง
ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆตามซอกใบ บานเหนือน้ำ ปลายกลีบดอกแหลมเรียงซ้อนกันหลายชั้น เป็นสีม่วงเข้มหรือสีม่วงอมชมพู ใจกลางดอกมีเกสรจำนวนมากเป็นสีเหลืองสด ดอกบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๐-๑๒ ซม. ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เวลามีดอกบานเหนือน้ำหลายๆดอกจะดูสวยงามและส่งกลิ่นหอมโชยเข้าจมูกเมื่อเข้าไปใกล้ๆ เป็นที่ชื่นใจมาก “ผล” ค่อนข้างกลม อยู่ในน้ำ มีเมล็ด จำนวนมาก ดอกออกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและหน่อ นิยมปลูกประดับ ทั้งลงกระถางบัวและปลูกลงสระน้ำจำลองที่มีน้ำไม่สูงนัก เนื่องจาก “บัวคิงออฟสยาม” หรือ “บัวฉลองขวัญ” เป็นสายพันธุ์ที่ชอบน้ำตื้นและลึกปานกลาง ชอบแดดจัด ๕-๖ ชั่วโมงต่อวัน บำรุงปุ๋ยสม่ำเสมอจะมีดอก สวยงามและส่งกลิ่นหอมประทับใจยิ่ง
มีต้นขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๒ ราคาสอบถามกันเองครับ.
ไทยรัฐ