จน จนฝันสลาย: นโยบายการศึกษาแบบใดกันที่เรากำลังรอคอย?
<span class="submitted-by">Submitted on Tue, 2023-09-19 00:02</span><div class="field field-name-field-byline field-type-text-long field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><p>ฐานิดา บุญวรรโณ</p>
<p> </p>
</div></div></div><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><p style="margin: 0in 0in 8pt;">ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่จะช่วยหยุดวงจรความยากจนได้อย่างไร? แม้ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาฉบับใหม่ที่ได้รับการตรวจพิจารณาโดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) และเข้าสู่วาระการประชุมร่วมกันของรัฐสภาไปเมื่อวันที่ 10-11 มกราคม 2566 ที่ผ่านมาจะยังไม่ได้รับการพิจารณาอย่างเสร็จสมบูรณ์จากกระบวนการทางรัฐสภา แต่เนื้อหาของร่างพระราชบัญญัติฯฉบับนี้ก็ถูกตั้งคำถามมากมาย นับตั้งแต่ประเด็นเรื่องความจำเป็นของการออกกฎหมาย การได้ฉันทามติจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบด้าน โครงสร้างการบริหารการศึกษา รวมไปถึงการกำหนดเป้าหมายของการจัดการศึกษาที่ลงรายละเอียดในแต่ละช่วงวัยอย่างเคร่งครัดตายตัวจนเกินไป อย่างไรก็ดี ข้อถกเถียงข้างต้นเน้นไปที่ประเด็นเรื่องการจัดการศึกษาซึ่งไปกระทบกับสถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ครู แต่ยังตั้งคำถามน้อยนักต่อสารัตถะของร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ว่าจะนำไปสู่การพัฒนากำลังคนของประเทศได้อย่างไรในโลกศตวรรษที่ 21 ในบริบทที่สังคมไทยยังมีประชากรที่จัดอยู่ในกลุ่มจนมากประมาณ 1.36 ล้านคน กลุ่มจนน้อย 3.05 ล้านคนและเกือบจนหรือเสี่ยงที่จะเป็นคนจำนวน 4.82 ล้านคน (กองพัฒนาข้อมูลและตัวชี้วัดสังคม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2565: 4) ซึ่งปัญหาความยากจนนี้จะส่งผลโดยตรงต่อโอกาสทางการศึกษาของเด็กและเยาวชน รวมไปถึง การตั้งคำถามว่าร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่จะช่วยขยายโอกาสทางการศึกษาของเด็กจากครัวเรือนยากจนที่เผชิญกับปัญหามากมายอันเนื่องมาจากความยากจนไม่ว่าจะเป็นภาวะบกพร่องทางสติปัญญาและการเรียนรู้ การเข้าถึงโรงเรียนที่ใกล้บ้านและมีคุณภาพ การไม่หลุดออกจากระบบการศึกษากลางคัน รวมไปถึงการได้เรียนหรือได้รับการพัฒนาทักษะแรงงานที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดได้อย่างไร</p>
<p>ผู้เขียนแบ่งข้อถกเถียงหลักของงานเขียนชิ้นนี้เป็นสองส่วน <strong>ส่วนแรกคือ</strong> ความจำเป็นของร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ และส่วนที่สอง คือ บทวิเคราะห์ว่าร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่จะช่วยหยุดวงจรความยากจนได้อย่างไร? ในส่วนแรก หลักการและเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติแห่งชาติฉบับใหม่อ้างถึงมาตรา 54 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ประกอบกับมาตรา 258 ข้อ จ.ด้านการศึกษาและมาตรา 261 ที่กำหนดให้มีการปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆรวมทั้งด้านการศึกษาโดยเฉพาะให้มีกลไกและระบบการผลิต คัดกรองและพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพครูซึ่งเป็นวิชาชีพชั้นสูง ฯลฯ จึงดูเหมือนว่าการร่างพระราชบัญญัติการศึกษาฉบับใหม่นี้จำเป็นต้องเกิดขึ้น เพราะเป็นเค้าโครงที่ได้ถูกกำหนดไว้แล้วในแผนการปฏิรูปประเทศ และถูกบัญญัติเป็นหมวดใหม่ในรัฐธรรมนูญ คือ หมวด 16 การปฏิรูปประเทศ ซึ่งหมวดดังกล่าวไม่เคยปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับใดมาก่อน เนื้อหาของร่างพระราชบัญญัติการศึกษาฉบับใหม่ที่กำลังถกเถียงกันอยู่นี้จึงเป็นใจความสารัตถะและเจตจำนงของการปฏิรูปประเทศที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) รวมถึงสอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา (เช่น แผนแม่บทประเด็นที่ 11 การพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต, แผนแม่บทประเด็นที่ 12 การพัฒนาการเรียนรู้, แผนแม่บทประเด็นที่ 23 การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม) และต้องสอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ.2560-2579) อีกด้วย แนวคิดในการปฏิรูปประเทศซึ่งแฝงฝังอยู่ในรัฐธรรมนูญ ยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติและแผนการศึกษาแห่งชาตินี้ต้องเริ่มต้นเล่าย้อนกลับไปในช่วงหลังการรัฐประหารปี 2557 ครั้งเมื่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ได้เสนอเรื่องให้มีการปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ จนกระทั่งวาระการปฏิรูปประเทศกลายเป็นหมวด 16 ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งเป้าหมายการปฏิรูปประเทศนั้นบัญญัติไว้ในมาตรา 257 และประเด็นการปฏิรูปบัญญัติไว้ในมาตรา 258 ซึ่งในข้อ จ. ด้านการศึกษานั้นต้องปฏิรูปการศึกษาให้ 1) สามารถเริ่มดำเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษาตามมาตรา 54 วรรคสอง เพื่อให้เด็กเล็กได้รับการพัฒนาร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคมและสติปัญญาให้สมกับวัยโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย 2) ให้ดำเนินการตรากฎหมายเพื่อจัดตั้งกองทุนตามมาตรา 54 วรรคหก ให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ (หมายถึงพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.2561) 3) ให้มีกลไกและระบบการผลิต คัดกรองและพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพครูและอาจารย์ให้ไดมีจิตวิญญาณของความเป็นครู มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับความสามารถและประสิทธิภาพในการสอนรวมทั้งมีกลไกสร้างระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคลของผู้ประกอบวิชาชีพครู 4) ปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนทุกระดับเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้ตามความถนัดและปรับปรุงโครงสร้างของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าวโดยสอดคล้องกันทั้งในระดับชาติและระดับพื้นที่</p>
<p>เมื่อพิจารณาจากร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่จะพบว่าเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการจัดการศึกษา (คุณสมบัติของบุคลากร องค์ประกอบของคณะกรรมการ หน้าที่ การจัดสรรงบประมาณให้แก่สถาบันการศึกษา การเลื่อนวิทยาฐานะ เงินประจำตำแหน่ง ฯลฯ) แต่รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับตัวชี้วัดความสำเร็จของการปฏิรูปนั้นจะปรากฏอยู่ในแผนการศึกษาแห่งชาติ หากต้องพิจารณาถึงความจำเป็นของร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ก็คงจะเป็นความจำเป็นในแง่ที่การปฏิรูปการศึกษาได้ถูกกำหนดไว้หมดแล้วตั้งแต่ก่อนมีรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ทั้งเป้าหมายและแผนการปฏิรูปที่จะนำไปปฏิบัติเป็นนโยบายยังถูกแฝงฝังไปยังแผนระดับต่างๆเรียบร้อยหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี, แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติและแผนการศึกษาแห่งชาติ ยังไม่นับรวมกฎ ระเบียบ ข้อบังคับปลีกย่อยรายองค์กรมากมายที่เป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาตามแบบฉบับแผนการปฏิรูปประเทศ ซึ่งหากต้องการปรับเปลี่ยนหรือแก้ไขร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ ก็มิวายจะต้องกระทบกระเทือนหรืออาจไม่สอดคล้องกับแผนต่างๆที่โยงใยสัมพันธ์กัน</p>
<p><strong>ในส่วนที่สอง</strong> <a name="_Hlk145407250" id="_Hlk145407250">เมื่อต้องวิเคราะห์ว่าร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่จะช่วยหยุดวงจรความยากจนได้อย่างไ
https://live.staticflickr.com/65535/53196199952_bb293440a4_o_d.jpg" style="width: 399px; height: 532px;" />
<span style="color:#2980b9;">
สภาพบ้านครัวเรือนยากจนและวันที่เด็กน้อยไม่มีเงินไปโรงเรียน
ถ่ายโดยผู้เขียน</span></p>
<p>เมื่อกลับไปดูเนื้อหาของมาตรา 8 ของร่างพระราชบัญญัติการศึกษาฉบับใหม่ที่ระบุการพัฒนา ฝึกฝน บ่มเพาะให้ผู้เรียนมีสมรรถนะตามระดับช่วงวัย หากเทียบกับช่วงวัยของลูกชายคนที่สี่ คือ ช่วงวัยที่สี่ อายุระหว่าง 6-12 ปี ซึ่งร่าง พ.ร.บ.กำหนดว่า
“ต้องฝึกฝนให้มีทักษะบริหารจัดการตนเอง ดูแลสุขภาพทั้งกายและจิตของตนเอง เรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย รู้จักสิทธิและหน้าที่ของตนเอง ภูมิใจและตระหนักในความสำคัญของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีจิตอาสา มีความภาคภูมืใจในความเป็นไทย ซึมซับในหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รับรู้ถึงความงามของธรรมชาติ มีนิสัยในการสังเกตและใฝ่รู้ มีทักษะในการเรียนรู้ รู้จักและรู้เท่าทันในการใช้เทคโนโลยีหาความรู้.....” และช่วงวัยของน้องมี คือ ช่วงวัยที่ 5 อายุระหว่าง 12-15 ปี ที่ร่างพ.ร.บ.กำหนดว่า
“ต้องฝึกฝนให้รู้จักสุขภาพกาย ควบคุมอารมณ์ เข้าใจพัฒนาการของสมองวัยรุ่น รับผิดชอบที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง รู้ความถนัดและเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง เรียนรู้ที่จะตัดสินใจและวางแผนชีวิต ปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย สามารถแก้ไขปัญหาชีวิตที่ซับซ้อน ยึดมั่นในจริยธรรม เชื่อมั่นและเข้าใจการธำรงความเป็นไทย สามารถสื่อสารภาษาไทยที่สมบูรณ์ รู้และเข้าใจหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจนสามารถนำไปใช้ในชีวิตได้......”</p>
<p> จากสาระในมาตรา 8 ของร่าง พ.ร.บ.การศึกษาฉบับใหม่ข้างต้นจะเห็นว่า สารัตถะในการพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยนั้นเน้นไปที่เรื่องของบุคลิกลักษณะ นิสัยใจคอ ทัศนคติ ค่านิยม มากกว่าจะเป็นเรื่องขององค์ความรู้ ทักษะและประสบการณ์ที่เด็กตั้งแต่ช่วงแรกเกิดจนถึงอายุ 18 ปีควรจะได้รับ ซึ่งหากย้อนดูเข้าไปในครอบครัวของนางสาวจริงซึ่งเป็นครอบครัวยากจนเรื้อรังแล้ว การพัฒนามนุษย์ที่จะเป็นไปตามมาตรา 8 นั้นเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง มิหนำซ้ำหลายอย่างก็มิอาจจะเกิดขึ้นได้จริงเพียงเพราะว่ามีฐานะยากจน ยกตัวอย่างเรื่องพื้นฐานง่ายๆอย่างการให้เด็กดูแลสุขภาพกายและจิตของตนเอง ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องพื้นฐานง่านๆสำหรับครัวเรือนอื่นๆ แต่สำหรับสมาชิกในบ้านเช่าหลังนี้ที่แวดล้อมไปด้วยของเก่าที่เก็บมาสะสมเพื่อรอวันขาย หลังคาที่รั่วจนนอนไม่ได้ ส้วมที่ไม่ได้สุขลักษณะ แมลงวันและยุงที่บินว่อนไปทั่วบ้าน อาหารที่ต้องอดมื้อกินมื้อ นมสดที่ต้องอาศัยดื่มจากที่โรงเรียน ฯลฯ อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ไม่อาจทำให้เด็กๆพัฒนาไปตามเนื้อหาของมาตรานี้ได้ มากไปกว่านั้น หากจะวิเคราะห์ลงในสารัตถะอีกสักครั้งก็จะพบว่า นอกจากร่างพ.ร.บ.จะไม่ได้ชี้ว่า เพื่อจะไปให้ถึงสมรรถนะตามช่วงวัยเช่นนั้น จะต้องปฏิบัติการอย่างไรแล้ว รายละเอียดของสมรรถนะตามระดับช่วงวัยดังกล่าวยังไม่ได้กล่าวถึงเรื่องขององค์ความรู้ ทักษะและประสบการณ์ที่จะนำไปสู่การพัฒนาคนหรือพัฒนาแรงงานที่สอดรับกับการพัฒนาประเทศอีกด้วย</p>
<p>แล้วร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่นี้จะช่วยหยุดวงจรความยากจนได้อย่างไร? ผู้เขียนทดลองเสนอบทวิเคราะห์ดังนี้</p>
<p><strong>ประเด็นแรก</strong> <a name="_Hlk145403801" id="_Hlk145403801">ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับให
<div id="ftn1">
<div class="note-box">
<p class="MsoFootnoteText" style="margin:0in">ฐานิดา บุญวรรโณ เป็นอาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และนักวิจัยในโครงการความยากจนข้ามรุ่นในสังคมไทยภายใต้ความท้าทายเชิงโครงสร้าง (รองศาสตราจารย์ ดร.กนกวรรณ มะโนรมย์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี หัวหน้าโครงการ) สนับสนุนงบประมาณวิจัยโดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)</p>
</div>
</div>
</div>
<p style="text-align: center;"> </p>
</div></div></div><div class="field field-name-field-variety field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">บทคว
https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์
https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai</div></div></div>
https://prachatai.com/journal/2023/09/105963