สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 27 ส.ค.-2 ก.ย. 2566
<span class="submitted-by">Submitted on Sat, 2023-09-02 12:27</span><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><p><strong>สธ.ดูแลความก้าวหน้า "พยาบาล" เร่งประเมินกลุ่มหัวหน้างานเข้าสู่ตำแหน่ง "ชำนาญการพิเศษ-เชี่ยวชาญ"</strong></p>
<p>ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย ความก้าวหน้าการกระจายตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพ "ชำนาญการพิเศษ" 10,124 ตำแหน่ง ตามหลักเกณฑ์ ก.พ. ลำดับแรกจะกำหนดให้หัวหน้ากลุ่มงาน หัวหน้างาน หัวหน้าหอผู้ป่วย รพ.ศูนย์/รพ.ทั่วไปให้ครบตามโครงสร้าง และหัวหน้างานต่างๆ ใน รพ.ชุมชน พร้อมเพิ่มระดับ "เชี่ยวชาญ" เฉพาะสาขาให้ครบทุกกลุ่มงาน เร่งประเมินบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งภายในปีนี้ เพิ่มความก้าวหน้าในวิชาชีพ</p>
<p>นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการดูแลความก้าวหน้าของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ว่า กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญในการดูแลทุกวิชาชีพ ทั้งเรื่องค่าตอบแทน ความก้าวหน้า และสวัสดิการต่างๆ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน ล่าสุดเรื่องระดับชำนาญการพิเศษของพยาบาลวิชาชีพ หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) อนุมัติตำแหน่งระดับชำนาญการพิเศษของพยาบาลให้แก่กระทรวงสาธารณสุข จำนวน 10,124 ตำแหน่ง โดยให้กระจายอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม กำหนดตำแหน่งตามภาระงานที่แท้จริง จึงได้ส่งข้อมูลให้หน่วยงานร่วมกันตรวจสอบโดยต้องผ่านความเห็นชอบของผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ และส่งให้สำนักงานปลัดกระทรวงฯ ภายในวันที่ 15 ก.ย. 2566 นี้ เพื่อเสนอ อ.ก.พ.กระทรวงสาธารณสุข กำหนดตำแหน่งต่อไป หลังจากนั้นจะเป็นการประกาศเพื่อคัดเลือกและประเมินบุคคลเข้าสู่ตำแหน่ง</p>
<p>โดยลำดับแรกในส่วนของโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป กำหนดเพิ่มตำแหน่งระดับชำนาญการพิเศษให้หัวหน้ากลุ่มงาน หัวหน้างาน หัวหน้าหอผู้ป่วย ให้ครบ 16 กลุ่มงานตามโครงสร้าง ส่วนโรงพยาบาลชุมชน เดิมมีระดับชำนาญการพิเศษเฉพาะหัวหน้าพยาบาลและหัวหน้ากลุ่มงานบริการปฐมภูมิและองค์รวม ได้เพิ่มตำแหน่งระดับชำนาญการพิเศษในส่วนของหัวหน้างานผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉิน ผู้ป่วยใน และอาจมีงานพยาบาลผู้ป่วยผ่าตัด งานการพยาบาลผู้คลอด งานพยาบาลผู้ป่วยหนัก และงานการพยาบาลควบคุมและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล โดยพิจารณาตามภาระงานและหลักเกณฑ์ความก้าวหน้าของพยาบาล</p>
<p>นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ อ.ก.พ.กระทรวงสาธารณสุข ยังอนุมัติกำหนดตำแหน่งระดับเชี่ยวชาญของพยาบาลเพิ่ม โดยกลุ่มโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป เดิมมีหัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล 78 แห่ง และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา 5 ด้าน จำนวน 72 ตำแหน่ง จะเพิ่มพยาบาลผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาให้ครบ 16 กลุ่มงานตามโครงสร้าง ขณะที่โรงพยาบาลชุมชน ระดับแม่ข่าย เดิมหัวหน้าพยาบาลเป็นระดับชำนาญการพิเศษ จะเพิ่มเป็นระดับเชี่ยวชาญ จำนวน 41 ตำแหน่ง ทั้งนี้ กระบวนการประเมินคัดเลือกบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งจะดำเนินการอย่างรอบคอบ เป็นธรรม โดยให้โรงพยาบาลแต่ละแห่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2566 จากนั้นจะให้ส่งผลงานประเมินภายใน 6 เดือน เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาผลงานและเสนอออกคำสั่งแต่งตั้งต่อไป</p>
<p>
ที่มา: Hfocus, 2/9/2566</p>
<p><strong>‘เศรษฐา’ ควง ‘ธรรมนัส’แก้ปัญหาประมง-ตั้งวันสต๊อปช็อปแก้ปัญหาแรงงานประมง ย้ำขึ้นค่าแรงจำเป็นแต่เน้นเพิ่มรายได้ ย้ำเป็น รบ.ของ ปชช.ทุกคน</strong></p>
<p>ที่ท่าเทียบเรือ โรงน้ำแข็งศิริไพโรจน์ จ.สมุทรสงคราม นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ พร้อมด้วย นางมนพร เจริญศรี ว่าที่รมช.คมนาคม และรัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาลประกอบด้วย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ว่าที่รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายไผ่ ลิกค์ ว่าที่รมช.พาณิชย์ เพื่อรับฟังปัญหาจากตัวแทนชาวประมงในพื้นที่ ที่ได้รับถึงผลกระทบจากประกาศของ IUU และแนวทางในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องชาวประมง พร้อมกันนี้ยังมีคณะทำงานด้านการประมงของพรรคเพื่อไทยอาทิ นายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกฯ นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส. บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ร่วมคณะ</p>
<p>โดยมีนายสมนึก พรหมเขียว ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม รอให้การต้อนรับ โดยทันทีที่มาถึง นายกฯและคณะได้เดินไปยังบริเวณท่าเรือเพื่อดูเรือประมงที่จอดไว้โดยไม่สามารถออกไปทำประมงได้ รวมถึงดูการขึ้นปลา และการตรวจนับลูกเรือที่ออกไปทำประมงที่มีความสำคัญ หากไม่เป็นไปตามที่ IUU จะถูกปรับเป็นเงินจำนวนมาก</p>
<p>นายเศรษฐา กล่าวทักทายประชาชนว่า วันนี้ตนมาในอีกสถานะหนึ่ง ตอนมาหาเสียงเลือกตั้ง ได้มาพูดคุยเรื่องการประมงที่เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ ก่อนมี IUU ไทยส่งออกสินค้าด้านการประมง 3.5 แสนล้าน แต่ตอนนี้เรานำเข้า 1.5 แสนล้าน ทำให้เราเสียหายจำนวนมาก วันนี้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เรามั่นใจว่าที่รัฐมนตรี ที่มาด้วยกันวันนี้มีความสามารถ มีความรู้ทำงานเรื่องการประมงมานาน เราต้องการแก้ปัญหาอย่างบูรณาการ ทั้งกฎหมายภายในและการเจรจาระหว่างประเทศควบคู่กันไป</p>
<p>จากนั้นตัวแทนกลุ่มประมงได้สะท้อนปัญหาการทำประมงแก่นายกฯและคณะ เช่นขอให้แก้กฎหมายต่างๆที่เป็นปัญหาต่อการทำประมง จำนวน 13 ฉบับ ที่จะสามารถทำให้การประมงสามารถขับเคลื่อนได้ และขอให้การบังคับใช้แรงงานต่างด้าวในภาคประมงเหมือนกับแรงงานต่างด้าวที่ทำงานบนฝั่งที่ภาคประมงจะใช้เวลานานรวมถึงเสนอว่าการขึ้นค่าแรงที่จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ขอให้ทำทีละขั้นไม่ให้ภาคธุรกิจสะดุด</p>
<p>โดยนายเศรษฐา กล่าวว่า ได้เห็นถึงความลำบากและปัญหา ตั้งแต่ตนรับสนองพระบรมราชโองการมาไปดูเรื่องการท่องเที่ยว การแก้ปัญหาหนี้สิน และเรื่องที่สามคือเรื่องประมง เป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลจะให้ความสำคัญสูงสุด เรื่องปัญหาแรงงานเราจะแก้ปัญหา ให้เอกสารอยู่ในวันสต๊อปช็อปได้ อะไรอยู่ในอำนาจคระรัฐมนตรี จะตั้งคณะทำงานขึ้นมาให้ ร.อ.ธรรมนัส เป็นหัวหน้า และเชิญผู้เกี่ยวข้องมาพูดคุยกัน หลายอย่างอาจทำไม่ได้ในคราวเดียวขอให้อดทน</p>
<p>พร้อมทั้งขอให้มั่นใจรัฐบาลเพื่อไทยอะไรทำได้เราจะทะยอยทำไปก่อนเพื่อให้ท่านลืมตาอ้าปากได้ เรื่องใหญ่ๆอย่างเช่นเรื่องน่านน้ำ ที่ประเทศอินโดนีเซีย มีทรัพยากรเยอะมาก แต่ไม่มีความสามารถในการจับสัตว์น้ำ ดังนั้นขอให้ความมั่นใจเราจะเดินหน้าเต็มที่ในการเปิดประตูการค้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ตนให้ความสำคัญ</p>
<p>จากนั้น นายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ กรณีการจัดการวันสต็อปช๊อปรูปแบบจะเป็นอย่างไร ตอบว่า ต้องให้คณะทำงานดูก่อน วันนี้มาดูแล้วเห็นปัญหาว่าแรงงานที่จะทำงานต้องมีเอกสารจำนวนมาก มีหลายกระทรวงเข้ามาเกี่ยวข้อง หากเอกสารขาดก็เห็นใจ อีกทั้งเอกสารต่างๆก็ยังเป็นกระดาษก็อยากให้เข้าระบบออนไลน์ทั้งหมดเพื่อความสะดวก และในแง่การตรวจก็จะดีขึ้น</p>
<p>เมื่อถามว่าที่ระบุให้ ร.อ.ธรรมนัส เป็นผู้ดูแลเรื่องประมง จะดูแลเฉพาะเรื่องประมง หรือหมายรวมไปถึงเรื่องเกษตรทั้งหมด นายเศรษฐา กล่าวว่า เมื่อเป็นว่าที่รมว.เกษตรและสหกรณ์ก็ต้องดูทั้งหมดด้วย และจากที่ตนเรียนไป สัปดาห์ก่อนไปดูเรื่องท่องเที่ยว ตามด้วยเรื่องการแก้ปัญหาหนี้สิน เรื่องประมงเป็นเรื่องที่สามที่ตนมาดูเอง เชื่อว่าเรื่องนี้เราพร้อมช่วยเหลือเต็มที่เข้ามาทำงานร่วมกับผู้ประกอบการและจัดการแก้ปัญหาโดยเร็ว ยอมรับว่าปัญหาใหญ่ปัญหาเยอะ อะไรที่ทำได้เราจะทำก่อน</p>
<p>เมื่อถามว่าเท่าที่รับฟังปัญหาอะไรทำได้ทำทันที นายเศรษฐา กล่าวว่าขอพิจารณา อะไรที่เกี่ยวกับกฎกระทรวงทบวงกรม หรือเข้าคณะรัฐมนตรี และต้องเจรจาการค้าระหว่างประเทศก็อาจจะนานหน่อย เช่นเรื่องวิทยุมดขาด มดดำ ที่เพิ่งมีการบังคับใช้ในระยะหลังทั้งทีเรามีการสื่อสารทางวิทยุกันอยู่แล้ว เมื่อถามถึง พ.ร.บ.บริหารจัดการแรงงานต่างด้าว มาตรา 14 ที่เป็นปัญหาสำหรับแรงงานต่างด้าวจะสามารถแก้ได้ทันทีหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่าต้องศึกษาร่วมกับกระทรวงแรงงานด้วย เพราะเป็นเรื่องใหญ่ ต้องมาพูดคุยกันทุกฝ่าย</p>
<p>เมื่อถามว่าน่านนำ้อินโดนิเซีย จะสามารถเข้าไปเจรจาได้เลยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ขอดูก่อน แต่ถือเป็นประเทศอาเซียนด้วยเหมือนกัน และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเรา และไม่ถึอว่าแย่งกันทำงานเพราะเขามีทรัพยากร เรามีความรู้ทางการทำประมง ถ้ามาร่วมกันได้กันแบ่งปันผลประโยชน์ก็น่าจะลงตัวและเดินหน้าด้วยกันได้</p>
<p>เมื่อถามว่าที่มามุ่งปัญหาประมงเพราะปัญหา 8-9 ปีทำให้ประเทศติดหล่มใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ประเทศเสียหายรายได้เป็นจำนวนปีละ 5 แลนล้านผ่านมากี่ปีแล้วเป็นเงินเท่าไหร่ เราก็ต้องมาแก้ไขเดินหน้าดีกว่าอย่ามองเรื่องปัญหาเก่าอย่าไปว่าใครเลยดีกว่า และมั่นใจว่ากฎหมายต่างๆที่ผู้กระกอบการประมงเสนอมามั่นใจสามารถแก้ไขได้ ต้องฝาก ร.อ.ธรรมนัสเป็นผู้รับผิดชอบ</p>
<p>สำหรับเรื่องค่าแรงที่ทางผู้ประกอบการบอกว่าจะหมุนเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเรื่องค่าแรกเป็นนโยบายหลักของทุกพรรคการขึ้นค่าแรงก็ต้องระมัดระวังในการขึ้นเพราะเป็นการขึ้นภาระค่าใช้จ่ายของทุกภาคส่วน แต่มีความจำเป็นเพราะค่าครองชีพสูงขึ้น แต่ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือการเน้นเพิ่มรายได้ ถ้าเราเพิ่มรายได้ให้เอสเอ็มอีได้เขาก็จะสามารถเพิ่มค่าแรงได้ ซึ่งจะเร่งทำทันทีก็อาจจะช่วงปีใหม่แต่ต้องคุยกับพรรคร่วมอีกครั้ง เพราะเราทำงานเป็นรัฐบาลที่มีพรรคร่วม</p>
<p>เมื่อถามว่าลักษณะการทำงานของนายกฯหลังจากนี้จะไปควบคู่กับรัฐมนตรีที่มาจากพรรคต่างๆใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่าเป็นธรรมดา ที่ต้องร่วมกับรัฐมนตรี อยากให้มองเป็นองค์รวมว่าไม่ใช่รัฐบาลของพรรคเพื่อไทย แต่เป็นรัฐบาลของประชาชน ประกอบกับหลายพรรคการเมือง เชื่อว่าทุกรัฐมนตรีที่ได้รับการพูดถึงทุกท่านมีความเป็นห่วงปัญหาปากท้องของประชาชนและมีความปราถนาดีของประเทศขอแค่โอกาส</p>
<p>ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องชาวประมง จากนั้น นายกฯและคณะ ได้รับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน ซึ่งเมนูอาหารประกอบด้วย แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย ผัดกระเพราทะเล และปลาทูทอดหวาน โดยนายกฯได้ลงมือตักอาหารรับประทานด้วยตัวเองด้วย</p>
<p>
ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 1/9/2566</p>
<p><strong>คอนโดนิคมฯ ชลบุรีฟื้น แรงงานแฝงหนุนดีมานด์ซื้อ-เช่าเพิ่ม</strong></p>
<p>ประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่าจากงานวิจัย บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด พบว่าตลาดอสังหาฯในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) มีผู้ประกอบการเปิดตัวโครงการจำนวนมากตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา โดยต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา มีจำนวนที่อยู่อาศัยที่เปิดตัวโครงการ และอยู่ระหว่างการขายในพื้นที่ บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา, อมตะซิตี้ ชลบุรี อ.เมืองชลบุรีและอ.ศรีราชา - แหลมฉบัง จ.ชลบุรี รวม 9,495 หน่วย มูลค่า 35,000 ล้านบาท</p>
<p>จากผลการสำรวจพบว่าเป็นกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อในทำเลนี้ เป็นทั้งกลุ่มนักลงทุนและพนักงานที่ทำงานอยู่ในย่านนิคมอุตสาหกรรม ที่มีรายได้เฉลี่ย 20,000 - 50,000 บาทต่อเดือนนอกจากนี้ยังพบว่าแต่ละปี มีแรงงานแฝงเข้ามาในนิคมฯ จ.ชลบุรี 100,000 คน โดยประมาณ 10% หรือ 10,000 คนอยู่ในนิคมฯ อมตะ</p>
<p>ขณะที่การซื้อเพื่อการลงทุนอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 5-6 % โดยค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3,500-9,000 บาทต่อหน่วย สำหรับห้องชุดขนาด 26 - 30 ตร.ม.โดยความต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อเช่าในทำเล EEC สูง อัตราการเช่าอพาร์ตเมนต์ และเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ มีสัดส่วนเฉลี่ย 80-90% สะท้อนถึงความต้องการที่พักอาศัย จึงเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่จะซื้อเพื่อการลงทุนและปล่อยเช่า</p>
<p>โอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN กล่าวว่า จากแนวโน้มดังกล่าวบริษัทจึงพัฒนาโครงการ เอิร์น บาย แอล.พี.เอ็น. มูลค่า 2,124 ล้านบาท เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ อายุ 25-30 ปีที่ต้องการที่อยู่อาศัยในย่านนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการทั้งในเรื่องของการทำงาน และการใช้ชีวิต รวมถึงกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่ ที่เริ่มต้นลงทุนในรูปแบบของอสังหาริมทรัพย์ และรองรับกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาทำงานในนิคมฯ มีสัดส่วน 50:50</p>
<p>โดยนำโมเดลการลงทุนของโครงการลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต คลอง 1 มาให้บริการแก่นักลงทุนเป็นแพกเกจหาผู้เช่าพร้อมปล่อยเช่าในโครงการเอิร์น บาย แอล.พี.เอ็น. ใกล้นิคมอมตะซิตี้ บนพื้นที่กว่า 20 ไร่ ประกอบด้วย อาคารพักอาศัย สูง 8 ชั้น จำนวน 6 อาคาร, อาคารสูง 6 ชั้น 1 อาคาร โดยมีจำนวนรวม 1,810 ยูนิต ประกอบไปด้วยห้องพักอาศัย 3 รูปแบบ จำนวน 1,796 ยูนิต แบ่งเป็น แบบสตูดิโอ, 1 ห้องนอน และ 1 ห้องนอนพลัส ขนาดเริ่มต้น 24- 36ตร.ม. และพื้นที่ร้านค้า 14 ยูนิต ในราคาเริ่มต้น 1.1- 1.69 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,124 ล้านบาท ซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือน พ.ย. 2567</p>
<p>“ในรอบ VVIP ที่ผ่านมามียอดขาย 100 ล้านบาท คาดว่า เฟสแรกที่พรีเซลล์เดือน ก.ย.นี้จะมียอดขาย 200-300 ล้านบาท”</p>
<p>นอกจากนี้ปี 2567 บริษัทมีแผนเปิดโครงการที่ จ.อยุธยา พร้อมกับแตกแบรนด์ใหม่ออกมาเพื่อรองรับกลุ่มนักศึกษา ในทำเลใกล้กับมหาวิทยาลัยเพื่อขยายฐานลูกค้า ที่ต้องการลงทุนปล่อยเช่า นอกเหนือจากทำเลในนิคมต่างๆทั้งนี้เนื่องจากกลุ่มนักลงทุน เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ จึงไม่มีปัญหาการถูกปฏิเสธสินเชื่อเพียงแต่ว่าต้องพัฒนาโครงการในทำเลที่มีศักยภาพในการปล่อยเช่า</p>
<p>โอภาสกล่าวว่าปีนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขาย 13,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาสามารถทำยอดขายได้แล้ว 7,000 ล้านบาท เกินกว่า 50% ของเป้าหมายทั้งปี</p>
<p>ทั้งนี้ ในช่วงที่เหลือของปีนี้มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีก 12 โครงการ เป็นโครงการแนวราบ 10 โครงการ และคอนโดมิเนียม 2 โครงการด้านยอดโอนกรรมสิทธิ์ปีนี้ ตั้งเป้า 7,000 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 30 มิ.ย. มียอดขายรอโอน (Backlog) 2,750 ล้านบาทมาจากโครงการคอนโด จำนวน 2,360 ล้านบาท คิดเป็น 85% และมาจากโครงการแนวราบ จำนวน 390 ล้านบาท คิดเป็น 15% ของยอดขายรอโอน ทั้งหมด ซึ่งจะทยอยรับรู้รายในปี 2566 และ 2567</p>
<p>“ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้น หลังจากจัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว โดยปัญหาเร่งด่วนที่น่าจะให้ความสำคัญในการแก้ไขก่อน คือ 1. การท่องเที่ยว ซึ่งทำได้ง่าย เร็ว และเห็นผลทันที 2. ภาคการส่งออก และ 3. ภาคอสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นเครื่องจักรใหญ่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งมาตรการต่างๆ น่าจะเริ่มเห็นตั้งแต่เดือน ต.ค. หรือ พ.ย.นี้เป็นต้นไป” โอภาส กล่าว</p>
<p>
ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 1/9/2566</p>
<p><strong>สนค. เตือน รับมือโลกสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ชี้ กว่าครึ่งพึ่งพา ‘เอไอ’ แทนแรงงานคน</strong></p>
<p>นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ต้นทุนการเข้าถึงอุปกรณ์หรือข้อมูลข่าวสารที่ลดต่ำลง เป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจในรูปแบบดั้งเดิมถูกขับเคลื่อนไปสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่ไม่พึ่งพาพื้นที่ทางกายภาพเหมือนอดีต ส่งผลให้รูปแบบการดำเนินธุรกิจตลอดจนรูปแบบการจ้างงานเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นโอกาสของผู้ที่สามารถเข้าถึงและปรับตัวใช้เทคโนโลยีดังกล่าวสร้างหรือพัฒนาและต่อยอดธุรกิจ ในขณะเดียวกันเป็นความท้าทายสำหรับภาคประชาชน และภาคธุรกิจที่ไม่สามารถเข้าถึงหรือปรับตัวได้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วดังกล่าว ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมไทย ขณะเดียวกัน ยังเป็นโอกาสและความท้าทายของภาครัฐในการเตรียมความพร้อมสร้างโครงสร้างพื้นฐานและอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียมกัน รวมถึงหาแนวทางบูรณาการร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเข้ามาลดความเหลื่อมล้ำเดิมที่มีอยู่</p>
<p>สำหรับปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ได้แก่ การขยายตัวของเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม โดยธุรกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในทศวรรษที่ผ่านมา ล้วนเป็นธุรกิจที่เกิดบนเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม อาทิ บริการขนส่ง ที่พัก การซื้อขายออนไลน์ และเครือข่ายสังคม เป็นต้น</p>
<p>โดยส่วนใหญ่มีลักษณะร่วมกันคือเป็น “ธุรกิจแพลตฟอร์ม” ที่ไม่ได้ผลิตสินค้าและบริการด้วยตนเอง แต่ทำหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” และโยกย้าย “ตลาด” ที่เคยเป็นพื้นที่ทางกายภาพเข้าสู่โลกดิจิทัล ตลอดจนทำหน้าที่ “จับคู่” ผู้ซื้อและผู้ขาย ธุรกิจดังกล่าวสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อการใช้แรงงาน อาทิ แรงงานที่ทำงานบนระบบคลาวด์โดยไม่ยึดโยงกับพื้นที่ทางกายภาพ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานที่ใช้ทักษะสูง เป็นต้น</p>
<p>นอกจากนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังเป็นตัวเร่งให้ธุรกิจแพลตฟอร์เติบโตอย่างรวดเร็วอย่างมีนัยสำคัญ</p>
<p>นอกจากนี้ ยังมีการทำงานอัตโนมัติโดยเครื่องจักร ซึ่งไม่จำกัดเฉพาะในภาคการผลิตอุตสาหกรรม แต่รวมไปถึงการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้กับการบริหารงาน ซึ่งจะเป็นปรากฏการณ์ที่พบได้ทั่วไปนับจากนี้ เนื่องจากมีความสามารถในการวิเคราะห์ที่แม่นยำ ทั้งนี้ ในปัจจุบันแม้จะมีเพียงทักษะบางประการที่จะถูกทดแทนด้วยการทำงานอัตโนมัติโดยเครื่องจักรได้ แต่ในอนาคตอาจมีการพัฒนาเทคโนโลยีให้เครื่องจักรทำงานแทนคนในทักษะต่าง ๆ มากขึ้น</p>
<p>
ที่มา: มติชนออนไลน์, 1/9/2566</p>
<p><strong>สนค. เตือน รับมือโลกสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ชี้ กว่าครึ่งพึ่งพา ‘เอไอ’ แทนแรงงานคน</strong></p>
<p>นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ต้นทุนการเข้าถึงอุปกรณ์หรือข้อมูลข่าวสารที่ลดต่ำลง เป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจในรูปแบบดั้งเดิมถูกขับเคลื่อนไปสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่ไม่พึ่งพาพื้นที่ทางกายภาพเหมือนอดีต ส่งผลให้รูปแบบการดำเนินธุรกิจตลอดจนรูปแบบการจ้างงานเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นโอกาสของผู้ที่สามารถเข้าถึงและปรับตัวใช้เทคโนโลยีดังกล่าวสร้างหรือพัฒนาและต่อยอดธุรกิจ ในขณะเดียวกันเป็นความท้าทายสำหรับภาคประชาชน และภาคธุรกิจที่ไม่สามารถเข้าถึงหรือปรับตัวได้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วดังกล่าว ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมไทย ขณะเดียวกัน ยังเป็นโอกาสและความท้าทายของภาครัฐในการเตรียมความพร้อมสร้างโครงสร้างพื้นฐานและอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียมกัน รวมถึงหาแนวทางบูรณาการร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเข้ามาลดความเหลื่อมล้ำเดิมที่มีอยู่</p>
<p>สำหรับปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ได้แก่ การขยายตัวของเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม โดยธุรกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในทศวรรษที่ผ่านมา ล้วนเป็นธุรกิจที่เกิดบนเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม อาทิ บริการขนส่ง ที่พัก การซื้อขายออนไลน์ และเครือข่ายสังคม เป็นต้น</p>
<p>โดยส่วนใหญ่มีลักษณะร่วมกันคือเป็น “ธุรกิจแพลตฟอร์ม” ที่ไม่ได้ผลิตสินค้าและบริการด้วยตนเอง แต่ทำหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” และโยกย้าย “ตลาด” ที่เคยเป็นพื้นที่ทางกายภาพเข้าสู่โลกดิจิทัล ตลอดจนทำหน้าที่ “จับคู่” ผู้ซื้อและผู้ขาย ธุรกิจดังกล่าวสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อการใช้แรงงาน อาทิ แรงงานที่ทำงานบนระบบคลาวด์โดยไม่ยึดโยงกับพื้นที่ทางกายภาพ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานที่ใช้ทักษะสูง เป็นต้น</p>
<p>นอกจากนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังเป็นตัวเร่งให้ธุรกิจแพลตฟอร์เติบโตอย่างรวดเร็วอย่างมีนัยสำคัญ</p>
<p>นอกจากนี้ ยังมีการทำงานอัตโนมัติโดยเครื่องจักร ซึ่งไม่จำกัดเฉพาะในภาคการผลิตอุตสาหกรรม แต่รวมไปถึงการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้กับการบริหารงาน ซึ่งจะเป็นปรากฏการณ์ที่พบได้ทั่วไปนับจากนี้ เนื่องจากมีความสามารถในการวิเคราะห์ที่แม่นยำ ทั้งนี้ ในปัจจุบันแม้จะมีเพียงทักษะบางประการที่จะถูกทดแทนด้วยการทำงานอัตโนมัติโดยเครื่องจักรได้ แต่ในอนาคตอาจมีการพัฒนาเทคโนโลยีให้เครื่องจักรทำงานแทนคนในทักษะต่าง ๆ มากขึ้น</p>
<p>
ที่มา: มติชนออนไลน์, 1/9/2566</p>
<p><strong>ผลสำรวจพบ 72% ของพนักงานบูมเมอแรง (Boomerang Workforce) ในประเทศไทย มีความยินดีที่จะกลับไปทำงานกับบริษัทเก่า</strong></p>
<p>บริษัทโรเบิร์ต วอลเทอร์ส บริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดหางาน เปิดเผยผลสำรวจระบุว่าพนักงานจำนวนเกือบสามในสี่ (72%) ในประเทศไทยกล่าวว่า พวกเขาเปิดใจที่จะกลับไปทำงานกับนายจ้างคนเก่า โดยที่พวกเขามีแนวโน้มที่จะได้รับการตอบรับที่ดีเพราะนายจ้างจำนวนถึง 80% ยินดีที่จะรับพนักงานเก่ากลับมาทำงานด้วย</p>
<p>จากผลสำรวจล่าสุดของ โรเบิร์ต วอลเทอร์ส (โดยสำรวจจากพนักงานเกือบ 1,000 คน ใน 6 ประเทศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่ง 130 คน มาจากประเทศไทย) พนักงาน 41% ในประเทศไทยลาออกจากงานในช่วงสองปีที่ผ่านมาเพราะต้องการค่าจ้างและสวัสดิการที่ดีขึ้น ส่วนพนักงานอีก 40% ถัดมาลาออกเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพที่ดีขึ้น</p>
<p>โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทย ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 26% ตั้งใจที่จะกลับไปร่วมงานกับนายจ้างเก่าอีกครั้ง ถ้าหากได้รับข้อเสนอทางโอกาสก้าวหน้าในอาชีพที่ดี และอีก 25% กล่าวว่าพวกเขาเปิดกว้างต่อข้อเสนอถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้นำหรือทีม นอกจากนี้ พนักงานจำนวน 14% กล่าวว่า พวกเขาเต็มใจที่จะกลับไปทำงานกับนายจ้างเก่าหากพวกเขาได้รับค่าตอบแทนที่ดีกว่า</p>
<p>ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสัดส่วนผู้ตอบแบบสอบถามที่ยังคงมีการติดต่อกับอดีตบริษัทที่ตนเคยทำงานด้วยมากที่สุด ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศอินโดนีเซียและประเทศเวียดนาม พนักงานในไทยจำนวนน้อยกว่า 1 ใน 10 (8%) ไม่ได้ติดต่อกับอดีตนายจ้างเลย (เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ 13%) (ประเทศที่ดำเนินการสำรวจ จำนวน 6 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ประเทศไทย และเวียดนาม)</p>
<p>ผู้ตอบแบบสำรวจ จำนวน 92% ยอมรับว่าพวกเขายังคงมีการติดต่อกับหัวหน้าเก่าอยู่บ้าง โดยจำนวนมากกว่า 1 ใน 4 กล่าวว่า การทำเช่นนี้มีจุดประสงค์หลักเพื่อเป็นการเปิดประตูสู่โอกาสทางอาชีพในอนาคต (27%)</p>
<p>จากผลสำรวจในประเทศไทย พนักงานจำนวน 35% ยอมรับว่าพวกเขาได้มีการติดต่อกลับไปที่ทำงานเก่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา เกี่ยวกับข้อเสนอการทำงาน ในขณะที่พนักงานจำนวน 13% มีความตั้งใจที่จะติดต่อกลับไปเช่นกัน</p>
<p>โดยรวมพนักงานส่วนใหญ่ในประเทศไทยได้ความตอบรับต่อแนวคิดนี้ในเชิงบวก โดยนายจ้างจำนวนกว่า 80% ในประเทศไทย ยินดีที่จะพิจารณาจ้างงานอดีตพนักงานอีกครั้งในตำแหน่งที่เหมาะสม ผู้จัดการจำนวนเกือบ 70% จะพิจารณาให้ “อดีตพนักงานที่มีผลงานดี” กลับมาทำงาน และผู้จัดการอีก 12% เปิดกว้างต่อแนวคิดนี้ แต่จะดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปและรอบคอบ</p>
<p>อย่างไรก็ตาม มีผู้จัดการในประเทศไทยจำนวนถึง 19% มีความเห็นว่าพวกเขาจะไม่พิจารณาจ้างพนักงานเก่าอีกครั้ง เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ 9% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประเทศไทย มีความระแวดระวังมากที่สุดในแง่มุมนี้</p>
<p>คุณปุณยนุช ศิริสวัสดิ์วัฒนา ผู้จัดการโรเบิร์ต วอลเทอร์ส ประจำประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติม “จากผลการสำรวจของเราพบว่า ผู้จัดการในประเทศไทยเปิดรับพิจารณาการจ้างอดีตพนักงานของตนอีกครั้ง ในขณะที่พนักงานส่วนใหญ่ยังคงติดต่อกับนายจ้างเก่าของตน ปัจจุบันพนักงานตระหนักถึงความสำคัญของการรักษา สายสัมพันธ์ที่ดีกับอดีตนายจ้าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ การได้รับคำปรึกษา การพัฒนาวิชาชีพ หรือเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่ดีที่พวกเขาได้สร้างร่วมกันมา ในทางกลับกันนายจ้างก็ควรรักษาการสื่อสารกับอดีตพนักงานอย่างสม่ำเสมอเนื่องจากบุคคลเหล่านี้มีกรอบความคิดที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมของบริษัทและมีทักษะวิชาชีพที่ตอบโจทย์ซึ่งถือว่าได้เปรียบกว่าการสรรหาพนักงานใหม่ วิธีการเหล่านี้ถือเป็นการเปิดประตูสู่โอกาสในการว่าจ้างพนักงานเก่ากลับมาทำงานใหม่ได้ในอนาคต’’</p>
<p>โทบี้ ฟาวล์สตัน, ผู้บริหารสูงสุดของบริษัทที่ปรึกษาด้านการสรรหาบุคลากรระดับโลกโรเบิร์ต วอลเทอร์ส แสดงความคิดเห็นว่า: “ในขณะที่ในปี 2023 ตลาดการสรรหางานชั้นนำระดับโลกได้มีการชะลอตัวลง การขาดแคลนผู้สมัครงานยังคงมีอยู่ ดังนั้น ความเป็นจริงที่ว่ามีกลุ่มคนที่พร้อมกลับเข้ามาร่วมธุรกิจน่าจะเป็นข่าวดีสำหรับผู้นำองค์กร</p>
<p>“ไม่เพียงแค่เท่านั้น แต่ทักษะของอดีตพนักงานยังสามารถนำมาใช้งานได้ทันที พวกเขาได้รับการสอนงานเพื่อเข้าสู่ธุรกิจของคุณแล้ว พวกเขายังมีความคุ้นเคยกับกระบวนการต่างๆ และมีความสนใจในแบรนด์ มาก่อน ซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้อาจใช้เวลาหลายปีในการ ปลูกฝังให้กับพนักงานใหม่</p>
<p>“โดยพิจารณาจากการวิจัยนี้ บริษัทที่กำลังมองหาการจ้างงาน สามารถพิจารณาให้โอกาสกับอดีตพนักงานเพื่อเข้าร่วมงานด้วยอีกครั้ง และฝึกอบรมผู้จัดการให้มีทัศนคติเชิงบวก โดยที่พนักงานบูมเมอแรง (Boomerang Employees) อาจเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการแก้ไขปัญหาด้านการขาดแคลนทักษะความสามารถ</p>
<p>สิ่งสำคัญสำหรับนายจ้าง คือการบริหารจัดการการกลับมาทำงานอีกครั้งของพนักงานบูมเมอแรงท่ามกลางพนักงานในบริษัทที่มีอยู่เดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีอดีตพนักงานที่กลับมาทำงานในตำแหน่งที่สูงกว่าตอนที่พวกเขาออกจากงาน นายจ้างจำเป็นที่จะต้องสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้น และควรประเมินว่าพวกเขากำลังทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเปิดโอกาสภายในองค์กรอย่างเต็มที่ มิเช่นนั้นอาจเสี่ยงที่จะส่งข้อความว่าในการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง และได้รับสวัสดิการที่ดีกว่า พวกเขาต้องเลือกเส้นทางในการลาออกและกลับมาทำงานอีกครั้ง (Boomerang Route)”</p>
<p>
ที่มา: บริษัทโรเบิร์ต วอลเทอร์ส, 31/8/2566 </p>
<p><strong>ก.แรงงาน เผย จัดฝึกอบรม พัฒนาทักษะ "สร้างอาชีพ เสริมรายได้ให้ชุมชน"</strong></p>
<p>30 ส.ค. 2566 นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงฯ ได้จัดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ “สร้างอาชีพ เสริมรายได้ให้ชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก แรงงานไทย” เพื่อพัฒนาทักษะให้แก่แรงงานและประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้มีรายได้ต่อยอดนโยบายการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบของกระทรวงแรงงาน</p>
<p>สำหรับการจัดฝึกอบรมตามหลักสูตรโครงการนี้ จัดให้กับประชาชนพื้นที่ทั้ง 77 จังหวัด จำนวน 231 รุ่น รุ่นละ 110 คน รวมไม่น้อยกว่า 25,410 คน จัดฝึกอบรมตามหลักสูตรที่เหมาะสมกับประชาชน ทั้งหลักสูตรการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น และหลักสูตรการพัฒนาทักษะอาชีพงานบริการ</p>
<p>โดยโครงการฯ ได้รับความสนใจจากประชาชนและมีผู้เข้าฝึกอบรมเป็นจำนวนมาก ทำให้แรงงานนอกระบบ หรือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ และพัฒนาทักษะที่ตนเองมีให้มีมูลค่ามากขึ้น ทำให้มีอาชีพติดตัว และมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม</p>
<p>
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์, 30/8/2566</p>
<p><strong>‘สมัชชาแรงงานแห่งชาติ’ให้กำลังใจ ‘เศรษฐา’ พร้อมยื่น 11 ข้อเรียกร้อง</strong></p>
<p>สมัชชาแรงงานแห่งชาติ นำโดยนายทศพร คูณศรี เลขาธิการสมัชชาแรงงานแห่งชาติ เดินทางมาแสดงความยินดีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 พร้อมยื่นข้อเสนอขอให้รัฐบาลแก้ไขพระราชบัญญัติประกันสังคมฉบับใหม่ พ.ศ. ….และกฎหมายแรงงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อคุ้มครองและยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้แรงงาน โดยมี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย , นางสาวตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เป็นตัวแทนรับข้อเสนอข้อร้องเรียนสภาพปัญหาและช่อดอกไม้แสดงความยินดีแทน</p>
<p>ในหนังสือข้อเร