• "เจวิ้นถาน" พิธีเบิกพรหมจรรย์ โดยพระสงฆ์ อาณาจักรกัมพูชา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย เคยเป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรือง สามารถแผ่อำนาจเข้ามาในดินแดนลาว มอญ รวมถึงประเทศไทยในพื้นที่ส่วนใหญ่ของลุ่มน้ำเจ้าพระยา รวมทั้งเมืองลพบุรี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก เมื่อรวบรวมอำนาจไว้ได้ ก็ได้ให้ช่างที่มีฝีมือดีเริ่มก่อสร้างศาสนสถานต่างๆ ตามแบบปฏิมากรรมเขมรไว้เพื่อสำหรับการเคารพบูชาเป็นจำนวนมาก ซึ่งยังคงปรากฎหลักฐานอยู่มากมายหลายแห่งในประเทศไทย
อาณาจักรกัมพูชามีความเจริญสูงสุดอยู่ได้ไม่นาน ในไม่ช้าก็ตกไปสู่ความเสื่อม
ใน พ.ศ.๑๘๓๘ ราชทูตจีนชื่อ เฉาเตากวน ได้เข้ามาเยี่ยมอาณาจักรกัมพูชา โดยเฉพาะ ณ พระนครหลวง เขาและคณะได้รับอนุญาตให้เข้านอกออกในพระราชวัง แต่ไม่รวมถึงฝ่ายใน เขาบันทึกพรรณนาปราสาทราชมนเทียร วัดวาอาราม ตึกรามบ้านช่อง ทั้งในเมืองนอกเมือง พิธีกรรมและขบวนแห่ต่างๆ รวมถึงชีวิตประจำวันของผู้คน ทั้งได้เที่ยวท่องไปตลอดเมืองและชนบท ในช่วงที่เขาอยู่ ณ เมืองพระนครนี้ เขาพักอยู่ ณ เรือนแห่งหนึ่งใกล้กับประตูทางทิศเหนือของเมือง
บันทึก“จดหมายเหตุ” ของเฉาเตากวนจึงเป็นหลักฐานสำคัญในการศึกษา คว้าทางโบราณคดีของชาวเขมรโบราณ
เฉาเตากวนได้บันทึกเกี่ยวกับ “สังคม ประเพณี และขนบธรรมเนียม” ของชาวกัมพูชาในสมัยปี พ.ศ.๑๘๓๘ ไว้อย่างน่าฟังว่า
ในประเทศนี้๑ มีเสนาบดี ขุนพล โหรา และขุนนางอื่นๆ ถัดลงมา จัดตั้งขุนนางชั้นผู้น้อย แต่ชื่อตำแหน่งแตกต่างกับของจีน ส่วนใหญ่เอาราชนิกูลเป็นขุนนาง หรือมิฉะนั้นก็พวกพระเจ้าแผ่นดินทรงรับบุตรีไว้เป็นพระสนม เมื่อขุนนางออกไปนอกบ้านนั้นก็มีระเบียบพิธี และผู้ติดตามตามลำดับยศ พวกที่มียศสูงใช้คนหาม ที่มีคานหามเป็นทองคำกับสัปทนด้ามทองคำ ๔ คัน ยศรองลงมาใช้คานหามที่มีคานเป็นทองคำสัปทนด้ามทองคำ ๒ อัน ยศรองลงมาอีกใช้คานหามที่มีคานเป็นทองคำ และสัปทนด้ามทองคำ ๑ คัน ที่ใช้สัปทนด้ามทองคำอย่างเดียวก็ยิ่งรองลงมาอีก พวกยศต่ำๆ ใช้แต่เพียงสัปทนด้ามเงินอย่างเดียวเท่านั้น แต่ที่ใช้คานหามที่มีคานเป็นเงินก็มีเหมือนกัน พวกที่ใช้สัปทนด้ามทองคำเป็นขุนนางชั้นสูง เรียกว่า “ปาติง” หรือ “อ้านติง” ส่วนพวกที่ใช้สัปทนด้ามเงิน เรียกว่า “ซือลาเตจ” สัปทนทั้งหมดทำด้วยผ้าแพรดิบสีแดงของเมืองจีนมีระบายลงมาเรี่ยดิน ส่วนสัปทนแบบร่มกระดาษน้ำมันทำด้วยผ้าแพรดิบสีเขียวแต่ระบายนั้นสั้น
ทุกคนนับตั้งแต่พระเจ้าแผ่นดินลงมาทั้งชายและหญิง มุ่นมวยและเปลือยท่อนบนใช้ผ้าพันเอว เมื่อออกไปนอกบ้านก็เพิ่มผ้าผืนใหญ่หนึ่งผืนพันผ้าผืนเล็กเข้าไว้ เรื่องผ้าที่นุ่งนั้นมีชั้นอันดับอยู่มาก ภูษาของพระเจ้าแผ่นดินมีมูลค่าเป็นเงิน ๓ ถึง ๔ ตำลึงเป็นภูษาที่สวยงามและปราณีตที่สุด แม้ว่าในประเทศจะทอผ้าได้เอง แต่ก็ยังมีมาจาก “เสียมหลอ”๒ และ “จ้านเฉิง”๓ ที่มาจากทะเลตะวันตกมักจะเป็นชนิดเลิศ เพราะเนื้อละเอียดและฝีมือปราณีต
เฉพาะแต่พระเจ้าแผ่นดินเท่านั้นที่ทรงภูษายกดอกล้วนได้ บนพระเศียรทรงสวมมงกุฎทองคำเหมือนกันกับสิ่งที่วัชธรสวมอยู่บนศีรษะ มีบางเวลาที่ไม่ทรงสวมมงกุฎแต่ใช้ด้ายร้อยดอกไม้หอม เช่นดอกมะลิล้อมรอบมวยเกศาของพระองค์ ที่พระศอทรงสวมสร้อยพระศอไข่มุกขนาดใหญ่หนัก ๓ ชั่งเศษ ข้อพระหัตถ์ ข้อพระบาทและนิ้วพระหัตถ์ทรงสวมกำไลและพระธำรงค์ฝังเพชรตาแมวทั้งสิ้น ท่อนล่างพระบาทเปล่า ฝ่าพระบาทและฝ่าพระหัตถ์ทั้งหมดย้อมสีแดงด้วยน้ำยาสีแดง เมื่อเสด็จออกทรงถือพระขรรค์ไว้ในพระหัตถ์
ในหมู่ราษฎรเฉพาะแต่ผู้ใหญ่เท่านั้นที่จะย้อมฝ่ามือฝ่าเท้าได้ ส่วนพวกผู้ชายนั้นไม่กล้าย้อม ขุนนางผู้ใหญ่และเจ้านายแต่งกายด้วยผ้ายกดอกห่างๆ ขุนนางธรรมดาแต่งกายด้วยผ้ายกดอกสองชายได้ สำหรับหมู่ราษฎรผู้หญิงเท่านั้นที่ยอมให้แต่งได้ คนจีนที่มาถึงใหม่ถึงแม้จะแต่งกายด้วยผ้ายกดอกสองชาย คนก็ไม่ถือโทษเพราะถือว่าไม่เข้าใจระเบียบและแบบแผนของประเทศ
บุคคลทั่วไปในจีนรู้แต่เพียงว่าพวกคนป่าเถื่อนทางทิศใต้นั้นรูปร่างหยาบ หน้าตาน่าเกลียด ทั้งดำมาก แต่หารู้ไม่ว่าพวกที่อยู่ตามเกาะแก่งบ้านนอกและตรอกซอยเท่านั้นที่เป็นจริงดังกล่าว ส่วนพวกชาววังและพวกผู้ดีตามบ้านนั้น ที่เป็นผู้หญิงมีผิวขาวประดุจหยกทั้งนี้เนื่องจากไม่เห็นแสงตะวันกันเลย โดยทั่วๆ ไปแล้วผู้หญิงก็เหมือนกับผู้ชาย คือใช้ผ้าผืนเดียวนั้นเอง เปลือยอกที่ขาวนุ่มนวลดุจเนยเหลว เกล้ามวยและเดินด้วยเท้าเปล่า แม้แต่พระมเหสีของพระเจ้าแผ่นดินก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน พระเจ้าแผ่นดินทรงมีพระมเหสี ๕ องค์ องค์หนึ่งประทับอยู่ที่ปราสาท องค์กลางอีก ๔ องค์อยู่ที่พระมณเฑียร ประจำทิศทั้ง ๔ ที่ต่ำลงมาก็คือพวกสนมและนางกำนัลที่ราชทูตจีนได้ยินว่ามีอยู่ ๓ ถึง ๔ พันคน แบ่งออกเป็นชั้นอันดับ พวกนางไม่ค่อยได้ออกจากที่พักอาศัยง่ายนัก แต่ละครั้งที่ราชทูตเข้าไปในวังนั้น ท่านราชทูตเห็นพระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกพร้อมด้วยพระอัครมเหสี และปรับทับนั่งอยู่กลางพระบัญชรทองคำของพระที่นั่ง พวกสตรีชาววังยืนเรียงตามลำดับสองฟากระเบียงใต้พระบัญชรด้านที่พิงฝาแอบมองเรา ท่านราชทูตจึงได้เห็นพวกเหล่านั้น ครอบครัวใดมีสตรีหน้าตาสะสวยจะมีรับสั่งเรียกตัวเข้าวัง ทางเบื้องล่างนั้นเป็นหญิงรับใช้งานเข้าออก เรียกว่าเฉินเกียหลาน มีอยู่ไม่ต่ำกว่าพันถึงสองพันนาง นางเหล่านี้มีสามีแล้ว และอาศัยปะปนอยู่กับราษฎรสามัญ นางโกนผมเหนือหน้าผาก ลักษณะทำนองชาวเหนือเบิกร่องน้ำ และใช้ชาดสีแดงทาไว้ตรงนั้นแหละที่ขมับทั้งสองข้าง โดยถือเอาสิ่งนี้แสดงว่าเป็นเฉินเกียหลาน แตกต่างไปจากผู้อื่นเฉพาะแต่ผู้หญิงเหล่านี้เท่านั้นที่เข้าไปในพระราชวังได้ ผู้หญิงอื่นที่มีฐานะต่ำกว่านี้จะเข้าไปไม่ได้เลย
เบื้องหน้าและเบื้องหลังราชวัง มีผู้หญิงสามัญเดินไปมาบนถนนไม่ขาดสาย บ้างเอาไว้ผมมวยแต่ไม่มีปิ่นปักผมหรือหวี และไม่มีสิ่งประดับศีรษะหรือหน้า แต่ที่แขนมีกำไลทองคำ นิ้วสวมแหวนทองคำ ซึ่งพวกเฉินเกียหลานและพวกชาววังก็ใช้ด้วยเหมือนกันทั้งชายและหญิงมักใช้เครื่องหอมทาตามร่างกาย เครื่องนี้ปรุงสำเร็จด้วยแก่นจันทร์ ชะมดเชียงและของหอมอื่นๆ ทุกครอบครัวนับถือพุทธศาสนา ในประเทศนี้มีพวกกะเทยอยู่มากมาย ทุกวันจะเดินตามตลาดเป็นหมู่ๆ ๑๐ คน มักจะชอบชักชวนชาวจีน
เมื่อชาวบ้านให้กำเนิดลูกหญิง ผู้ที่เป็นบิดามารดามักไม่เว้นที่จะอวยชัยให้พรว่า ขอให้เจ้ามีคนต้องการ ต่อไปในภายหน้าขอให้เจ้ามีผัวร้อยคนพันคนเถิด ลูกสาวของครอบครัวที่มั่งมีศรีสุขที่มีอายุได้ ๗-๘ ขวบ และที่มีอายุได้ ๑๑ ขวบ สำหรับครอบครัวที่ยากจนจะต้องให้ภิกษุหรือดาบสทำพิธีทำลายพรหมจารี เรียกว่า “เจวิ้นถาน”๔ ทุกๆ ปีเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองจะเลือกเอาวันใดวันหนึ่งของเดือนซึ่งตรงกับเดือนที่ ๔ ของจีน ป่าวประกาศให้ทราบว่าครอบครัวใดในประเทศนี้มีบุตรซึ่งจะเข้าพิธีเจวิ้นถานนั้น จะต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบก่อน แล้วเจ้าหน้าที่จะให้เทียนเล่มใหญ่ล่วงหน้าไป ๑ เล่ม และขีดสลักเทียนเป็นที่หมายไว้ ๑ แห่ง นัดหมายให้จุดเทียนตอนพลบค่ำของคืนวันนั้น พอละลายลงมาถึงที่หมายก็ได้เวลาประกอบพิธีเจวิ้นถาน ก่อนถึงกำหนดล่วงหน้า ๑ เดือน หรือครึ่งเดือน หรือ ๑๐ วัน บิดามารดาจะต้องเลือกพระภิกษุหรือดาบสรูปใดรูปหนึ่ง สุดแล้วแต่จะอยู่วัดหรืออาศรมแห่งใด พระภิกษุหรือดาบสมักจะมีขาประจำของตนอยู่ พระภิกษุที่ดีมีคุณธรรมสูงนั้นบ้านขุนนางและคหบดีมักจะจองตัวไว้ล่วงหน้า ส่วนพวกที่ยากจนก็ไม่มีเวลาว่างที่จะไปเลือกได้ ครอบครัวขุนนางและคหบดีถวายพวกเหล้า ข้าวสาร ผ้าแพร หมาก เครื่องเงินหนักถึงร้อยบาทมีมูลค่าเท่ากับสิ่งของ คิดเป็นเงินเมืองจีนสองสามร้อยตำลึง ของถวายที่น้อยกว่านั้นก็สามสิบสี่หาบ หรือยี่สิบหาบสุดแต่ครอบครัวจะมั่งมีหรือยากจน ฉะนั้นครอบครัวที่ยากจนต้องรอจนเด็กอายุ ๑๑ ขวบ จึงจะเริ่มดำเนินการเข้าพิธี นับเป็นเรื่องที่ทำได้ลำบาก มีผู้เสียสละเงินทองให้เด็กหญิงจนๆ เมื่อได้เข้าพิธีเจวิ้นถาน เรียกว่าเป็นการทำบุญ เนื่องจากในปีหนึ่งๆ พระภิกษุรับเด็กหญิงเข้าพิธีได้เพียงคนเดียว เมื่อท่านยอมรับนิมนต์ผู้ใดไว้แล้วก็ไม่ยอมรับนิมนต์ผู้อื่นอีก ในคืนนั้นเขาจัดการเลี้ยงใหญ่และมีดนตรีด้วย เป็นการรวมญาติและเพื่อนบ้าน นอกประตูปลูกเป็นร้านสูง บนร้านวางพวกตุ๊กตาดินปั้นเป็นรูปคนและสัตว์ ที่วางสิบกว่าตัวก็มีสามสี่ตัวก็มี สำหรับครอบครัวที่ยากจนก็ไม่มีเลย แต่ละอย่างเป็นไปตามเรื่องที่มีมาแต่โบราณครบเจ็ดวันก็ยกเอาออกไป พอตกค่ำเขาก็นำคานหาม กลด และดนตรีไปรับพระภิกษุมา ใช้ผ้าแพรพรรณต่างๆ สร้างเป็นศาลาขึ้น ๒ หลัง หลังหนึ่งให้เด็กหญิงนั่งอยู่ อีกหลังหนึ่งให้พระภิกษุนั่ง ท่านราชทูตไม่ทราบว่าปากเขาพูดว่ากระไรเพราะเสียงดนตรีและกลองอึกทึกเซ็งแซ่ คืนวันนั้นไม่ห้ามทำเสียงอื้ออึง ได้ยินว่าเมื่อถึงเวลาพระภิกษุและเด็กหญิงเข้าไปในห้อง พระภิกษุใช้มือทำลายพรหมจารีด้วยตนเอง แล้วนำเยื่อพรหมจารีนั้นใส่ลงในเหล้า เขายังเล่ากันอีกว่า บิดามารดาญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านต่างแต้มเหล้าที่หน้าผากของตนทุกคน บางคนก็ว่าทุกคนใช้ปากชิมดู บ้างก็ว่าพระภิกษุประกอบทารุณกรรมกับเด็กหญิง บ้างก็ว่าไม่เป็นความจริงดังนั้นเลย โดยเหตุที่เขาไม่ยอมให้คนจีนรู้เห็น จึงไม่ทราบเรื่องที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร พอใกล้รุ่งอรุณก็เอาคนหาม กลด กลอง และดนตรีส่งพระภิกษุกลับวัด ต่อมาภายหลังจะเอาผ้าขาวไปให้ไถ่ตัวจากพระภิกษุ ไม่เช่นนั้นเด็กหญิงจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของพระภิกษุตลอดไป และจะแต่งงานกับผู้ใดไม่ได้ ที่ราชทูตจีนเห็นนั้นเป็นปีติงหยิวศักราชต้าเต๊อะ เดือนสี่ คืนหกค่ำ (๒๘ เมษายน พ.ศ.๑๘๔๐) ก่อนวันพิธีบิดามารดาและเด็กหญิงจะนอนด้วยกัน หลังวันพิธีแล้วจะเฉดหัวออกนอกห้อง จะไปไหนมาไหนก็ได้ตามชอบใจ ไม่ต้องบังคับคอยระวังกันแล้ว เกี่ยวกับการมีสามีและภรรยา แม้จะมีประเพณีรับผ้าไหว้ก็เป็นเพียงแต่กระทำลวกๆ พอเป็นพิธี หญิงชายส่วนมากได้เสียกันมาแล้วจึงได้แต่งงานกันตามขนบธรรมเนียมและประเพณีของเขา ไม่ถือเป็นสิ่งที่อายและก็ไม่ถือเป็นเรื่องประหลาดด้วย ในคืนวันประกอบพิธีเจวิ้นถานในตรอกในซอกเดียวกันนั้น อาจมีครอบครัวที่ทำพิธีเจวิ้นถานจำนวนสิบกว่าครอบครัว ในนครนั้นคนที่ไปรับพระภิกษุหรือดาบสเดินสวนกันขวักไขว่อยู่บนท้องถนน ไม่มีที่ไหนเลยจะไม่มีเสียงกลองและเสียงดนตรี. ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เว็บไซต์
matichon.co.thทาสในเรือน พวกทาสในครัวเรือน เขาซื้อพวกคนป่ามาใช้งาน ผู้ที่มีมากก็ร้อยกว่าคน ผู้ที่มีน้อยก็มีสิบยี่สิบคน พวกที่ยากจนเหลือเกินจึงจะไม่มีทาสใช้ คนชาวป่านั้นเป็นมนุษย์ตามป่าเขา มีชาติพันธุ์ของตัวเอง เรียกกันตามภาษาพื้นเมืองว่า “โจรจ้วง” เมื่อเข้าอยู่ในเมืองแล้วก็ไม่กล้าเข้าบ้านคนเขา เมื่อคนในเมืองด่าทอกันและเรียกกันว่า “จ้วง” ก็หมายความว่าเกลียดชังจนเข้าไขกระดูก ที่คนเขาดูถูกดูหมิ่นกันก็เป็นดังที่กล่าวมานี้ ถ้าเป็นคนหนุ่มคนสาวที่แข็งแรง คนหนึ่งๆ มีค่าตัวเท่ากับผ้าร้อยผืน แต่ถ้าแก่เฒ่าไม่มีกำลังวังชา ก็หามาได้ด้วยผ้าเพียงสามสี่สิบผืน เขายอมให้นั่งให้นอนได้แต่เฉพาะใต้ถุนเรือน ต่อเมื่อปฏิบัติงานจึงอนุญาตให้ขึ้นข้างบนได้ แต่จะต้องคุกเข่าพนมมือและค้อมหัวลง แล้วจึงก้าวเข้าไปในเรือน
พวกทาสเรียกนายผู้ชายว่า “ปาถวอ” และเรียกนายผู้หญิงว่า “หมี่” ปาถวอก็คือพี่ หมี่ก็คือแม่ ถ้าทำผิดก็โบยกัน มันจะก้มหัวรับตะพดโดยไม่กล้าเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ทั้งชายและหญิงได้เสียเป็นผัวเมียระหว่างพวกเดียวกันเอง ไม่มีนายผู้ชายที่ปรารถนาจะร่วมประเวณีด้วยกับนางทาส หากชาวจีนที่ไปถึงที่นั่นและอยู่เดียวดายมาเป็นเวลาช้านานไม่เลือกเฟ้น ไปร่วมประเวณีกับนางทาส นายผู้ชายรู้เข้าในวันต่อมาก็จะไม่ยอมให้นั่งร่วมด้วย เพราะได้เคยร่วมประเวณีกับหญิงคนป่า ถ้านางทาสไปร่วมประเวณีกับคนนอกบ้าน ตั้งครรภ์เกิดบุตรขึ้น นายผู้ชายก็จะไม่ถามความเป็นมา เพราะเขาถือว่านางทาสผู้เป็นแม่เป็นบุคคลคนละชั้นคนวรรณะกับพวกเขา กับทั้งเขาได้ประโยชน์จากการได้ลูกทาส ซึ่งจะตกเป็นทาสต่อไปวันข้างหน้า ถ้ามีผู้หลบหนีแล้วจับตัวกลับมาได้ เขาก็จะสักหน้าด้วยสีฟ้า หรือไม่ก็ใส่กำไลเล็กเข้าที่คอเพื่อสวมไว้ ที่ตีตรวนที่แขนและขาก็มีบ้างเหมือนกัน -----------------------
๑ ขนบธรรมเนียมประเพณีของเจินละ
๒ เข้าใจว่าหมายถึงไทย
๓ จีนเรียกชื่ออาณาจักรจัมปาซึ่งตั้งอยู่ในเขตเวียดนามเหนือ
๔ พิธีนี้น่าจะเป็นพุทธศาสนาฝ่ายมหายานในคติวัชรญาน
หมายเหตุ : บันทึกจดหมายเหตุของเฉาเตากวน แปลเป็นภาษาไทย โดย นายเฉลิม ยงบุญเกิด