หัวข้อ: ๒๘ ธ.ค. "วันพระเจ้าตากสินมหาราช" เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 22 มกราคม 2553 11:35:23 (http://i-turr.com/wp-content/uploads/2008/12/untitled2.jpg) ภาพจาก:http://i-turr.com/wp-content/uploads/2008/12/untitled2.jpg (http://i-turr.com/wp-content/uploads/2008/12/untitled2.jpg) ๒๘ ธ.ค. "วันพระเจ้าตากสินมหาราช" เมื่อวาน-๒๘ ธันวาคม เป็น "วันพระเจ้าตากสินมหาราช" ถ้าไม่มีพระองค์ ก็จะไม่มีประเทศไทย และคนไทยในวันนี้ แต่ดูเหมือนว่าพระองค์จะทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่อาภัพ พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน คนไทยก็ดูคล้ายลืมกันไปขนาดนั้น ขนาดพระราชประวัติ ใครต้องการศึกษาให้ลึกซึ้ง ต้องพึ่งหนังสือฝรั่งรวบรวมมากกว่าจะหาได้จากการขวนขวายนำเสนอของคนไทยกันเอง ไม่เชื่อก็ลองทดสอบดูก็ได้นี่ครับว่า คนไทยมีความรู้-ความเข้าใจเกี่ยวกับ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตากสินมหาราช" มากน้อยแค่ไหน...เอ้า..ลองตอบซิว่า "วันที่ ๒๘ ธันวาคม ที่เป็นวันพระเจ้าตากสินมหาราช นั้น มีความหมายถึงวันอะไร?" เป็นวันพระราชสมภพ, เป็นวันเสด็จสวรรคต, เป็นวันชนะศึก, เป็นวันสถาปนากรุงธนบุรีพร้อมเสด็จขึ้นครองราชย์ หรือเป็นวันกู้ชาติสำเร็จ? อึกอักๆ กันใช่มั้ยล่ะ วันที่ ๒๘ ธันวาคม คือ หลังจากขับไล่พม่าพ้นไปจากแผ่นดินไทยแล้ว ทรงปราบดาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๓๑๐ ก็ช่วยกันจำให้แม่นต่อจากนี้ไปนะครับ ส่วนวันพระราชสมภพ คือ ปีขาล วันอาทิตย์ที่ ๗ เมษายน พ.ศ.๒๒๗๗ ถ้านับถึงปีหน้า-ปีขาล ๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตากสินมหาราช ก็ทรงมีชาตกาลยาวนานครบ ๒๗๖ ปี! บ้านเมืองช่วงนี้ มีแต่ปฏิบัติการหมาหอน หมาเห่า และหมากัดกัน ไม่มีคุณค่า และไม่มีสาระอะไรที่จะหยิบมาคุยกันให้เกิดสนิมอารมณ์ ฉะนั้น วันนี้เรามาเรียนประวัติศาสตร์ไทยในอีกแง่มุมหนึ่งเกี่ยวกับ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตากสินมหาราช" กันดีไหม? ผมไม่ได้รวบรวมมาเองหรอก หากแต่คัดลอกของ "คุณอมรรัตน์ เทพกำปนาท" กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ที่เผยแพร่อยู่ในเว็บสนุกดอตคอม เขามาให้ท่านอ่าน ดังนี้ เนื่องในโอกาส วันที่ ๒๘ ธันวาคม ของทุกปี เป็น "วันพระเจ้าตากสินมหาราช" วีรกษัตริย์ผู้กอบกู้เอกราชให้แก่แผ่นดินไทย ดังนั้น เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และพระปรีชาสามารถ ตลอดจนการเสียสละอย่างใหญ่หลวงของพระองค์ จึงขอน้อมนำเรื่องปัญหาเศรษฐกิจและแนวทางการแก้ไขในยุคกรุงธนบุรี มานำเสนอเพื่อให้พวกเราปัจจุบันได้ทราบว่าในสมัยนั้น มีวิธีการแก้ไขปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้อย่างไร เพราะไม่ว่ายุคใดสมัยไหน ปัญหาเศรษฐกิจอันเป็นเรื่องเกี่ยวกับปากท้องชาวบ้านนับเป็นเรื่องใหญ่ และสำคัญของบ้านเมืองเสมอ ตลอดระยะเวลา ๑๕ ปี ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช นับตั้งแต่ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงธนบุรี ในปี พ.ศ.๒๓๑๐ จนถึงปี พ.ศ.๒๓๒๕ ที่เสด็จสวรรคต พระองค์ต้องทรงตรากตรำกรำศึกมาโดยตลอด นอกจากต้องรบกับพม่าเพื่อกอบกู้เอกราชในครั้งแรก รวมถึงการทำศึกกับก๊กต่างๆ ที่ตั้งตัวเป็นใหญ่แล้ว ยังต้องทำการรบกับพม่าที่ยกมาโจมตีอีกถึง ๙ ครั้งใหญ่ ในขณะเดียวกันก็ยังได้ทำสงครามขยายอาณาเขตอีกหลายครั้ง เป็นผลให้ไทยมีประเทศราชหลายแห่งกลับคืนมาเหมือนสมัยอยุธยา ซึ่งในช่วงแรกหลังจากการเสียกรุงครั้งที่ ๒ กล่าวได้ว่าเศรษฐกิจของบ้านเมืองอยู่ในภาวะตกต่ำเป็นอย่างยิ่ง การทำไร่นาและการค้าขายกับต่างประเทศหยุดชะงักลงเกือบจะสิ้นเชิง และแม้หลังการกอบกู้ชาติได้แล้ว ความอดอยากและการขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภคก็เกิดขึ้นอยู่แทบจะตลอดรัชกาล เนื่องจากมีปัจจัยและสิ่งแวดล้อมที่ต้องทำให้สิ้นเปลืองและกระทบกับสภาพเศรษฐกิจโดยส่วนรวมหลายอย่าง อาทิ ๐ในช่วงก่อนกรุงแตก พม่าได้ยกทัพมาปิดล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่นาน ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถทำไร่ทำนา หรือค้าขายได้ตามปกติ ความขาดแคลนจึงเกิดขึ้นไปทั่ว ๐เมื่อครั้งทำศึกกับก๊กต่างๆ รวมทั้งศึกพม่าและชาติอื่นๆ ที่มีอีกหลายครั้ง ทำให้ต้องใช้กำลังพลในการตระเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ เช่น การต่อเรือ การระดมพลเพื่อฝึกปรือ ฯลฯ ซึ่งมีผลกระทบต่อกำลังการผลิตเป็นอย่างมาก ๐ในระยะแรกที่มีการสร้างเมืองหลวงใหม่ การสถาปนาเจ้านายต่างๆ รวมไปถึงการปูนบำเหน็จความดีความชอบแก่ข้าราชการขุนนาง ต้องใช้กำลังทรัพย์ไม่น้อย ทำให้มีรายจ่ายมากขึ้น ๐ในรัชสมัยของพระองค์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งรีบฟื้นฟูและทำนุบำรุงพระศาสนา ตลอดจนชำระสะสางคณะสงฆ์ให้ตั้งมั่นอยู่ในธรรมวินัย เพราะได้ทรุดโทรมลงมากในช่วงบ้านเมืองเกิดจลาจล จึงจำเป็นต้องใช้พระราชทรัพย์เป็นอันมากเพื่อการดังกล่าว จากเหตุข้างต้น เราจะเห็นได้ว่าสภาพเศรษฐกิจบ้านเมืองเวลานั้น ถ้าพูดแบบสมัยนี้ก็ต้องว่า ตกอยู่ภาวะวิกฤติอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงได้วางนโยบายที่จะผ่อนปรนความเดือดร้อนของราษฎร หรือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่สำคัญ ดังนี้ ประการแรก ทรงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในเรื่องความอดอยากและขาดแคลน ด้วยการพระราชทานข้าวสารให้แก่บรรดาข้าราชการ ทหาร และพลเรือนทั้งไทย/จีน คนละ ๑ ถังต่อ ๒๐ วัน นอกจากนี้ ยังทรงแจกจ่ายอาหารเลี้ยงดูพลเรือนที่อดโซด้วย ประการที่สอง ในช่วงแรกที่ทรงครองราชย์ และเพิ่งผ่านพ้นจากการจลาจลสงคราม จึงยังไม่มีผู้ทำไร่ทำนาเพื่อเพิ่มผลผลิตให้พอเลี้ยงดูผู้คน ทรงแก้ปัญหาด้วยการซื้อข้าวสารจากพ่อค้าสำเภาจีน โดยยอมซื้อในราคาแพงเพื่อแจกจ่ายคนทั้งปวง ซึ่งเมื่อข้าวขายได้ในราคาแพง บรรดาพ่อค้าจีนจากที่ต่างๆ ก็นำข้าวมาขายเพิ่มขึ้น เกิดการแข่งการขาย ข้าวจึงมีราคาถูกลงตามหลักดีมานด์-ซัพพลาย ราษฎรก็ได้รับประโยชน์ ประการที่สาม โปรดให้ข้าราชการผู้ใหญ่และผู้น้อยทำนาปีละ ๒ ครั้งในปี พ.ศ.๒๓๑๑ เป็นการแก้ปัญหาความขาดแคลน เพราะช่วงนั้นข้าวสารราคาสูงมาก ทำให้ราษฎรเดือดร้อน ประการที่สี่ ปรากฏว่าในปี พ.ศ.๒๓๑๑ นั้นเอง ข้าวในยุ้งฉางและทรัพย์สินต่างๆ เสียหายเป็นอันมาก เนื่องจากมีกองทัพหนูมากัดกินเป็นจำนวนมาก พระองค์จึงมีรับสั่งให้ข้าราชการและพลเรือนทั้งหลายจับหนูมาส่งกรมพระนครบาลทุกวัน หนูจึงสงบหายไป ประการที่ห้า ทรงให้มีการส่งเสริมการค้าขายกับต่างประเทศ ซึ่งพ่อค้าที่มีบทบาทสำคัญในช่วงนั้นคงจะเป็นพ่อค้าจีน ซึ่งการค้ากับต่างประเทศนี้ก็ได้ช่วยบรรเทาความขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภคภายในบ้านเมืองได้ในระดับหนึ่ง ประการที่หก การที่ทรงสามารถปราบปรามหัวเมืองต่างๆ รวมทั้งประเทศราช ทำให้มีฐานอำนาจทางการเมืองมั่นคง ซึ่งมีผลต่อการเก็บภาษีอากร ส่วย และเครื่องราชบรรณาการมาเป็นรายได้ ได้อีกส่วนหนึ่ง ประการที่เจ็ด ในช่วงพม่ายกมาล้อมกรุงศรีอยุธยานั้น ปรากฏว่าราษฎรได้ฝังทรัพย์สินไว้ตามบ้านเรือนเป็นจำนวนมาก เมื่อเสร็จสงครามก็มีเจ้าของไปขุดบ้าง ผู้อื่นไปขุดหาทรัพย์ที่เจ้าของตายแล้วบ้าง ดังนั้น ในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงได้จัดเก็บภาษีแก่ผู้ที่ไปขุดหาทรัพย์เหล่านี้ โดยมีเจ้าหน้าที่ไปประจำอยู่ที่กรุงเก่า และห้ามมิให้ผู้ใดขุดทรัพย์โดยพลการ ซึ่งการเก็บภาษีผูกขาดเช่นนี้ เป็นการเพิ่มพูนรายได้แก่แผ่นดินไม่น้อย ประการที่แปด ทรงเอาผิดและลงโทษผู้ที่บ่อนทำลายทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงและเฉียบขาด เช่น ลงโทษประหารชีวิตผู้ที่ลักลอบทำเงินพด หรือผู้ที่เบิกข้าวหลวงแล้วแทนที่จะไปแจกราษฎรกลับเอาไปให้ภรรยา ก็ได้ลงอาญาเฆี่ยนตี ๑๐๐ ที และปรับข้าวเป็น ๑๐ เท่า ลดตำแหน่งลง และเอาลูกเมียไปจองจำ ต่อเมื่อมีศึกจึงค่อยไปทำราชการแก้ตัว อย่างนี้เป็นต้น การดำเนินการอย่างเฉียบขาดเช่นนี้ ทำให้คนกลัวและช่วยพยุงฐานะเศรษฐกิจได้บ้างส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาประเทศในแนวแปลกใหม่สำหรับสมัยนั้นด้วย คือ ทรงให้มีการตัดถนนในฤดูหนาวคราวว่างศึก เพื่อใช้เป็นเส้นทางสัญจรไปมาของพ่อค้าประชาชน ซึ่งตามธรรมดาเส้นทางคมนาคมสมัยเมื่อ ๒๐๐ ปีมาแล้ว มักจะเป็นทางน้ำทั้งสิ้น นับว่าพระองค์ทรงมีแนวคิดพัฒนาประเทศทันสมัยทีเดียว อย่างไรก็ดี แม้จะดำเนินการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างที่กล่าวมาแล้วก็ตาม สภาพเศรษฐกิจในสมัยพระองค์ก็มิได้มีความเจริญเติบโตสมบูรณ์อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ คงเป็นเพราะการศึกสงครามที่ยังมีอยู่แทบตลอดรัชกาลนั่นเอง ซึ่งปัญหาความอดอยากนี้นับว่าเป็นปัญหาหนักทีเดียว จนพระองค์ถึงกับทรงเคยเอ่ยพระโอษฐ์ด้วยความทุกข์พระราชหฤทัยว่า (http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/220/7220/images/King-Taksin.jpg) ภาพจาก: board.palungjit.com/f6/28-ธันวาค ... "...บุคคลผู้ใด เป็นอาทิ คือ เทวดา บุคคลผู้มีฤทธิ์มาประสิทธิ์ มากระทำ ให้ข้าวปลาอาหารสมบูรณ์ขึ้น ให้สัตว์โลกเป็นสุขได้ แม้ผู้นั้นจะปรารถนาพระพาหาแห่งเราข้างหนึ่ง ก็อาจตัดบริจาคให้แก่ผู้นั้นได้ ความกรุณาเป็นสัตย์ฉะนี้..." จากพระราชปรารภข้างต้น คงจะทำให้เราได้เห็นน้ำพระราชหฤทัยของพระเจ้ากรุงธนบุรีอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าทรงตั้งใจเสียสละเพื่อราษฎรเพียงใด ตลอดรัชกาล พระองค์ต้องทรงพระราชดำริทั้งเรื่องการรบข้าศึกศัตรู เรื่องการฟื้นฟูและทำนุบำรุงบ้านเมือง คิดถึงการแก้ปัญหาปากท้องราษฎร แต่ละเรื่องนับเป็นภาระที่หนักยิ่ง หากมิใช่เพราะพระปรีชาสามารถ น้ำพระราชหฤทัยที่ห้าวหาญ และความเสียสละของพระองค์ท่านแล้ว คงยากที่เราจะมีวันนี้ได้ โดย เปลว สีเงิน 29 ธันวาคม 2552 (:88:) : http://www.thaipost.net/news/291209/15684 (http://www.thaipost.net/news/291209/15684) กราบสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช... และขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ หัวข้อ: Re: ๒๘ ธ.ค. "วันพระเจ้าตากสินมหาราช" เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 22 มกราคม 2553 16:54:43 อนุโมทนาครับ
|