Moving ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ก็ยังเป็นเพียงแค่ ‘คนธรรมดา

(1/1)

มดเอ๊ก:
Tweet






ด้วยเลือด หยาดเหงื่อ คราบน้ำตา : Moving ซีรีส์เกาหลีที่ ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ก็ยังเป็นเพียงแค่ ‘คนธรรมดา

• เวลานี้ คงไม่มีคอซีรีส์เกาหลีคนไหนที่ไม่รู้จัก Moving ซีรีส์แนวดราม่า/แอ็กชัน/แฟนตาซีที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของ ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ที่ต้องคอยหลบซ่อนจากสังคม ทั้งยังต้องคอยปกป้องครอบครัวของตน ซึ่งด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจจากโปรดักชันที่ทุ่มทุนแบบอลังการงานสร้าง พลังทางการแสดงของดาราหลากรุ่น และเรื่องเล่าอันเข้มข้นซ้อนปม ก็ทำให้ตัวซีรีส์มีผู้คอยติดตามรับชมไปทั่วโลก กลายเป็นซีรีส์เกาหลีที่มีคนดูมากที่สุดใน 7 วันแรกของช่อง Disney+ จนถึงขั้นถูกขนานนามว่าเป็น ‘Squid Game ของปีนี้’ กันเลยทีเดียว

• สิ่งแรกที่โดดเด้งออกมาจนต้องกล่าวถึงเป็นลำดับแรก ก็คืองานออกแบบโปรดักชันที่ทุ่มทุนสร้างอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ก็เพราะเรื่องราวของ Moving ที่ดัดแปลงมาจากเว็บตูนชื่อดังนั้น เล่าถึงกลุ่ม ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ในเกาหลีที่ต้องหลบซ่อน ‘ตัวตนที่แท้จริงอันแตกต่าง’ ของตัวเองเอาไว้ไม่ให้ใครล่วงรู้ และยังต้องคอยปกป้องสมาชิกในครอบครัวของตน ซึ่งว่ากันว่ามีการลงทุนในซีซั่นนี้อยู่ที่ประมาณ 50,000-60,000 ล้านวอนเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีการใช้ซีจีมากกว่า 7,000 ชอต โดยเป็นผลงานการสร้างสรรค์จากบริษัทซีจีชั้นนำหลายแห่งใน 9 ประเทศทั่วโลก

• อีกหนึ่งสิ่งที่โดดเด่นไม่แพ้งานโปรดักชัน ก็คือพลังของทีมนักแสดงที่ประสานมือแท็กทีมกันมาร่วมถ่ายทอดตัวละครต่างๆ ชนิดที่เรียกได้ว่า ‘ไม่มีใครยอมใคร’ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใหญ่ที่ถ่ายทอด ‘ตัวละครผู้ใหญ่’ ที่หลากหลาย ออกมาได้อย่างเปี่ยมมิติจนเราอยากยกนิ้วให้ หรือรุ่นเยาว์ที่ก็คว้าหัวใจของผู้ชมเอาไว้ได้ ด้วยค่าที่พวกเขาสามารถถ่ายทอดความน่ารัก การตั้งคำถามต่อชีวิต และความน่าเห็นใจของตัวละครรุ่นลูกออกมาได้ค่อนข้างหมดจดงดงาม

• แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ทำให้ Moving กลายมาเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่ทุกคนต่างพูดถึงในปีนี้ ก็คือ เรื่องเล่าของมันที่ว่าด้วยการเลือกทางเดินชีวิตของ ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ แต่ละคน ซึ่งเป็นการใช้ขนบ ‘การปิดบังตัวตน แต่ก็ยังต้องต่อสู้เพื่อคนรอบข้าง’ ของเรื่องเล่าแบบ ‘ซุปเปอร์ฮีโร่’ มาเป็นเครื่องมือถ่ายทอดประเด็นสำคัญๆ ที่ซุกซ่อนเอาไว้มากมาย – โดยยังสามารถรับชม Moving ได้ทาง Disney+ Hotstar ทุกวันพุธ (ความยาว 20 ตอนจบ)




https://www.youtube.com/v//Y7TV9FZpgMg 

https://youtu.be/Y7TV9FZpgMg?si=EG8Hzd7VGQLXNwcc


สำหรับคอซีรีส์เกาหลีในช่วงนี้ คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก Moving ซีรีส์แนวดราม่า/แอ็กชัน/แฟนตาซีที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของ ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ที่ต้องคอยหลบซ่อนจากสังคม ทั้งยังต้องคอยปกป้องครอบครัวของตน ซึ่งด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจจากโปรดักชันที่ทุ่มทุนแบบอลังการงานสร้าง พลังทางการแสดงของดาราหลากรุ่น และเรื่องเล่าอันเข้มข้นซ้อนปม ก็ทำให้ตัวซีรีส์มีผู้คอยติดตามรับชมไปทั่วโลก กลายเป็นซีรีส์เกาหลีที่มีคนดูมากที่สุดใน 7 วันแรกของช่อง Disney+ จนถึงขั้นถูกขนานนามว่าเป็น ‘Squid Game ของปีนี้’ กันเลยทีเดียว

ขณะที่เขียนบทความชิ้นนี้ ซีรีส์ได้ดำเนินมาถึงตอนที่ 13 แล้ว (จากทั้งหมด 20 ตอน) และความสนุกก็ดูจะทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกตอน เราจึงอยากชวนคุณมาสำรวจว่า เหตุใด Moving จึงสามารถครองใจผู้ชมได้มาจนถึงตอนนี้ แม้ว่าซีรีส์จะยังไม่สามารถคาดเดาไปถึงบทสรุปสุดท้ายได้ก็ตาม



งานโปรดักชันทุนหนา ที่พาเราไปสัมผัสฉากหลังย้อนยุค และงานซีจีสุดเนี้ยบแบบเกาหลีใต้

สิ่งแรกที่โดดเด้งออกมาจนต้องกล่าวถึงเป็นลำดับแรก ก็คืองานออกแบบโปรดักชันที่ทุ่มทุนสร้างอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ก็เพราะเรื่องราวของ Moving ที่ดัดแปลงมาจากเว็บตูนชื่อดังนั้น เล่าถึงกลุ่ม ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ในเกาหลีที่ต้องหลบซ่อน ‘ตัวตนที่แท้จริงอันแตกต่าง’ ของตัวเองเอาไว้ไม่ให้ใครล่วงรู้ และยังต้องคอยปกป้องสมาชิกในครอบครัวของตน โดยเฉพาะลูกๆ ที่ส่วนใหญ่ก็มักรับเอา ‘พลังพิเศษ’ ของพ่อหรือแม่ไปด้วย ให้รอดพ้นจากกลุ่มคนที่เข้ามาคุกคามพวกเขาด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป ซึ่งก็รวมถึงสำนักงานวางแผนความมั่นคงแห่งชาติ ที่เคยเป็นสถานที่ทำงานแบบลับๆ ของพวกเขาในอดีต

และเมื่อการบอกเล่าถึงชีวิตครอบครัวของคนเหล่านี้ ต้องถูกเท้าความย้อนไปถึงช่วงยุค 80 ก่อนจะค่อยๆ เล่าผ่านแต่ละช่วงเวลา และย้อนกลับมายังยุคปัจจุบัน จึงทำให้ Moving ต้องมีการแสดงภาพบริบททางสังคมของเกาหลีในเรื่องออกมาให้ ‘สมจริง’ มากที่สุด เช่น การถ่ายทอดภาพผู้คนและบรรยากาศของออฟฟิศ ผับบาร์ หรือชุมชนในยุคต่างๆ ขึ้นมา โดยมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เราจะได้เห็นเฉพาะในช่วงเวลานั้นปรากฏอยู่ และการสร้างฉากแอ็กชันที่มีทั้งการใช้ซีจีหรือเทคนิคพิเศษทางภาพ และการออกแบบการถ่ายทำที่ ‘บ้าพลัง’ จนผู้ชมต้องอ้าปากค้าง

ด้วยความที่ต้องสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ขึ้นมา Moving จึงถือเป็นอีกหนึ่งผลงานที่มีการใช้ทุนสร้างมหาศาลเกินมาตรฐานทั่วไปของซีรีส์เกาหลี ซึ่งว่ากันว่ามีการลงทุนในซีซั่นนี้อยู่ที่ประมาณ 50,000-60,000 ล้านวอนเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีการใช้ซีจีมากกว่า 7,000 ชอต โดยเป็นผลงานการสร้างสรรค์จากบริษัทซีจีชั้นนำหลายแห่งใน 9 ประเทศทั่วโลก



ทีมนักแสดงต่างช่วงวัย ที่ช่วยเสริมพลังให้กับ ‘ตัวละครเหนือมนุษย์’ ผู้มีความซับซ้อน

อีกหนึ่งสิ่งที่โดดเด่นไม่แพ้งานโปรดักชัน ก็คือพลังของทีมนักแสดงที่ประสานมือแท็กทีมกันมาร่วมถ่ายทอดตัวละครต่างๆ ชนิดที่เรียกได้ว่า ‘ไม่มีใครยอมใคร’ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใหญ่ หรือรุ่นเยาว์

โดยกลุ่มนักแสดงผู้ถ่ายทอด ‘ตัวละครผู้ใหญ่’ ที่หลากหลาย ออกมาได้อย่างเปี่ยมมิติจนเราอยากยกนิ้วให้ ก็เช่น ฮันฮโยจู ที่รับบทเป็น อีมีฮยอน คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ทำร้านขายทงคัตสึไปพร้อมกับดูแลลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ซึ่งแท้จริงแล้ว เธอมีประสาทสัมผัสที่เป็นเลิศในทุกด้าน

รยูซึงรยง ที่รับบทเป็น จางจูวอน คุณพ่อผู้เพิ่งเปิดกิจการร้านขายไก่ทอดเพื่อหาเลี้ยงลูกสาว ที่เบื้องหลังนั้นมีร่างกายที่สามารถรักษาตัวเองได้ในแทบจะทันที

และ โจอินซอง นักแสดงขวัญใจสาวๆ ผู้ร้างลาจอซีรีส์ไปเกือบสิบปี ที่รับบทเป็น คิมดูชิก สามีของอีมีฮยอนผู้หายสาบสูญไปจากครอบครัวด้วยสาเหตุบางประการ ซึ่งเขาเป็นผู้ที่พุ่งทะยานไปบนฟ้าได้ด้วยความเร็วสูง




ขณะที่กลุ่มนักแสดงวัยเยาว์ ก็คว้าหัวใจของผู้ชมเอาไว้ได้ ด้วยค่าที่พวกเขาสามารถถ่ายทอดความน่ารัก การตั้งคำถามต่อชีวิต และความน่าเห็นใจของตัวละครรุ่นลูกออกมาได้ค่อนข้างหมดจดงดงาม

ทั้ง อีจองฮา ที่ต้องตั้งใจเพิ่มน้ำหนักถึง 30 กิโลกรัมเพื่อรับบท คิมบงซอก ลูกชายผู้ว่านอนสอนง่ายของอีมีฮยอนที่มีความสามารถพิเศษในการลอยตัวได้แบบพ่อ แต่ต้องคอยเก็บกดมันเอาไว้ด้วยการเพิ่มน้ำหนักตัวและถ่วงด้วยอุปกรณ์เสริมตามคำสอนของแม่ผู้คอยเป็นห่วงเป็นใย จนเขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังใช้ชีวิตอย่างไร้อิสระมากขึ้นไปทุกขณะ

โกยุนจอง ในบท จางฮีซู ลูกสาวผู้มุ่งมั่นของจางจูวอนที่มีร่างกายที่สามารถรักษาตัวเองได้เหมือนพ่อ ซึ่งช่วยให้เธอรอดพ้นจากอันตรายต่างๆ เรื่อยมา นับจากอุบัติเหตุรถคว่ำในตอนเด็กที่ทำให้เธอต้องเสียแม่ไป มาจนถึงเหตุการณ์ที่เธอต้องถูกรุมทำร้ายจากนักเรียนสิบกว่าคนที่มาบูลลี่เธอในโรงเรียนเก่า แต่กลับ ‘ไม่เป็นอะไรเลย’ จนเพื่อนๆ ร่วมชั้นพากันหวาดกลัว

หรือจะเป็น คิมโดฮุน ในบท อีคังฮุน หัวหน้าชั้นของคิมบงซอกและจางฮีซู ที่แม้เราจะยังไม่ได้รู้ถึงภูมิหลังครอบครัวของเขามากนัก แต่ก็รู้ว่าเขาเป็นคนที่มีพลังพิเศษในแง่ของความเร็วและพละกำลัง ซึ่งหากซีรีส์ไม่ได้มีเส้นเรื่องเสริมอื่นใด พ่อที่ดูเหมือนจะมีภาวะออทิสติกของเขา น่าจะมีส่วนเกี่ยวพันกับสำนักงานวางแผนความมั่นคงแห่งชาติแบบพ่อแม่ของเด็กคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน – รวมถึงตัวเขาเองที่ก็น่าจะมีปมทางใจบางอย่างที่ผู้ชมยังไม่รู้แน่ชัด ซึ่งเราคงต้องติดตามกันต่อไป




เรื่องเล่าสุดสะเทือนอารมณ์ของ ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ที่ยังเป็นเพียงแค่ ‘คนธรรมดา’ เหมือนกับเรา

แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ทำให้ Moving กลายมาเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่ทุกคนต่างพูดถึงในปีนี้ ก็คือ เรื่องเล่าของมันที่ว่าด้วยการเลือกทางเดินชีวิตของ ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ แต่ละคน ซึ่งเป็นการใช้ขนบ ‘การปิดบังตัวตน แต่ก็ยังต้องต่อสู้เพื่อคนรอบข้าง’ ของเรื่องเล่าแบบ ‘ซุปเปอร์ฮีโร่’ มาเป็นเครื่องมือถ่ายทอดประเด็นสำคัญๆ ที่ซุกซ่อนเอาไว้มากมาย

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการก้าวข้ามผ่านวัยอันยากลำบากของวัยรุ่น อย่างการค้นหาตัวเอง หรือการรับมือกับมิตรภาพ ความรัก และการกลั่นแกล้งรังแกกันภายในสังคมโรงเรียน, การสู้ทนเพื่อเติบโตผ่านความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักหรือคนในครอบครัวเดียวกัน ที่ถึงอย่างไรก็ต้องมีทั้งด้านดีงามและเลวร้ายผ่านเข้ามาให้ได้เผชิญหน้าและแก้ปัญหา หรือแม้กระทั่งเรื่องใหญ่ๆ อย่างการที่ประชาชนต้องถูกคุกคามจากระบบสังคมและกลไกของรัฐอำนาจนิยม ซึ่งไม่ควรถูกปล่อยให้เป็นเรื่องปกติธรรมดาอีกต่อไป

โดยสิ่งเหล่านี้ถูกขับเน้นให้เราเห็นอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ทั้งในระหว่างที่บางตัวละครกำลังออกปฏิบัติการ ‘เพื่อชาติ’ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงไหม, บางตัวละครกำลังปรับตัวให้เข้ากับการมีลูก มีครอบครัว และบางตัวละครกำลังค้นพบสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในจิตใจของตน และผู้คนรอบข้าง ซึ่งทำให้พวกเขาต้องแลกมาด้วยการสูญเสียเลือดเนื้อ หยาดเหงื่อ และทิ้งเอาไว้แค่เพียงคราบน้ำตา





อย่างไรก็ดี สิ่งที่ช่วยให้เรื่องราวหลากมิติของซีรีส์ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก ก็คือการแบ่งโครงสร้างอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมัน

โดยใน 7 ตอนแรก ที่ปล่อยฉายพร้อมกันทีเดียวในวันที่ 9 สิงหาคม เป็นการเล่าถึงเรื่องราวในยุคปัจจุบันของเหล่าลูกๆ ของกลุ่มผู้มีพลังพิเศษอย่างคิมบงซอก จางฮีซู และอีคังฮุน ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังดูซีรีส์ว่าด้วยมิตรภาพและชีวิตรักวัยเรียน ที่ต้องดีลกับ ‘พลัง’ ของตน และความสัมพันธ์รอบข้างไปพร้อมๆ กัน

และก็ยังมีเส้นเรื่องอื่นๆ มาคอยเล่าสลับกันไปมาเพื่อตัดเลี่ยนอยู่เป็นระยะ ทั้งเส้นเรื่องแนวแอ็กชันไล่ล่าที่ว่าด้วย แฟรงก์ (รับบทโดย รยูซึงบอม) หนุ่มเกาหลีที่เคยไปเติบโตและถูกฝึกให้กลายเป็น ‘นักล่า’ ในอเมริกา ซึ่งเป็นผู้มีพลังพิเศษแบบเดียวกับจางจูวอนที่ถูกหน่วยงานสาขาต่างชาติส่งมากำจัดเหล่า ‘อดีตสมาชิกที่เกษียณแล้ว’ ของสำนักงานวางแผนความมั่นคงแห่งชาติ และเส้นเรื่องแนวดราม่าที่พูดถึงชีวิตที่ค่อยๆ ดิ่งลงเหว ทั้งการงาน และความสัมพันธ์กับพ่อ ของคนขับรถประจำทางอย่าง จอนกเยดู (ชาแทฮยอน) ซึ่งแท้จริงแล้วเป็น ‘มนุษย์ไฟฟ้า’ และต้องการล้างแค้นแฟรงก์ที่เป็นคน ‘เก็บ’ พ่อของเขา



ขณะที่ในตอนที่ 8-13 ก็เป็นการย้อนกลับไปเล่าถึงชีวิตของฝั่งพ่อแม่ของเด็กๆ เหล่านี้ นับจากยุค 80 เป็นต้นมา ซึ่งแต่ละตอนก็มีส่วนผสมของความหวานแบบซีรีส์รักโรแมนติกชวนให้อมยิ้ม ความขมแบบซีรีส์ดราม่าพาน้ำตาไหล และความเผ็ดแบบซีรีส์แอ็กชันเลือดสาด ที่แตกต่างรสชาติกันออกไป

โดยตอนที่ 8-9 เป็นเรื่องสัมพันธ์รักที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างอีมีฮยอนกับคิมดูชิก พ่อแม่ของคิมบงซอก ในวันที่พวกเขายังเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจลับให้กับสำนักงานวางแผนความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งบรรยากาศในตอนนี้แทบจะไม่ต่างอะไรกับหนังรักโรแมนติกดีๆ สักเรื่อง

ตอนที่ 10-11 เป็นเรื่องเส้นทางชีวิตของจางจูวอน พ่อจางฮีซู ที่ชีวิตต้องพลิกผันจากการเป็นสมาชิกของแก๊งอันธพาล การพบเจอว่าที่แม่ของลูกที่ในตอนนั้นยังเป็นเพียง ‘สาวขายกาแฟ’ ที่คนดูถูก มาสู่การเป็นคู่หูของคิมดูชิกในสำนักงานฯ โดยมีไฮไลต์อยู่ที่ฉากลองเทคสุดมันในระหว่างที่เขาต้องต่อสู้กับกองทัพอันธพาลยกแก๊ง และสามารถจัดการพวกมันได้ทั้งหมดเพียงลำพัง ซึ่งให้อารมณ์สุดเดือดแบบหนัง Oldboy เลยทีเดียว

และตอนที่ 12-13 เป็นเรื่องชีวิตครอบครัวถัดจากนั้นของพ่อแม่คิมบงซอก และพ่อจางฮีซู ที่ต่างฝ่ายต่างต้องรับมือกับอุปสรรคยากๆ ทั้งเรื่องครอบครัว และหน้าที่การงาน ซึ่งเราจะได้เห็นอีมีฮยอนและคิมดูชิกค่อยๆ กลายเป็นพ่อคนแม่คนที่อยู่กันอย่างสุขสงบ แต่ก็ยังหวาดระแวงเรื่องความปลอดภัยของลูก และเห็นชายผู้มีร่างกายที่ทนทานได้ทุกสิ่งอย่างจางจูวอน ต้องร่ำไห้หลังจากที่ต้องสูญเสียผู้หญิงที่ตนรักไปจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ จนต้องเหลือกันแค่สองคนพ่อลูก

– ซึ่งเราก็เชื่อว่าอีก 7 ตอนที่เหลือจะต้องทั้งเข้มข้นและสะเทือนใจไม่แพ้กัน ก่อนที่ซีรีส์จะพาเราไปสู่บทสรุปในซีซั่นแรก



Moving ช่วยตอกย้ำสารที่สำคัญมากๆ อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ การเป็น ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ หรือเป็น ‘คนที่แตกต่าง’ นั้น ไม่ได้ทำให้เรากลายเป็น ‘ตัวประหลาด’ อย่างที่ใครคนอื่นชอบแปะป้าย หากแต่เราจะเป็นเช่นนั้นได้ ก็ต่อเมื่อเรากลายเป็นคนที่ไร้ซึ่ง ‘ความเห็นอกเห็นใจ’ ในตัวเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

ฉะนั้นแล้ว Moving จึงไม่ได้เป็นเพียงซีรีส์ที่จะทำให้เราได้ระทึกใจไปกับฉากแอ็กชันและพลังพิเศษ น้ำตาไหลไปกับสารพันดราม่า หรือหัวเราะร่าไปกับความสัมพันธ์น่ารักๆ เท่านั้น เพราะมันยังช่วยตอกย้ำสารที่สำคัญมากๆ อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ การเป็น ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ หรือเป็น ‘คนที่แตกต่าง’ นั้น ไม่ได้ทำให้เรากลายเป็น ‘ตัวประหลาด’ อย่างที่ใครคนอื่นชอบแปะป้าย หากแต่เราจะเป็นเช่นนั้นได้ ก็ต่อเมื่อเรากลายเป็นคนที่ไร้ซึ่ง ‘ความเห็นอกเห็นใจ’ ในตัวเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

เพราะเราทุกคนล้วนต้องการใครสักคนที่จะมาคอยอยู่เคียงข้าง เพื่อฝ่าฟันอุปสรรคและปัญหาน้อยใหญ่ไปด้วยกัน – ไม่ว่าเราจะมีสถานะเป็นผู้มีพลังพิเศษ หรือคนธรรมดาในสายตาของใครก็ตาม


จาก https://plus.thairath.co.th/topic/subculture/103669



จาก http://www.tairomdham.net/index.php/topic,16262.0.html

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ