.อินทิรา คานธี นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของอินเดีย
ดับคนดัง - วันสังหารอินทิรา คานธี แห่งอินดีย ๓๑ ตุลาคม ๑๙๘๔
ขณะนั้น เพิ่งจะ ๐๙.๑๖ น. ที่บ้านพักของท่านนายกรัฐมนตรีอินเดีย ที่ถนนซิบดาจัง อินทิรา คานธี ในชุดส่าหรีสีส้ม เดินออกจากบ้านพักพร้อมฝ่ายอารักขา และกลุ่มนักข่าวที่มารอทำข่าวสัมภาษณ์
นายกรัฐมนตรีแห่งอินเดียเดินนำหน้า มีนาเรนทร์ ซิงห์ ถือร่มกันแดดตามมาติดๆ อินทิรา คานธี เดนนำกลุ่มอย่างช้าๆ ผ่านโรงเก็บรถ ซึ่งอยู่ด้านขวามือเพื่อตรงไปยังสำนักงานด้านถนนอัคบา โดยที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะมีเหตุร้ายสะเทือนโลกบังเกิดขึ้น แม้คนอื่นๆ ที่ตามมาด้วยก็มิได้คาดฝัน เพราะทุกคนอยู่ภายในบ้านท่านนายกรัฐมนตรีอินเดีย
ที่มุมขวา สี่แยกโรงเก็บรถที่นายกและคณะผ่านมานั้น มีทหารรักษาการณ์ซึ่งเป็นชาวอินโด-ทิเบตอยู่กลุ่มหนึ่งคอยให้การอารักขาอยู่อย่างเคร่งครัด
เมื่อมาถึงประตูที่เปิดออกไปสู่สำนักงานด้านถนนอัคบานั้นเอง บุรุษหนุ่มก็ก้าวออกมาเปิดประตู และทักทายตามปกติ ณ เวลานั้น ด้านขวามือของกลุ่มท่านนายกรัฐมนตรี มีบุรุษหนึ่งยืนถือปืนสเตนอยู่ เพื่อรักษาความปลอดภัย
เสี้ยวหนึ่งของวินาที บุรุษคนแรกผู้เปิดประตูให้ ควักปืนสั้นขนาด.๓๘ สเปเชียล ออกมากระหน่ำยิงผู้นำอินเดียอย่างเผาขน ทุกคนตกตะลึงด้วยไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
สามนัดซ้อนๆ ร่างในเสื้อคลุมส่าหรีของ อินทิรา คานธี ซวนเซไปทางซ้ายด้วยแรงปืน ขณะเดียวกันอีกบุรุษหนึ่ง ผู้ถือปืนสเตนอยู่ด้านขวา ก็กราดกระสุนซ้ำอีกถี่ยิบ เสียงปืนดังดุจเสียงข้าวตอกแตก
อินทิราเซถลาราวกับนกปีกหัก ล้มคว่ำลงกับพื้น เลือดสดทะลักสาดกระจายเต็มพื้นแดงฉาน
ราเมส วาตัส จากหน่วยคุ้มกัน ดูเหมือนจะได้สติก่อนใคร เขากระโดดเข้ามาขวางกั้นร่างของนายกรัฐมนตรีเอาไว้ กระสุนเจาะต้นขาเขา ๓ นัด ล้มคว่ำตามร่าง อินทิรา คานธี ไป หน่วยคุ้มกันที่เหลือ พอได้สติต่างก็เข้ามาบังร่างของอินทิราไว้ แต่ท่านนายกรัฐมนตรีถูกกระสุนเจาะเข้าที่ร่างหลายสิบนัด และร่างที่ฟุบลงไปก็จมกองเลือด หายใจระรวยอยู่ อ่อนแรงเต็มที เกือบจะดับสิ้นอยู่แล้ว
ขณะเดียวกัน บุรุษเพชฌฆาตผู้ชักปืนมาจ่อยิงอินทิราอย่างเผาขนคนแรก ก็ทิ้งปืนลงกับพื้น พร้อมกับร้องขึ้นว่า
“เราได้ทำในสิ่งที่เราต้องการแล้ว ตอนนี้ท่านต้องทำในสิ่งที่ควรทำ”
แล้วหันมาดึงแขนมือสังหารอีกคน วิ่งหลบเข้าไปอยู่ในตู้ยามอย่างรวดเร็วพร้อมกับทิ้งปืน
“ตามจับมันให้ได้” ดิเนส บัส หัวหน้าหน่วยคุ้มกันตะโกน
“มันยิงท่านนายก” สิ้นเสียงตะโกนสั่ง เหล่าทหารอินโด-ทิเบต ก็กระจายกำลังล้อมตู้ยาม แล้วกระหน่ำยิงจอมฆาตกรในนั้นล้มคว่ำลงไปทั้ง ๒ คน
ช่วงแห่งความเป็นความตายนั้น ดิเนส บัส รีบนำร่างของ อินทิรา คานธี ส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดที่ถนนซิปตาจัง โดยมีโซเนีย ลูกสะใภ้ตามมาด้วย นายแพทย์โอเทปพยายามช่วยเหลือโดยปั๊มลมหายใจให้แก่ อินทิรา คานธี อย่างสุดความสามารถ แต่ร่างกายท่านนายกไม่มีอาการตอบสนองเอาเลย กระสุนปืนเปิดแผลเป็นรูกว้าง ทำให้เลือดไหลออกมามาก เป็นเรื่องน่าเศร้าที่สุด ด้วยโรงพยาบาลแห่งนี้ ไม่มีเลือดกรุ๊ปนี้อยู่เลยแม้แต่หยดเดียว
เพื่อต่อชีวิตให้ท่านนายกรัฐมนตรีอยู่รอดต่อไปได้ รถพยาบาลจากโรงพยาบาลรามาโนฮา ไลเชีย ถูกเรียกมารับคนไข้ไปที่สถาบันเอไอไอ เอ็มเอส ซึ่งอยู่ห่างออกไปถึง ๔ กิโลเมตร
และเมื่อไปถึง คนไข้ถูกนำเข้าห้องไอ.ซี.ยู อย่างรวดเร็ว แพทย์ผ่าตัดมือดี ดร.เจเอส กูเลอเรีย ซึ่งเชี่ยวชาญทางผ่าตัด หลังจากตรวจสอบหัวใจ กราฟบอกว่ายังพอมีทาง แพทย์จึงนำคนไข้ขึ้นไปชั้น ๘ ของตึกเป็นการด่วน
แต่คณะแพทย์ได้พยายามอย่างที่สุดโดยใช้เวลาหลายชั่วโมง ตั้งแต่เก้าโมงครึ่งตอนเช้าถึงบ่ายสองโมงครึ่ง ทั้งคลื่นหัวใจและสมองก็มิได้ดีขึ้น มีแต่ลดลงตามลำดับ ในที่สุดก็หยุดนิ่ง
อินทิรา คานธี นายกรัฐมนตรีอินเดีย เสียชีวิตด้วยฝีมือฆาตกรโหด ๒ คนในวันนั้น ทั้งๆ ที่เดินอยู่ในบ้านตัวเอง
ข่าวการเสียชีวิตอย่างโหดเหี้ยมของ อินทิรา คานธี กระจายไปทั่วกรุงเดลี ชาวอินเดียต่างร่ำไห้คร่ำครวญ บางคนทึ้งผมแสดงอาการเสียใจอย่างสุดซึ้ง
“นายกของเราตายแล้ว”
ห้างร้านต่างๆ พากันหยุดกิจการเพื่อไว้อาลัยแด่ อินทิรา คานธี กันหมดจนกรุงเดลีเงียบเหงาเหมือนเมืองร้าง ธงชาติถูกลดลงครึ่งเสา สถานีวิทยุโทรทัศน์กระจายข่าวอย่างเศร้าสร้อยมีชาวอินเดียหลายคนตัดสินใจฆ่าตัวตายตามด้วยการกระโดดเข้ากองไฟและผูกคอตาย บางคนช็อกสิ้นใจทันทีที่ทราบข่าวการตายของ อินทิรา คานธี หลายคนพยายามฆ่าตัวตาย แต่ตำรวจช่วยเอาไว้ทัน พระผู้ใหญ่จากเมืองอมฤตสารตกตะลึงและเสียใจอย่างสุดซึ้ง
ขณะเดียวกันชาวซิกข์ในแคว้นปัญจาบและต่างประเทศต่างกระโดดโลดเต้นดีใจในการตายของ อินทิรา คานธี พวกเขาจัดงานเลี้ยงฉลองกันเป็นการใหญ่ ทำให้ชาวฮินดูที่กำลังเศร้าโศกโกรธแค้น รวมตัวกันออกลุยชาวซิกข์เป็นการใหญ่
กว่า ๓๐ เมืองที่มีการเข่นฆ่ากันระหว่างฮินดูและซิกข์ ชาวซิกข์ถูกสังหารเป็นจำนวนมาก บ้านเรือนถูกเผา ข้าวของถูกทำลาย ชาวซิกข์หลายคนถูกลากตัวออกมาตัดผม โกนหนวด โกนเคราจนเกลี้ยง แล้วจับเผาประจานทั้งเป็น เหตุร้ายครั้งนี้มีชาวซิกข์ถูกฆ่ากว่าสองพันคน ชาวฮินดูตามเมืองใหญ่ได้รวมตัวกันแล้วบุกเข้าสถานีรถไฟ หยุดรถทุกขบวน แล้วขึ้นไปลากผู้โดยสารที่เป็นซิกข์ลงมาเชือดคอและเผาทั้งเป็น
ชาวซิกข์ที่เหลืออยู่ต่างเข้าไปหลบซ่อนในค่ายลี้ภัยซึ่งมีเจ้าหน้าที่คุ้มกันอย่างแข็งขันในเมือง ถนนทุกสาย ไม่มีชาวซิกข์เดินให้เห็นเลยแม้แต่คนเดียว
ท่ามกลางความเศร้าโศกครั้งใหญ่ ราจีป คานธี บุตรชายของ อินทิรา คานธี ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสืบแทน เขาได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน ห้ามผู้คนออกนอกบ้าน (ประกาศเคอร์ฟิวส์) เพื่อป้องกันเหตุร้ายรุกลาม
ประกาศถูกยกเลิกวันเสาร์ที่ ๓ พฤศจิกายน เวลาเช้า ๖ นาฬิกาตรง เป็นการชั่วคราว เพื่อให้ประชาชนได้ไปเคารพศพ อินทิรา คานธี ในวาระสุดท้ายร่างอันไร้วิญญาณของอินทิรา คานธี ณ เชิงตะกอนริมฝั่งแม่น้ำยมุนา
ร่างอันไร้วิญญาณของ อินทิรา คานธี นายกรัฐมนตรีผู้ยิ่งใหญ่ของอินเดีย แต่งกายสีขาวนวล คลุมด้วยธงชาติ โปรยด้วยดอกไม้สีขาว นำมาตั้งไว้ที่ คฤหาสน์ทีนมูรติ ซึ่งเป็นบ้านพักของ เยาวหะราล เนรูห์ ถึงวันเสาร์ที่ ๓ พฤศจิกายน เวลา ๑๕.๔๘ น. จึงเคลื่อนย้ายไปเชิงตะกอนริมฝั่งแม่น้ำยมุนา ซึ่ง ณ ที่นั้น ประชาชนกว่าสามล้านคน มายืนเรียงรายเพื่อเคารพศพเป็นระยะทางกว่า ๑๑ กิโลเมตร
แล้ว ราจีป คานธี ก็ใช้คบเพลิงทำจากไม้จันทน์ จุดเพลิงกองฟืนไม้จันทน์ซึ่งชโลมด้วยน้ำมันเนยเป็นคนแรก
เปลวเพลิงลุกไหม้ร่างสตรีเหล็กของอินเดียจนมอดไหม้ ท่ามกลางเสียงร่ำไห้คร่ำครวญอย่างโศกเศร้าแสนสาหัสของประชาชน
จากนั้น ราจีป คานธี ได้นำกระดูกของอินทิรา ขึ้นเครื่องบินไปโปรยบนยอดทิวเขาหิมาลัย สูงเสียดฟ้าที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง ละอองหิมะชั่วนาตาปี ตามความต้องการของมารดา
ส่วนฆาตกรมือปืนสังหาร ถูกทหารอินโด-ทิเบตยิงในป้อมยามนั้น ปรากฏว่าตายเพียงคนเดียว ชื่อ บินซิงห์ ซึ่งเป็นคนแรกที่ชักปืนสั้นออกมาสังหารอินทิรา ส่วนอีกคนที่ยิงซ้ำด้วยปืนกลมือสเตนนั้น อาการแค่สาหัส คนนี้ชื่อ สัตวันต์ เขาได้รับการเยียวยาอย่างดีจนพ้นขีดอันตรายและถูกสอบว่า
“ใครเป็นคนบงการ”
“เรื่องนี้ผมไม่รู้ว่าใครบงการเบื้องหลัง รู้แต่เพียงว่า ในวันที่ ๑๗ ตุลาคม บินซิงห์ได้พูดกับผมในห้องน้ำ ตรงข้ามห้องแต่งตัวของอินทิราว่า ตอนนี้ชาวซิกข์เจ็บแค้น เพราะแผนการบลูสตาร์ ซึ่งเรื่องนี้อินทิรา คานธี จะต้องรับผิดชอบ และเมื่อเป็นการแก้แค้นแทนชาวซิกข์ เราต้องสังหาร อินทิรา คานธี เสีย”
สัตวันต์ ให้การต่อว่า “เขาเกลี้ยกล่อมผมอยู่หลายนาที ในที่สุดก็ตัดสินใจจะร่วมงานกับเขา บินซิงห์ นัดให้ไปพบที่วิหารทองคำ ในวันที่ ๒๐ ตุลาคม และคงจะเห็นว่ารับปากกับเขาง่ายเกินไป เขาจึงไม่ยอมไว้ใจผมจนวินาทีสุดท้าย ก่อนจะยิงอินทิรา บินซิงห์ เป็นคนบอกให้ผมยิง หากผมเปลี่ยนใจ เขาก็จะยิงผมเสีย ซึ่งตอนขณะนั้น บินซิงห์เอาปืนจ่อหัวผมตลอดเวลา จนท่านนายกอินทิราก้าวใกล้ประตู เขามากระซิบบอกผมว่า ‘มาแล้ว แกต้องยิง และระวังอย่าให้กระสุนพลาดไปถูกคนอื่น’ และทั้งๆ ที่ตกลงกับผมไว้เป็นอย่างดีแล้ว พอท่านนายกเดินผ่านประตูมา บินซิงห์ก็ยังไม่ไว้ใจผมอยู่นั่นเอง เขาลงมือยิงเสียเอง ก่อนที่ผมจะยิง ดังที่ทุกคนเห็น”
สิ้นสุดคำให้การของสัตวันต์ ก็สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้แก่รัฐบาล เพราะไม่รู้อยู่ดีว่าใครอยู่เบื้องหลัง
มีการวิจารณ์กันว่า แผนสังหารโหดครั้งนี้ วางแผนที่ห่วยที่สุด แต่ที่ประสบความสำเร็จนั้น ก็เพราะหน่วยคุ้มกันรักษาความปลอดภัยของ อินทิรา คานธี ไร้คุณภาพอย่างที่สุดนั่นเอง
มือปืนทั้งสอง หลังจากลั่นกระสุนแล้วก็มิได้มีแผนหนี ยิงอย่างเดียว ยิงเสร็จแล้วก็หลบไปอยู่ในป้อมยาม หน่วยคุ้มกันก็มัวแต่พะวงนำอินทิราไปโรงพยาบาล ไม่มีใครสนใจฆาตกรแต่อย่างใด จนฆาตกรหลบเข้าไปในป้อมแล้วจึงออกติดตามไป ฆาตกรก็งี่เง่า ไม่ได้วางแผนหนีไว้ก่อนอยู่ซ่อนในป้อมให้ถูกยิง ถูกจับเอาง่ายๆ
เป็นคราวเคราะห์ที่ อินทิรา คานธี จะต้องปิดฉากการต่อสู้บนเวทีโลก เธอจึงจบชีวิตทั้งๆ ที่เดินอยู่ในบ้าน
ต้นตอสาเหตุการสังหารสะเทือนโลกนี้ พอลำดับเหตุการณ์ได้ดังนี้
รัฐเล็กๆ แห่งหนึ่งชื่อปัญจาบ อยู่ทางทิศเหนือของอินเดีย อาณาเขตทิศเหนือจรดรัฐหิมาลัย ตะวันออกจรดฮาร์ยานา ทางใต้จรดราชาสถาน ตะวันตกจรดปากีสถาน รัฐปัญจาบนี้แม้จะเป็นรัฐเล็กๆ แต่ก็เป็นหัวใจของอินเดีย เพราะที่นี่เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ผลผลิตที่นำไปเลี้ยงคนในรัฐอื่นๆ เกือบทั่วประเทศอินเดีย
ชาวปัญจาบมีรูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาว หน้าตาดี เฉพาะสตรีเพศนั้น สวยงามมาก นางเอกภาพยนตร์อินเดียหลายคนมาจากรัฐปัญจาบนี้
ประชากรปัญจาบส่วนใหญ่ ถือศาสนาซิกข์ ซึ่งพวกซิกข์นี้ไม่มีวรรณะ ทุกคนเสมอภาคเท่าเทียมกัน อยู่ร่วมกัน กินด้วยกัน สวดมนต์ร่วมกัน
ซิกข์เป็นขมิ้นกับปูนกับฮินดู ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากในอินเดีย และถูกพวกฮินดูข่มเหงและกลั่นแกล้งต่างๆ นานา เพราะไม่อยากให้มีศาสนาใหม่เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ซิกข์จึงจำเป็นที่จะต้องป้องกันตัว โดยเริ่มสะสมอาวุธต่างๆ ไว้ รวมทั้งเริ่มการฝึกวิธีใช้อาวุธ เพื่อต่อต้านชาวฮินดูที่เข้ามารังแกด้วย
ต่อมาครูคนสำคัญของชาวซิกข์คนที่ ๔ ชื่อ ครูรามดัส ซึ่งกษัตริย์อัคบาได้พระราชทานทรัพย์ส่วนหนึ่งให้นำมาซื้อที่ดินผืนหนึ่ง มีอาณาเขตกว้างขวางใหญ่โตพอดู ครูรามดัส ลงมือขุดอ่างน้ำขนาดใหญ่ขึ้น แล้วเคลื่อนย้ายสถานที่ตั้งของศาสนาจากหมู่บ้านโตอินวัลมาที่ข้างอ่าง จนบริเวณรอบอ่างน้ำกลายเป็นเมืองใหม่ และเมืองนั้นก็เป็นศูนย์กลางของศาสนาซิกข์ ชาวบ้านเรียกว่า รามดัสจักร
ครูรามดัสได้สร้างวิหารไว้สำหรับประกอบพิธีทางศาสนาในอ่างน้ำนั้นด้วย แต่ก็ไม่ทันสำเร็จ ครูรามดัสสิ้นชีวิตเสียก่อน อาจุน บุตรชายคนเล็กของเขาได้รับตำแหน่งครูซิกข์ คนที่ ๕ และเมื่อได้รับตำแหน่ง อาจุนก็สร้างวิหารต่อจนสำเร็จ
วิหารแห่งนี้แตกต่างจากวิหารทั่วไป โดยฐานของวิหารในระดับที่ต่ำกว่าพื้นดิน มีทางเข้าออก ๔ ทาง ๔ ด้าน และเมื่อสร้างเสร็จพื้นของวิหารจะปริ่มน้ำในอ่างใหญ่พอดี จึงเรียกอ่างน้ำนั้นว่า อมฤตสาร หรือสระน้ำอมฤต ต่อมากลายเป็นชื่อเมือง
ชาวซิกข์ได้พัฒนาตัวเองให้เจริญขึ้นมาพร้อมกับการสะสมอาวุธและฝึกอาวุธไว้ป้องกันตัวเอง โดยเฉพาะปกป้องศาสนาอันเกิดจากการรุกรานทั้งทางตรงและนโยบายทางการเมือง
ศาสนาซิกข์ เป็นปึกแผ่นมั่นคง มีศาสนิกชนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนมากกว่าสิบล้านคนในปัจจุบัน
ในรัฐปัญจาบ มีพรรคการเมืองอยู่หลายพรรค แต่พรรคที่ได้รับเลือกให้เป็นรัฐบาลย่อยครั้งที่สุด คือ พรรคกาลีดาล พรรคนี้เป็นรัฐบาลของรัฐปัญจาบ เป็นปากเสียงให้ชาวซิกข์ เรียกร้องสิทธิต่างๆ มากมายจากรัฐบาลกลางที่เดลี ถ้าข้อเรียกร้องนั้นได้รับการตอบสนองที่ดี ทางพรรคก็จะหาข้อเรียกร้องใหม่มาเสมอๆ แต่ถ้าถูกปฏิเสธจากรัฐบาลกลาง ทางพรรคก็จะสร้างสถานการณ์เพื่อให้เกิดความวุ่นวายทันที
พรรคกาลีดาล เป็นหน้าม้าก่อความวุ่นวายต่างๆ ขึ้นเป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้รัฐบาลของ อินทิรา คานธี หันมาเจรจา แต่ถ้ายังทำเฉยเมย ไม่สนใจต่อไป ข้าราชการและประชาชนที่ไม่ได้รู้เห็นอะไรด้วย มักถูกจับเป็นตัวประกัน ถูกลอบทำร้าย ถูกลอบยิงตายเป็นหมู่ เป็นคณะก็มีหลายครั้งหลายคราว และเหตุการณ์ร้ายแรงนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะจัดการอย่างไรก็ไม่ได้ เพราะคนทำเป็นคนของพรรคการเมืองที่มีอำนาจ ใครไปแตะต้องมีหวังถูกย้ายไปอยู่ในป่า อีกประการหนึ่ง ฆาตกรผู้ก่อการร้ายทั้งหลาย เมื่อทำการเสร็จแล้วมักหนีไปซ่อนตัวอยู่ในวิหารต่างๆ ทางศาสนา พวกตำรวจเข้าไปยุ่มย่ามไม่ได้ โดยเฉพาะในวิหารทองคำที่รัฐปัญจาบอันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ใครเข้าไปยุ่งไม่ได้เลยในวัยเยาว์ อินทิรา คานธี มีความใกล้ชิดกับ มหาตมะ คานธี
เนื่องจาก เยาวหราล เนห์รู บิดาของเธอเป็นผู้ใกล้ชิด
และร่วมเรียกร้องเอกราชให้แก่อินเดีย ร่วมกับมหาตมะ คานธี
เรื่องเป็นเช่นนี้เรื่อยมา จนหนักเข้าเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๑๙๘๔ มีการตกลงแบ่งเขตแดนรัฐปัญจาบ กับรัฐฮายาน่า ซึ่งเป็นปัญหาขัดแย้งกันมานาน โดยทั้งสองรัฐต่างก็เรียกร้องจะเอาเมืองจันดิการ์ ซึ่งมีเขตแดนติดต่อกันระหว่าง ๒ รัฐมาไว้กับตน และคราวนี้รัฐบาลกลางโดย อินทิรา คานธี ได้แบ่งใหม่ ให้ตัวเมืองเป็นของปัญจาบ ส่วนบางท้องที่ที่มีชาวฮินดูอยู่ให้เป็นของฮายาน่าไป แต่เรื่องก็ตกลงกันไม่ได้
นอกจากนั้นพรรคกาลีดาลยังเรียกร้องอีกหลายอย่างหลายประการ ที่สำคัญคือให้ประกาศว่า อมฤตสาร์ คือเมืองอันศักดิ์สิทธิ์ ต้องอยู่เหนือการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญของประเทศ ชาวซิกข์ทุกคนมีสิทธิพิเศษโดยเฉพาะเหมือนกับเป็นดินแดนอิสระ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ให้แยกไปเป็นดินแดนอิสระ ไม่ต้องขึ้นกับรัฐบาลกลางนั่นเอง
อินทิรา คานธี ไม่ยอมเล่นด้วย ถึงกระนั้นก็ยังเล่นไม้นวมโดยชวนให้มีการนั่งโต๊ะเจรจา และทบทวนข้อตกลงต่างๆ ในอดีตที่เคยทำเอาไว้สักครึ่งหนึ่งก่อน
พรรคกาลีดาล ปฏิเสธ ดึงดันจะทำตามใจที่ตั้งเอาไว้ให้ได้
อินทิราปฏิเสธเด็ดขาด
ดังนั้น แผนสกปรกทั้งหลายก็ถูกนำมาใช้ โดยพรรคกาลีดาล ตัวการสำคัญสร้างสถานการณ์วุ่นวายขึ้นทั้งภายในและภายนอกรัฐ ลอบฆ่านักการเมืองสำคัญ จี้เครื่องบิน ปล้นรถโดยสาร ลักพาตัวประกัน ฆ่าหมู่ชาวบ้าน ทำให้รัฐปัญจาบแตกแยกเป็นก๊ก เป็นเหล่า ตามที่นักการเมืองปั่นหัว และในที่สุดก็ขัดแย้ง ฆ่าฟันกันเอง
อินทิรา คานธี ผู้นำอินเดียก็ได้หาทางจัดการกับพวกก่อความวุ่นวายอย่างเอาจริงเอาจังแต่ไม่สัมฤทธิผล ต่อมา ซิง ซาฮิบ เกียนี่ ประทับ ซิงห์ ผู้ยิ่งใหญ่ในวิหารศรีอกัลตักห์ ซาฮิบ ได้ถึงแก่ความตายโดยถูก ภิณ ดรันวัล หนึ่งในผู้ก่อการร้ายสังหาร และการตายของ ประทับ ซิงห์ นี่เอง ทำให้ตำแหน่งสำคัญทางศาสนาว่างลง ภิน ดรันวัล เลยถือโอกาสยึดวิหารทองคำไว้ทั้งหมด ทั้งกำลังคน และอาวุธ เขามีอำนาจสิทธิ์ขาดคนเดียวเหนือวิหารทองคำ เหล่าอาชญากร นักฆ่าอาชีพ ต่างเดินทางมายังวิหารทองคำเพื่อสมัครเป็นกำลังของ ภิน ดรันวัล
ภิน ดรันวัล ได้สร้างสถานศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาให้กลายเป็นปราการสำคัญการสู้รบ ที่รวมอาชญากรร้ายทั้งมวลตั้งแต่บัดนั้น
วาระนั้น การเจรจาต่างๆ จากรัฐบาลกลาง หรือรัฐบาลท้องถิ่นกับพวกคลั่งศาสนาพวกนี้ ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นทุกขณะ รัฐมนตรีมหาดไทยขอร้องให้หัวหน้าพรรคกาลีดาล จับตัว ภิน ดรันวัล ส่งทางการเสียเพื่อยุติเรื่องราวโหดต่างๆ ที่เกิดขึ้นติดต่อกันมาหลายปี
แต่คำขอเหล่านี้ไม่เป็นผล การฆ่า-สังหารยังคงมีอยู่เป็นประจำ หลายศพถูกโยนออกมาจากวิหารทองคำ มาให้เป็นอาหารสุนัขข้างถนนภายนอก
บนดาดฟ้าของวิหาร แต่ละแห่งจะมีมือปืนระดับพระกาฬรักษาการณ์อยู่ พร้อมตลอดเวลาไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ คน ที่เป็นมือปืนจากนรกจริงๆ นอกนั้นเป็นอาชญากรที่หนีมาจากรัฐอื่นๆ และพวกคนหนุ่มๆ ที่คลั่งคำสอนของ ภิน ดรันวัล มาสมทบกองกำลังโจรด้วย
เมื่อไม่ว่าทางใดก็ไร้ผล จึงประกาศเอาจริงเรื่องนี้ โดยกล่าวว่า:-
สองสามวันก่อนนั้นได้เกิดการนองเลือดขึ้นที่ปัญจาบ อันเป็นผลเกิดจากการกระทำของผู้ประสงค์ร้าย สร้างสถานการณ์สยองขวัญขึ้นทั่วไป เหมือนจะกดดันให้รัฐบาลสิ้นความอดกลั้น ทางรัฐบาลจึงขอเตือนว่า หากกลุ่มคนเหล่านี้ยังไม่หยุดยั้งการกระทำดังกล่าว ผู้กระทำผิดจะต้องได้รับการลงโทษ
เสียงประกาศขู่ของรัฐบาล ไม่ทำให้เหล่าร้ายในปัญจาบสะดุ้งหวาดกลัว สถานีรถไฟหลายแห่งถูกเผา ชาวฮินดูถูกฆ่าโหดหลายร้อยคน
ดังนั้น รัฐบาลจึงประกาศเคอร์ฟิวในเมืองอมฤตสาร์ เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๑๙๘๔ และหลังจากประกาศ กำลังทหาร ๗๐,๐๐๐ คน เข้าประจำการจุดสำคัญต่างๆ ทั่วรัฐปัญจาบ โดยเฉพาะรอบๆ วิหารทองคำ มีทหารเข้าไปประจำหนาแน่นเป็นพิเศษ
ความจริงแล้วอินทิราต้องการเพียงแค่ขู่ให้พวกคลั่งศาสนาจนกลายเป็นโจรให้หยุดยั้งการกระทำอันบ้าคลั่ง รัฐบาลคิดผิด เหตุการณ์ร้ายต่างๆ ยังก่อเกิดขึ้นไม่หยุดยั้ง
อินทิราจึงประกาศทางวิทยุและโทรทัศน์ให้กลุ่มต่างๆ ในรัฐปัญจาบเลิกก่อเหตุร้ายเสียแต่ก็ไร้ผล ยังมีเหตุร้ายต่างๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการฆาตกรรม วางเพลิง จี้ ปล้น ทำให้ชาวซิกข์และฮินดู ต้องเสียชีวิตลงเป็นจำนวนมาก และทำให้ประเทศชาติเสียหายใหญ่หลวง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนามาบัดนี้ได้กลายเป็นแหล่งซ่อมสุมเหล่าอาชญากร คอยทำร้าย เข่นฆ่า ผู้เข้าไปสักการบูชา ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้อง รัฐบาลจึงขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ให้หันหน้าเข้าหากันสำหรับทุกกลุ่ม พูดจากัน และนี่คือโอกาสสุดท้ายแล้ว
เหล่าก่อการร้ายไม่สนใจในคำขู่ของอินทิรา พฤติกรรมเดิมๆ ถูกทำซ้ำเติมหนักเข้าไปอีก
เมื่อมีคำตอบเช่นนี้ รัฐบาลก็สิ้นความอดทน กองพันทหารราบหน่วยรบที่ ๑๒ จากรัฐพิหาร ถูกส่งเข้ามาปฏิบัติการในอมฤตสาร์ โดยคำสั่งของ นางอินทิรา คานธี
แรกๆ หน่วยทหารจากรัฐพิหาร เพียงใช้วิธีรายล้อม ต่อมาเปลี่ยนแผนเป็นไปซ่อนตัวบนยอดตึก ซึ่งมีความสูงไล่เลี่ยกับวิหารทองคำ ต่างฝ่ายต่างคุมเชิงกันอยู่ จนกระทั่ง ๓ มิถุนายน ๑๙๘๔ ฝ่ายรัฐต้องการให้ทุกสิ่งยุติลงโดยปราศจากการนองเลือด จึงประกาศขยายเสียงให้ออกมามอบตัว ประกาศซ้ำแล้วซ้ำอีก และแล้วก็มีคำตอบ คือกระสุนปืนทุกชนิดที่กราดยิงออกมา
นับแต่วินาทีนั้น การเจรจาสันติเป็นอันสิ้นสุดลง
เช้าวันที่ ๔ มิถุนายน ๑๙๘๔ ทางทหารเริ่มตอบโต้ โดยใช้ปืน ๓.๘๗ ซีเอ็ม เมาท์เท่น (C.M.Mountain) แรงทำลายสูง กระหน่ำครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เหล่าร้ายกลับตอบโต้ด้วยจรวด อาร์.พี.จี.(Rocket Power Gum) ทำให้ฝ่ายทหารแตกกระเจิง
มาถึงตอนนี้ ทหารต้องใช้เฮลิคอปเตอร์กับรถถังเข้าถล่ม โดยรายล้อมเมืองอมฤตสาร์ไว้ทุกด้าน ปืน รถถัง หันปากกระบอกไปที่วิหารทองคำ พร้อมที่จะระเบิดวิหารศักดิ์สิทธิ์ให้พังทลายในพริบตา ศพเกลื่อนถนน
ชาวซิกข์พากันหวาดวิตกว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์ของตนจะถูกทำลาย พากันทำร้ายทุกคนที่ขวางหน้า เล่นงานตำรวจ และทหาร ตำรวจได้รับคำสั่งให้ใช้กระสุนจริง เมื่อมีประชาชนเข้าร่วมด้วย
รัฐบาลเปลี่ยนแผนใช้หน่วยคอมมานโดปฏิบัติการ เข้าจับตัวผู้ก่อการร้ายในวิหารแบบสายฟ้าแลบ ไม่ให้วิหารทองคำเป็นอันตราย การปฏิบัติการเริ่มเมื่อตอนเที่ยงคืน วันที่ ๕ มิถุนายน ๑๙๘๔
คอมมานโด ๔๐ คน สามเสื้อเกราะกันกระสุน บุกเข้าด้านหลังของวิหาร ความมืดทำให้พวกซิกข์ ซึ่งอยู่บนยอดหอคอยมองไม่เห็น พยายามเล็ดลอดเข้าไปในวิหารครูรามดัสลังการ์ ในที่สุดก็จับได้หมด เมื่อตอนฟ้าสางพอดี ตอนนี้เหลือแต่ตัววิหาร และระเบียงรอบสระเท่านั้น ที่ยังยึดไม่ได้
เจ้าหน้าที่คอมมานโด ๔๐ คน เสียชีวิตไป ๓ คน บาดเจ็บ ๑๙ คน นอกนั้นปลอดภัย
คืนต่อมา หน่วยคอมมานโดถูกส่งเข้าไปปฏิบัติการ ณ วิหารทองคำ อันเป็นที่ซ่อนตัวของ ภิน ดรันวัล หัวหน้ากลุ่มผู้คลั่งศาสนา ขณะที่คอมมานโดบุกเข้ามายังวิหารอกัลดักห์ ก็พบกับ ภิน ดรันวัล เกิดการปะทะกัน ภิน ดรันวัล ถูกสะเก็ดระเบิดชิ้นหนึ่งตัดใบหน้า เสียชีวิตในที่ปะทะ
การต่อสู้ดำเนินการต่อไปจนถึงบ่ายวันที่ ๗ มิถุนายน ๑๙๘๔ พวกก่อการร้ายกลุ่มสุดท้ายชูธงขาวเดินออกจากวิหารทองคำ ยอมแพ้ รัฐบาลเป็นฝ่ายชนะ เป็นอันว่าปฏิบัติการบลูสตาร์สิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์
ยึดวิหารได้ พวกคลั่งศาสนาเสียชีวิตร่วมพันคน ทหารเสียชีวิตร่วมสองร้อยคน
รัฐบาลชนะ แต่ปัญหาเรื่องศาสนาของซิกข์ยังไม่จบ การเข้ายึดวิหารทองคำของอินทิราครั้งนี้ สร้างความแค้นเคืองให้แก่ชาวซิกข์เป็นอย่างมาก ซิกข์ทุกคนหาทางแก้แค้นแทนชาวซิกข์ที่เสียชีวิตไป
ฮารินเดอร์ ซิงห์ ทูตประจำกรุงออสโล เป็นชาวซิกข์ผู้หนึ่ง ทำงานให้รัฐบาลอินเดียมาสิบกว่าปี ทันทีที่แผนบลูสตาร์ประสบความสำเร็จเขายื่นใบลาออกทันที ด้วยต้องการล้างแค้นอินทิรา คานธี
ฮารินเดอร์ ซิงห์ เริ่มติดต่อกับ บีน ซิงห์ ฆาตกรคนแรกที่ยิงอินทิรา บีน ซิงห์ เป็นญาติห่างๆ ซึ่งทำหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยของอินทิรา คานธี พร้อมกับส่งเงินมาให้หนึ่งแสนเหรียญดอลลาร์ เพื่อชำระแค้นของเขาให้สำเร็จ
นอกจาก บีน ซิงห์ ฮารินเดอร์ยังได้ทาบทาม บัลไบ ซิงห์ รองสารวัตรตำรวจ หน่วยคุ้มกันความปลอดภัย (รปภ.) ของ อินทิรา คานธี ให้ช่วยทำงานสำคัญให้อีกด้วย
ครั้งแรก วางแผนจะให้ บีน ซิงห์ นำระเบิดไปวางไว้ในห้องทำงาน ซึ่งนายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประจำ แล้วใช้รีโมทคอนโทรล แต่ไม่สามารถจะหาได้ ประกอบกับ บัลไบ ซิงห์ เรียกร้องเงินในการนี้สูงเกินไป จึงต้องยกเลิก
อย่างไรก็ตาม การประชุมแบบลับๆ ระหว่างชาวซิกข์ทั้งหลาย มีการประชุมกันเป็นประจำ ที่จะหาทางสังหารนายกรัฐมนตรีอินทิรา คานธี ให้จงได้ ในที่สุด บีน ซิงห์ ก็ได้รับเลือกให้เป็นมือสังหาร
บีน ซิงห์ เป็นคนตำบลบาโลย่า เมืองจันดีการ์ ตามวรรณะ เขาเป็นคนชั้นต่ำ ร่างเตี้ย แต่โชคดีได้เรียนหนังสือจบปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยปัญจาบ ปี ๑๙๗๒ บีนได้รับเลือกให้มาเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยในบ้านพักของ อินทิรา คานธี ตลอดเวลาสิบกว่าปีที่เขาทำงานมา เขาได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชามาก จวบจนกระทั่ง…
ไม่มีใครคาดคิดว่า เขาจะร่วมมือกับพวกหัวรุนแรง คิดสังหารเจ้านายของตนเองได้
เนื่องจากเขาได้รับเงินจาก ฮารินเดอร์ ซิงห์ ถึงหนึ่งแสนเหรียญดอลลาร์ และถูกเป่าหูจาก บาฮาเดอร์ ซิงห์ ผู้เป็นลุง ซึ่งเป็นข้าราชการบำนาญจากกระทรวงเกษตร และเป็นคนเกลียดฝ่ายรัฐบาลรุนแรง พอวิหารทองคำถูกถล่ม บาฮาเดอร์ ซิงห์ ก็หาทางตอบโต้รัฐบาลโดยหันมายุให้หลานชายดำเนินการโหดครั้งนี้ด้วย
บีน ซิงห์ ได้เลือกเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง ชื่อ สัตวันต์ ซิงห์ หนุ่มวัย ๒๑ ปี จากตำบลอัตวัน ซึ่งเป็นอำเภอชายแดน ห่างจากปากีสถานเล็กน้อย
สัตวันต์ รับราชการเป็นตำรวจ กองพันที่ ๕ เมื่อปี ๑๙๘๒ ต่อมาถูกส่งไปฝึกหลักสูตรคอมมานโด สำเร็จแล้วย้ายมาอยู่กองพันที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรี ซึ่งแม้สัตวันต์จะรักษาการณ์อยู่ด้านนอก แต่ก็สามารถเปลี่ยนเวรเข้ามารักษาการณ์ภายในได้
สัตวันต์ถูกเกลี้ยกล่อมจาก บีน ซิงห์ จนกระทั่ง ๑๗ ตุลาคม ๑๙๘๔ จึงตอบตกลง ทั้งๆ ที่ตอนนั้น เขากำลังจะแต่งงานอยู่แล้ว ต่อมาวันที่ ๒๑ ตุลาคม บีนและสัตวันต์ มาพบกันที่วิหารทองคำ เพื่อรับทราบรายละเอียดต่างๆ ในที่ประชุมใหญ่ของพวกหัวรุนแรง พอประชุมเสร็จสัตวันต์ก็เดินทางกลับเดลี โดยมีชายแปลกหน้า ๕ คน ติดตามไปด้วย
เช้าวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๑๙๘๔ บีน ซิงห์ กับ สัตวันต์ ก็ร่วมกันปฏิบัติการโหด โดยลั่นกระสุนสังหารนายกรัฐมนตรีอินทิรา คานธี จนถึงแก่ความตายดังกล่าว เขาได้ยุติบทบาทของนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของอินเดีย แม้ตาย แต่โลกจะจดจำเธอไปตลอดกาล
อินทิรา คานธี เกิดในตระกูลสูง มีฐานะดี บิดาเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศอินเดีย ผู้นั้นคือ เยาวหราล เนรูห์ ส่วนมารดาชื่อ กมลา ซึ่งถึงแก่กรรม เมื่ออินทิราอายุ ๑๙ ปี
อินทิรา คานธี เกิด ค.ศ. ๑๙๑๗ ที่เมือง อัลลา ฮาบัต การสูญเสียมารดาไม่ได้ทำให้อินทิราขาดความอบอุ่นในชีวิตแต่อย่างใด เพราะเนรูห์บิดา ได้เอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี ตั้งแต่วัยเด็ก อินทิรา คานธี ได้ดำเนินชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว ณ คฤหาสน์ของปู่ที่เมืองอัลลา ฮาบัต ในขณะนั้นทั้งบิดา และปู่ และญาติพี่น้อง ที่เป็นชายทุกคนถูกจับขังในเรือนจำ เพราะร่วมในการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของอินเดีย
อินทิรา คานธี ได้รับการศึกษาอย่างดีที่สุดเท่าที่กุลสตรีซึ่งเกิดมาในตระกูลมั่งคั่งของอินเดียจะพึงได้รับ อินทิราศึกษาภาษาต่างประเทศขั้นต้นในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต่อมาได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย “ศานตินิ เตตัน” ในอินเดีย หลังจากได้ไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ
แต่อย่างไรก็ตาม ความรู้ที่ได้จากสถานศึกษาต่างๆ ดูเหมือนจะมีความสำคัญน้อยกว่าความรู้ที่ได้รับจากจดหมายหลายฉบับที่บิดาของอินทิราเขียนถึงในระหว่างที่ถูกกักขังในเรือนจำ จดหมายเหล่านั้นพร่ำสอนด้วยวาทศิลป์อันซาบซึ้ง ได้อบรมบ่มนิสัยอย่างละเอียดอ่อน และถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ตลอดจนอุปนิสัยใจคอจากบิดาไปสู่ลูก โดยที่อินทิราเองอาจไม่รู้สึกตัว
อินทิรา คานธี เล่นการเมืองอย่างจริงจังเมื่ออายุ ๒๑ ปี ได้จัดตั้งสิ่งที่เรียกว่า “หน่วยสื่อสารวานร” เป็นหน่วยที่ถือสารทางการเมืองเล็ดลอดผ่านแนวของอังกฤษ อันเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของอินเดีย