[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => เกร็ดศาสนา => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 20 ธันวาคม 2558 11:44:14



หัวข้อ: ตำนานแม่โพสพ
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 20 ธันวาคม 2558 11:44:14
.
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/82670254674222_1.jpg)

แม่โพสพ

สถาบันวิจัยข้าว กรมวิชาการเกษตร บันทึกเรื่องแม่โพสพไว้ว่า เสฐียรโกเศศ (ศาสตราจารย์ พระยาอนุมานราชธน นักปราชญ์และนักการศึกษาคนสำคัญของไทย) ให้ข้อวิเคราะห์ว่า การที่ผีหรือเทวดาประจำพืชพรรณธัญญาหารของชาติต่างๆ ในโลกมักเป็นเทวดาผู้หญิง คงเป็นเพราะข้าวเป็นสิ่งที่เลี้ยงชีวิตให้เจริญ เปรียบเหมือนมารดาที่เลี้ยงบุตร

ประเทศไทยเราเรียกว่า แม่โพสพ หรือเพี้ยนเป็น พสพ หรือ ประสพ ก็มี เข้าใจว่าโพสพเป็นคำเพี้ยนจาก ไพสพ ซึ่งเป็นเทพพิทักษ์ขุมทรัพย์ในดิน หรือมาจากคำว่า ไพสพราช ชื่อตราตำแหน่งดวงหนึ่งของเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการของโบราณ

ตำนานหรือนิทานเกี่ยวกับแม่โพสพ หรือแม่โคสก (อีสาน) มีเล่าต่อกันมาทุกภาค แตกต่างกันไปบ้างตามแต่ละท้องถิ่น โดยแตกต่างกัน ๒ แนวคือ นิทานภาคกลางและภาคใต้จะมีเรื่องตรงกันแนวหนึ่ง อีกแนวหนึ่งเป็นนิทานภาคเหนือและภาคอีสาน

ตำนานแม่โพสพของภาคกลางและภาคใต้ เล่าว่า แม่โพสพเป็นเทวีแห่งข้าว มีพาหนะเป็นปลากรายทองและปลาสำเภา วันหนึ่งที่เมืองไพสาลี กลางสโมสรสันนิบาต มนุษย์ปรึกษากันว่าระหว่างพระพุทธเจ้าและแม่โพสพใครมีคุณมากกว่ากัน ที่ประชุมเห็นกันว่า คุณของพระพุทธเจ้าใหญ่กว่าแม่โพสพ

แม่โพสพได้ฟังดังนั้นก็ข้องใจว่ารักษามนุษย์อยู่ มนุษย์ไม่เห็นความดี จึงทรงปลากรายหนีไปยังป่าหิมพานต์เขาคชกูฏ เมื่อแม่โพสพจากไปก็เกิดความอดอยากขึ้นในโลกมนุษย์ ทำไร่ไถนาไม่มีข้าว มีแต่แกลบ มนุษย์จึงชวนกันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าให้พระมาตุลีไปเชิญนางกลับ พระมาตุลีตามไปถึงเขาทบกันก็ไปไม่ได้ จึงใช้ให้ปลาสลาดไปตามต่อจนพบ

ปลาสลาดอ้อนวอนขอให้แม่โพสพกลับคืนโลก นางตอบว่า "อยู่ที่นี่เราสบาย ถ้าจะไปใจแม่หายเพราะเขาไม่รู้บุญคุณ แม่จะให้แต่เมล็ดข้าวไปดูแลฝูงคน เมื่อเก็บนึกถึงเรา เราจะไปปีละหน ตรวจดูผู้คนเก็บเกี่ยวแล้วให้ทำขวัญ" จากนั้นนางได้มอบเมล็ดข้าว ๗ เมล็ด (บ้างก็ว่า ๙ เมล็ด) ไปทำพันธุ์ และให้แม่เหล็ก ๑ อันสำหรับตั้งพร้า นางยังสั่งด้วยว่า มนุษย์ทำไร่ไถนา เมื่อข้าวใกล้สุกก็ให้จัดพิธีทำขวัญข้าว และด้วยที่ปลาสลาดเป็นผู้บอกทางที่นางซ่อนแก่พระมาตุลี

นางจึงสั่งให้นำปลาสลาดมาเป็นเครื่องเซ่นสังเวยด้วย ปลาสลาดก็ลากลับมาเล่าให้พระมาตุลีฟังตามคำแม่โพสพ

พระมาตุลีรับเมล็ดข้าวแล้วเหาะกลับ ระหว่างทางหยุดพักอาบน้ำ นกกระจาบมาแอบลักเมล็ดข้าวสองเมล็ดบินหนี ข้าวสองเมล็ดตกลงมายังโลกมนุษย์กลายเป็นข้าวผี พระมาตุลีนำเมล็ดข้าวพันธุ์ข้าวถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงเรียกมนุษย์มาพร้อมกัน ทรงอธิบายให้มนุษย์ฟัง และแจกเมล็ดพันธุ์ข้าวให้ ตั้งแต่นั้นมาเมื่อข้าวใกล้สุกมนุษย์จะทำขวัญเชิญแม่โพสพเป็นประจำทุกปี


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/42068173529373_view_resizing_images_3_.jpg)

ตำนานแม่โพสพของภาคเหนือและภาคอีสาน เสฐียรโกเศศระบุว่ามี ผู้จารึกไว้ในใบลานด้วยอักษรธรรมที่วัดศรีภูมิ บ้านนาหอ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ว่า

นานมาแล้ว พญาวิรูปักขาเป็นผู้ให้กำเนิดข้าว ต่อมาสมัยพระพุทธเจ้า ผู้มีพระนามว่า กุกกุสันโท ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรก มีผู้นำเอาข้าวมาเลี้ยงคนและสัตว์ในชมพูทวีป ปรากฏว่าข้าวในสมัยนั้นเมล็ดใหญ่โตมาก มีกลิ่นหอมและรสอร่อย แต่เมื่อจะกินต้องใช้มีดพร้า ผ่ามานึ่งกิน ต่อมาถึงพระพุทธเจ้าผู้มีพระนามว่า โกนาคมโน เมล็ดข้าวก็เล็กลงบ้าง แต่ยังมีกลิ่นหอมและรสอร่อยเหมือนเช่นเคย

ในสมัยต่อมามีหญิงชราม่ายคนหนึ่งเคยมีสามีถึง ๗ คน สามีตายหมดต้องอยู่คนเดียว ทั้งไม่มีลูกหลานจะพึ่งพาอาศัย คราวหนึ่งขณะนางกำลังทำยุ้งข้าวอยู่ เมล็ดข้าวก็พากันบินหลั่งไหลมารวมกัน ณ ใต้ถุนบ้านของนาง แม่ม่ายโกรธมากที่เมล็ดข้าวมามากมาย เพราะนางยังทำยุ้งไม่เสร็จ นางจึงเอาไม้ขนาดใหญ่ตีเมล็ดข้าวเหล่านั้นให้แตกกระจายเป็นซีกเล็กๆ

ข้าวตกใจพากันไปอยู่ตามเถื่อน (ป่า) ถ้ำ และหนอง ชาวบ้านให้ชื่อข้าวว่านางโพสพ และข้าวนั้นไม่กลับมาหามนุษย์อีก ผู้คน พากันอดข้าวเป็นเวลานานถึงพันปี

กระทั่งมีลูกเศรษฐีคนหนึ่งไปเที่ยวป่าหลายวัน อดอาหาร จึงเอาเหล็กแทงลงไปในน้ำเพื่อหาปลา เหล็กแทงไปถูกปลาไหลทองตัวหนึ่งจนท้องแตกกระจายไปทั่ววังน้ำ พญาปลากั้ง (คล้ายปลาช่อน) ตัวหนึ่งมาพบเข้าจึงอ้อนวอนขอแลกปลาไหลทองด้วยนางโพสพ คือข้าว ลูกเศรษฐีตกลง พญาปลากั้งจึงเรียกนางโพสพ คือข้าว มาหาและมอบให้ลูกเศรษฐีไป แต่นางโพสพขัดขืน ไม่อยากไปเมืองมนุษย์เพราะกลัวถูกตีอีก

กระทั่งเทวดา ๒ องค์ เนรมิตปลาและกวางทองมาช่วยพูด ขอให้นางโพสพไปอยู่เมืองมนุษย์เพื่อเลี้ยงคนและสืบพระศาสนา นางโพสพเห็นเป็นเทวดาก็ไม่อาจ ขัดได้จึงตกลงไปกับลูกเศรษฐี พอมาถึงพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสโป เมล็ดข้าวก็เล็กลงมาอีกและมีกลิ่นหอมและรสอร่อยเช่นเดิม จนถึงพระพุทธเจ้าที่ทรงพระนามว่า โคตโม เมล็ดข้าวเล็กลงอีกมีกลิ่นหอมและรสอร่อยเช่นเคย

ต่อมามีพญาองค์หนึ่งเสวยราชเป็นกษัตริย์อธรรม เกิดฝนแล้ง ผู้คนอดอยาก พญาองค์นั้นได้ทำยุ้งฉางหลวงข้าวไว้แจกจ่าย ประชาชนจึงมาขอรับข้าวไปแลกของกินและสิ่งของต่างๆ และขายเอาเงินมาใช้ ข้าวโกรธจึงหนีไปอยู่ในหนองอีก

ใกล้กันนั้นพระฤๅษีตนหนึ่งพำนักอยู่ ประชาชนอดอยากอยู่สามร้อยปี ล้มตายกันทั้งเมือง ยังเหลือแต่ตายายผัวเมียที่เข้าป่าไปหาพระฤๅษีเพื่อขออาหาร และเล่าถึงความอดอยากให้พระฤๅษีฟัง พระฤๅษีจึงเรียกนางโพสพ หรือข้าว มาหาแล้วมอบให้สองเฒ่า ชั้นแรกนางโพสพไม่ยอมไป พระฤๅษีจึงบอกคาถาให้สองเฒ่าเสกใส่นางโพสพ นางโพสพถูกคาถาจึงต้องไปยังเมืองมนุษย์อีก

และพระฤๅษียังเสกข้าวชนิดต่างๆ ให้สองเฒ่านำไปปลูก คราวแรกต้นเหี่ยวตาย สองเฒ่าจึงแต่งเครื่องขวัญเรียกวิญญาณนางโพสพ และเอาคาถาที่พระฤๅษีบอกให้มาเสกใส่น้ำนำไปรดต้นข้าว ต้นข้าวงอกงามดี และเมล็ดข้าวแตกออกเป็นเมล็ดเล็กมากมาย

สองเฒ่าจึงเอาเมล็ดข้าวแจกจ่ายไปยังบ้านเมืองต่างๆ แนะนำวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับข้าวด้วย เช่น ให้ทำบุญคูณลาน เมื่อนวดข้าวกองไว้ที่ลาน และทำพิธีเรียกขวัญข้าว หรือเจ้าแม่โพสพด้วย สองเฒ่าอายุยืนถึงพันปีจึงถึงแก่กรรม ส่วนพันธุ์ข้าวก็แพร่หลายไปตามบ้านเมืองต่างๆ อย่างกว้างขวางตลอดมาจนตราบเท่าทุกวันนี้


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/20515242053402_2.jpg)


ที่มา (เรื่อง-ภาพ) : หนังสือพิมพ์รายวันข่าวสด