ผ้าหลังคาเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ผนังอาคารภายในพิพิธภัณฑ์เรือพระที่นั่ง เป็นที่เก็บรักษาอาภรณ์ภัณฑ์เรือพระราชพิธี
พู่ห้อย ที่หัวเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ซึ่งทำด้วยขนจามรีจากประเทศเนปาล
เครื่องดนตรี เครื่องแต่งกายของเหล่าฝีพาย และสิ่งของเครื่องใช้ในกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค
องค์ความรู้อาภรณ์ภัณฑ์เรือพระราชพิธี จากอดีตที่ผ่านมา ผ้ามีบทบาทสำคัญกับวิถีชีวิตของมนุษย์ทุกเพศ ทุกวัย เป็นทั้งเครื่องแต่งกาย เครื่องนุ่งห่ม เพื่อปกปิดและประดับร่างกายให้สวยงามในโอกาสต่างๆ นอกจากนี้ยังสามารถนำผ้ามาทำเป็นของใช้ เช่น ผ้าห่ม ย่ามของชาวเขา ที่นอนของชาวไทครั่งในภาคอีสาน และผ้ายังถือเป็นตัวแทนของความเชื่อ ความศรัทธา เช่น วัฒนธรรมการใช้ผ้าห่อคัมภีร์ของชาวไทยลื้อ ผ้าห่อคัมภีร์ใบลานของชาวน่าน หรือนำมาใช้ในพิธีกรรม เช่น ตุงของชาวจังหวัดเชียงราย เป็นต้น
การปักผ้า เป็นการสร้างลวดลายบนผ้าพื้น โบราณใช้เข็มปักสอดเส้นด้าย เส้นไหม หรือดิ้นเงิน ดิ้นทอง ลงไปในเนื้อผ้าแล้วสอดขึ้นๆ ลงๆ ตามลวดลายที่ร่างไว้ เช่น ลายดอกไม้ ใบไม้ ลายไทย ส่วนมากใช้เป็นผ้าห่ม ผ้าปูลาดเครื่องราชูปโภคต่างๆ มีทั้งที่เป็นฝีมือช่างไทยและฝีมือชาวต่างประเทศที่ส่งมาขาย เช่น ผ้าสุจหนี่ หักทองขวางที่ปักด้วยดิ้นทอง ปัจจุบันการปักผ้าไม่เป็นที่นิยม ยังมีปักบ้างในหมู่ชาวไทยภูเขาในภาคเหนือ และผ้าที่ใช้ในราชสำนักหรืองานพระราชพิธีต่างๆ
ผ้าที่ใช้ในราชสำนักนั้น จะเป็นเครื่องกำหนดยศ กำหนดตำแหน่งของผู้สวมใส่ ผ้าบางประเภทใช้ได้เฉพาะพระมหากษัตริย์และเจ้านายชั้นสูง ทั้งนี้ ผ้าที่ใช้ในราชสำนักมีการเปลี่ยนแปลงไปตามความนิยมและยุคสมัย บางส่วนยังคงยึดถือตามแบบแผนดั้งเดิม ตามโบราณราชประเพณีจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็คือ ผ้าทอและผ้าปักที่ใช้ในฉลองพระองค์ของพระมหากษัตริย์ นายเรือ นายท้าย และเครื่องอาภรณ์ภัณฑ์ประกอบเรือพระราชพิธี อาทิเช่น ผ้าดาดหลังคากัญญา ผ้าหน้าจั่ว ผ้าม่าน ผ้าหน้าโขนเรือพระราชพิธี เป็นต้น
ในเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศประเภทเรือพระที่นั่ง โดยเฉพาะเรือพระที่นั่งประเภทเรือกิ่ง จะปรากฏงานทองแผ่ลวดที่ผ้าดาดหลังคาพระแท่นกัญญาเรือพระที่นั่ง ผ้าม่าน ผ้าหน้าโขนเรือ ฉัตร ธงงอน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีงานทองแผ่ลวดที่ใช้กับเรือพระราชพิธีประเภทเรือรูปสัตว์ เรือดั้ง เรือแซง เรืออีเหลือง เรือทองขวานฟ้าอีกด้วย ซึ่งอาภรณ์ภัณฑ์เรือพระราชพิธีเป็นอีกส่วนที่เสริมความวิจิตร และสง่างามให้กระบวนเรือพระราชพิธีผ้าลายทองแผ่ลวด จะใช้ผ้าสักหลาด (ผ้าทอด้วยขนสัตว์ เนื้อหนา ภาษาเปอร์เซีย เรียกว่า Sakalat หมายถึง ผ้าเนื้อดี) ผ้าตาด ผ้าโทเร และผ้ากำมะหยี่ นำมาทำเป็นผ้าพื้นเพื่อวางลวดลาย โดยเริ่มจากเขียนแบบลายหรือคัดลอกลายเดิม ตอกกระดาษ ปิดทองประดับกระจกแล้วจึงวางลายบนผืนผ้าแต่ละผืน สุดท้ายนำไปเย็บประกอบกับเรือพระราชพิธีแต่ละลำ
ทองแผ่ลวด หมายถึง กระดาษที่ใช้ตกแต่งเครื่องสูง การตกแต่งด้วยทองแผ่ลวดจึงเป็นการใช้กระดาษทองตกแต่งบนเครื่องสูง เช่น ฉัตร บังสูรย์ บังแทรก สำหรับพระราชวงศ์ที่ต่ำกว่าชั้นเจ้าฟ้า
งานช่างลายทองแผ่ลวด เป็นงานช่างแขนงหนึ่งในหมู่งานช่างสนะไทย (สะ-หนะ) หรือช่างที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับเครื่องภูษาอาภรณ์ วัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับงานเนื่องในสถาบันพระมหากษัตริย์และศาสนา ไม่นิยมใช้กับสามัญชน ได้แก่ ชุดฉลองพระองค์พระมหากษัตริย์ ฉัตรเครื่องสูงต่างๆ ตาลปัตรที่ทำด้วยผ้าปักลายในพิธีสำคัญมาแต่โบราณ ผ้าม่าน ผ้าดาดหลังคาเรือพระที่นั่งองค์ต่างๆ เป็นต้น เทคนิคหนึ่งที่ใช้ในการสร้างงานลายทองแผ่ลวดคือ เทคนิคการสลักกระดาษหรือตอกกระดาษ เพื่อให้ได้ลวดลายตามรูปแบบที่สวยงามและเพียงพอต่อการนำไปใช้งาน
กระดาษทองแผ่ลวด ทำจากกระดาษข่อยหรือกระดาษสา ซ้อนกันหลายๆ ชั้นให้หนาพอสมควร โดยใช้น้ำยาที่ทำจากพืชบางชนิดทาอาบให้กระดาษชื้น ใช้ค้อนเขาควายทุบพอให้เนื้อกระดาษประสานเป็นแผ่นเดียวและเรียบ แล้วผึ่งให้แห้งสนิท จากนั้นจึงทาผิวหน้าด้วยยางรัก ปิดด้วยทองคำเปลวจนเต็มหน้ากระดาษ เมื่อจะนำไปตกแต่งที่เครื่องสูง จะตัดเป็นแถบเล็กๆ เย็บด้วยมือ ติดริมขอบใบฉัตรที่เป็นพื้นขาว หรือสลักฉลุเป็นลวดลายเย็บตรึงประดับบนพื้นผ้าสี เห็นเป็นลวดลายทองบนพื้นสีต่างๆ
การสลักกระดาษหรือการตอกกระดาษ เป็นงานศิลปกรรมที่จัดอยู่ในจำพวกประณีตศิลป์ เป็นงานที่ช่างใช้กระดาษชนิดต่างๆ มาสลักทำให้เป็นรูปภาพหรือลวดลาย แล้วนำไปปิดประดับเป็นงานตกแต่งสิ่งต่างๆ ทั้งที่เป็นสิ่งถาวรอยู่ได้นาน เช่น ปิดเป็นลวดลายบนระใบฉัตรทองแผ่ลวด หรือเป็นสิ่งที่ต้องการใช้งานชั่วคราว เช่น ปิดลวดลายตกแต่งพระเมรุ ตกแต่งฐานเบญจา ตกแต่งเครื่องจิตกาธาน เป็นต้นบุษบกบัลลังก์เรือพระที่นั่ง
งานสลักกระดาษโดยประเพณีนิยมที่ได้สร้างหรือทำขึ้นในโอกาส วาระ และการใช้สอยต่างๆ เช่น
๑) งานสลักกระดาษประดับเครื่องแสดงอิสริยายศ ได้แก่ ฉัตรทองแผ่ลวด ฉัตรปรุ บังสูรย์ บังแทรก จามร
๒) งานสลักกระดาษประดับเครื่องอุปโภค ได้แก่ พานแว่นฟ้า พานพุ่มขี้ผึ้ง ตะลุ่ม กระจาดเครื่องกัณฑ์เทศน์
๓) งานสลักกระดาษประดับเครื่องตกแต่ง ได้แก่ ม่าน ฉาก หน้าบันพลับพลา เพดานปรำ
๔) งานสลักกระดาษประดับเครื่องศพ ได้แก่ ประดับลูกโกศ เมรุราษฎร พระเมรุของหลวง จิตกาธาน เป็นต้น
วิธีการสลักกระดาษ จะนำเอาตั้งกระดาษที่ได้วางแม่แบบและใส่หมุดไว้มาวางลงบนเขียงไม้ ใช้สิ่วหน้าต่างๆ และขนาดต่างๆ ตอกเจาะ หรือสลักเดินไปตามลายเส้นแม่แบบ ตอนใดที่ต้องการให้เป็นรู เป็นดวง จะใช้ตุ๊ดตู่เจาะปรุ หรือหากต้องการทำเป็นเส้น แสดงส่วนละเอียดเป็นเส้นไข่ปลา ก็ต้องใช้เหล็กปรุตอกดุนขึ้นมาข้างใต้ตัวลายหรือรูปภาพ ซึ่งต้องทำภายหลังจากสลักทำเป็นลวดลายหรือรูปภาพครบถ้วนแล้ว
ลวดลายที่ปรากฏจะมีรูปแบบที่หลากหลาย เช่น รูปแบบลวดลายไทย ทั้งประเภทกนกหรือประเภทพันธุ์พฤกษา รวมทั้งรูปแบบลวดลายจากอิทธิพลทางศิลปะภายนอกที่เข้ามาปะปนอยู่ในศิลปะของไทย มีทั้งรูปแบบจีนและรูปแบบตะวันตก ทั้งนี้สามารถสังเกตลวดลายได้ ๒ ลักษณะ ดังนี้
๑.ลักษณะลวดลายแบบลายติด คือ ตัวลวดลายทั้งหมดจะเชื่อมโยงติดต่อเนื่องกันโดยตลอด หากมีกรอบนอก ลวดลายทุกตัวจะมีส่วนที่เกาะอยู่กับกรอบโดยรอบด้วยเสมอ ส่วนที่ทะลุขาดออก จะเป็นส่วนพื้นหลัง
๒.ลักษณะลวดลายแบบขาด จะมีรูปแบบตรงกันข้ามกับแบบแรก คือ ลวดลายทุกตัวจะไม่เชื่อมติดกัน และจะเป็นส่วนที่ทะลุขาดออกจากพื้นหลัง
ในการทำลายทองแผ่ลวดนี้ จะต้องอาศัยความชำนาญจากช่างฝีมือหลายแขนงร่วมกัน เริ่มตั้งแต่ช่างเขียน ดำเนินการออกแบบลวดลาย โดยกำหนดรายละเอียดของลวดลายที่จะใช้ กำหนดขนาดผ้า สีผ้า สีกระจก เพื่อให้เกิดความสวยงามและเหมาะสมกับสภาพการใช้งาน ลวดลายที่เขียนลงบนงานทองแผ่ลวดจะเป็นลวดลายแบบลายติด จึงทำให้ปลายของลายเป็นปลายตัด ไม่แหลมคมเหมือนลายที่เขียนในงานอื่นๆ มีช่องสำหรับใส่กระจก ดังนั้น การจัดช่องไฟจึงมีความสำคัญ นอกจากจะช่วยให้เกิดความสวยงามแล้ว ยังทำให้เห็นลวดลายได้ชัดเจนขึ้น
ช่างแกะสลัก ดำเนินการฉลุกระดาษหรือตอกกระดาษ เพื่อให้ได้ลายตามแบบที่สวยงามและเพียงพอต่อการใช้งาน
ช่างปิดทอง ดำเนินการปิดทองกระดาษลายให้สวยงาม โดยทาเชลแลค (Shellac) บนกระดาษที่ตอกลายไว้แล้ว ทารักหรือสีทองปิด ผึ่งให้แห้งพอหมาด จึงจะปิดทองคำเปลวทั่วทั้งแผ่น โดยใช้ทองแท้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์
ช่างประดับกระจก ดำเนินการตัดกระจกสีต่างๆ ตามขนาดและลักษณะของลวดลายเพื่อใช้เป็นไส้ของลวดลาย โดยจะติดกระจกที่ด้านหลังของแผ่นกระดาษลาย ให้ด้านเงาหันออกด้านหน้าของกระดาษลายที่ปิดทองไว้แล้ว
ช่างสนะ ดำเนินการเย็บลวดลายกระดาษที่ปิดทองและประดับกระจกแล้วลงบนผ้าที่เลือกใช้ โดยขึงผ้าบนสะดึงไม้ วางลวดลายลงบนผ้า จากนั้นจึงเย็บด้วยการเดินเส้นด้ายเส้นใหญ่สีเหลืองทอง (เดิมใช้ดิ้นทอง) ล้อขอบลวดลาย แล้วจึงเย็บตรึงด้วยด้ายเส้นเล็กสีเดียวกัน เมื่อเย็บชิ้นงานเรียบร้อยแล้วจะนำมาประกอบเข้ากับเครื่องประกอบเกียรติยศ
การทำงานของช่างเหล่านี้จะต้องกลมกลืนกัน เพื่อให้ชิ้นงานออกมาประณีตสวยงาม ซึ่งในปัจจุบันงานเย็บผ้าลายทองแผ่ลวดเหลือน้อยลง เนื่องจากต้องอาศัยกระบวนช่างที่ซับซ้อนและละเอียดประณีตอย่างมาก ทังนี้ กรมศิลปากรยังคงดำเนินงานช่างแขนงนี้ไว้อย่างต่อเนื่อง โดยการอนุรักษ์มรดกศิลปวัฒนธรรมงานทองแผ่ลวดที่ใช้ในงานพระราชพิธีต่างๆ โดยยึดเทคนิคและวัสดุอุปกรณ์อย่างช่างโบราณผ้าปัก อาภรณ์ภัณฑ์สำคัญ
ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธีเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์๑.ผ้าดาดหลังคาพระแท่นกัญญาเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์
ขนาด กว้าง ๓๗๐ เซนติเมตร ยาว ๔๖๒ เซนติเมตร
ผ้าสักหลาดพื้นสีแดง ลายทองแผ่ลวด ท้องผ้าปักลายพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่ง มีกรอบ ๔ ชั้น ล้อมโดยรอบท้องผ้า ชั้นที่หนึ่งปักลายกรุยเชิงบนพื้นสีเขียว ชั้นที่สองปักลายดอกซีกดอกซ้อนบนพื้นสีเขียว ชั้นที่สามปักลายประจำยามก้ามปูบนพื้นสีแดง ชั้นที่สี่ปักลายดอกซีกดอกซ้อนบนพื้นสีเขียว๒.ผ้าหน้าจั่วเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์
ขนาด สูง ๑๑๒ เซนติเมตร ยาว ๑๖๐ เซนติเมตร
ผ้าสักหลาดพื้นสีแดง ทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ลายทองแผ่ลวด ท้องผ้าปักลายพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่ง มีกรอบ ๔ ชั้น ล้อมโดยรอบท้องผ้า ชั้นที่หนึ่งปักลายกรุยเชิงบนพื้นสีเขียว ชั้นที่สองปักลายดอกซีกดอกซ้อนบนพื้นสีเขียว ชั้นที่สามปักลายประจำยามก้ามปูบนพื้นสีแดง ชั้นที่สี่ปักลายดอกซีกดอกซ้อนบนพื้นสีเขียว
๓.ผ้าม่านเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์
ขนาด กว้าง ๒๐๐ เซนติเมตร ยาว ๒๓๓ เซนติเมตร
ผ้าสักหลาดพื้นสีแดง ลายทองแผ่ลวด ท้องผ้าปักลายพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่ง มีกรอบ ๓ ชั้น ล้อมโดยรอบท้องผ้า ชั้นที่หนึ่งปักลายกรุงเชิงบนพื้นสีเขียว ชั้นที่สองปักลายดอกซีกดอกซ้อนบนพื้นสีแดง ชั้นที่สามปักลายประจำยามใบเทศ (ยืดลายด้านข้างออก) บนพื้นสีเขียว๔.ธงสามชายเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์
ขนาด กว้าง ๑๕๐ เซนติเมตร ยาว ๑๖๕ เซนติเมตร สูง ๒๔๑ เซนติเมตร
ผ้าสักหลาดพื้นสีแดง ปักดิ้นทั้งสองด้าน เป็นลายเครือเถาใบเทศทั้งผืน คั่นด้วยลายกรุยเชิงในกรอบสามเหลี่ยมบนพื้นสีน้ำเงิน มีลายประจำยามก้ามปูล้อมรอบอีกชั้นหนึ่ง ชายธงแหลมมีสามชายเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙๑.ผ้าดาดหลังคาพระแท่นกัญญาเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙
ขนาด กว้าง ๓๙๒ เซนติเมตร ยาว ๕๓๖ เซนติเมตร
ผ้าสักหลาดพื้นสีแดง ลายทองแผ่ลวด ท้องผ้าปักลายโคมพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่ง มีกรอบ ๓ ชั้น ล้อมโดยรอบท้องผ้า ชั้นที่หนึ่งปักลายหน้าอิฐคั่นด้วยลายกระจังบนพื้นสีเขียว ชั้นที่สองปักลายเกลียวออกลายสลับหัวสลับหางบนพื้นสีแดง (โดยมีการตั้งตัวกลางแล้วออกลายไปสองข้าง) ชั้นที่สามปักลายลูกฟักประจำยามก้ามปูใบเทศบนพื้นสีเขียว ๒.ผ้าหน้าจั่วเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙
ขนาด สูง ๘๑ เซนติเมตร ยาว ๑๖๒ เซนติเมตร
ผ้าสักหลาดพื้นสีแดง ทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ลายทองแผ่ลวด ท้องผ้าปักลายโคมพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่ง มีกรอบ ๓ ชั้น ล้อมโดยรอบท้องผ้า ชั้นที่หนึ่งปักลายกรุยเชิงบนพื้นสีเขียว ชั้นที่สองปักลายประจำยามก้ามปูใบเทศบนพื้นสีแดง ชั้นที่สามปักลายลูกฟักประจำยามก้ามปูใบเทศบนพื้นสีเขียว๓.ผ้าม่านเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙
ขนาด กว้าง ๑๓๐ เซนติเมตร ยาว ๒๓๒ เซนติเมตร
ผ้าสักหลาดพื้นสีแดง ลายทองแผ่ลวด ท้องผ้าปักลายโคมพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่ง มีกรอบ ๓ ชั้น ล้อมโดยรอบท้องผ้า ชั้นที่หนึ่งปักลายหน้าอิฐคั่นด้วยลายกระจังบนพื้นสีเขียว ชั้นที่สองปักลายเกลียวออกลายสลับหัวสลับหางบนพื้นสีแดง (โดยมีการตั้งตัวกลางแล้วออกลายไปสองข้าง) ชั้นที่สามปักลายลูกฟักประจำยามก้ามปูใบเทศบนพื้นสีเขียว* ผู้สนใจสามารถหาความรู้ "อาภรณ์ภัณฑ์เรือพระราชพิธี" ลำอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่พิพิธภัณฑ์เรือพระราชพิธีผู้เรียบเรียง :
kimlengอ้างอิง : - บทความ เรือพระที่นั่งในอดีต โดย นิยม กลิ่นบุบผา นักวิชาการช่างศิลป์เชี่ยวชาญ (ด้านช่างสิบหมู่) สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร, นิตยสารศิลปากร
- บทความ ๗๐ ปี พิพิธภัณฑสถานไทย ก้าวไปภายใต้ร่มพระบารมี โดย พัชรินทร์ ศุขประมูล ภัณฑารักษ์เชี่ยวชาญ (ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิจัยและพัฒนาพิพิธภัณฑ์) สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร, นิตยสารศิลปากร
- หนังสือนำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี, กรมศิลปากร จัดพิมพ์เผยแพร่
- หนังสือผ้าปักโบราณเรือพระราชพระราชพิธี, กรมศิลปากร จัดพิมพ์เผยแพร่
- สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคกลาง, มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ จัดพิมพ์เผยแพร่
- จดหมายเหตุรายวัน การเดินทางไปสู่ประเทศสยาม (
Journal du Voyage de Siam) โดย บาทหลวง เดอ ชัวซีย์, แปลโดย สันต์ ท.โกมลบุตร
- เว็บไซต์ วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี
- เว็บไซต์ .
finearts.go.th