ส่วนหนึ่งของโบราณวัตถุ
จัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ พระพุทธรูปทรงเครื่อง ปางป่าเลไลยก์ (ไม้)
ศิลปะอยุธยา พุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๓
พระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ ประทับนั่งบนฐานบัวหงาย ห้อยพระบาททั้งสองข้างบนฐานสี่เหลี่ยมยกสูง
พระพักตร์รูปไข่ พระขนงเป็นวงโค้ง พระเนตรเหลือบมองต่ำ ปลายพระเนตรชี้ขึ้น พระนาสิกโด่ง
พระโอษฐ์เล็ก พระหัตถ์ขวาวางคว่ำ ส่วนพระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระชานุ
สันนิษฐานว่า สร้างรูปช้างและวานรประกอบที่ฐานด้านหน้า แต่หลุดหายไป
พระพุทธรูปทรงเครื่อง เป็นพระพุทธรูปที่ฉลองพระองค์ทรงเครื่องขัตติยราชแบบกษัตริย์
เช่น สวมมงกุฎ กรองศอ ทับทรวง ฉลองพระบาท ฯลฯ นิยมสร้างกันมากในสมัยอยุธยาตอนปลาย
และแบ่งออกได้เป็น ๒ แบบ คือ แบบทรงเครื่องใหญ่ และแบบทรงเครื่องน้อย
สำหรับพระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์นี้ เป็นตอนหนึ่งในพุทธประวัติของพระพุทธเจ้า
โดยกล่าวถึงเหตุการณ์ในพรรษาที่ ๑๐ เมื่อพระพุทธองค์ประทับ ณ โฆสิตาราม เมืองโกสัมพี
ในครั้งนั้น พระสงฆ์สาวกไม่สามัคคีปรองดองกัน ประพฤตินอกพระโอวาท ด้วยอำนาจมานะทิฏฐิ
พระพุทธองค์จึงเสด็จจาริกแต่พระองค์เดียวไปยังป่าปาลิไลยกะ ทรงอาศัยพระยาช้างปาลิไลย์ทำวัตรปฏิบัติ
ต่อมาพระยาวานรออกเที่ยวตามยอดไม้โดยลำพัง ได้พบพระยาช้างปาลิไลยก์ทำวัตรปฏิบัติ
ถวายพระพุทธองค์อยู่ด้วยความเคารพ จึงบังเกิดกุศลจิต ครั้นพบรวงผึ้งจึงนำมาถวายพระพุทธองค์เช่นกัน
พระพุทธรูป ปางมารวิชัยบุเงิน
ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔-๒๕
พระพุทธรูปสมาธิ ปางนาคปรก
ศิลปะลพบุรีร่วมสมัยกับศิลปะอยุธยา พุทธศตวรรษที่ ๑๘-๒๓
พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา ศิลปะลพบุรี พุทธศตวรรษที่ ๑๘
พระไภษัชยคุรุ ประทับนั่งขัดสมาธิราบบนฐานบัวหงาย พระพักตร์รูปสี่เหลี่ยม พระขนงเป็นเส้นตรง
พระเนตรเปิด พระนาสิกค่อนข้างโด่ง พระโอษฐ์แสดงอาการยิ้ม พระกรรณยาว สวมกุณฑลหรือตุ้มหู
และสวมศิราภรณ์คล้ายมงกุฎ มุ่นมวยพระเกศาทรงกรวยแหลมรูปกลีบบัวซ้อนขึ้นไปเป็นชั้นๆ
พระหัตถ์ทรงถือวัตถุคล้ายหม้อน้ำมนต์ยกขึ้นอยู่ระดับพระอุระ จากลักษณะของกรอบกระบังหน้า
ของศิราภรณ์และฐานบัว แสดงถึงอิทธิพลของศิลปะเขมรแบบบายน (พ.ศ. ๑๗๒๐ – พ.ศ. ๑๗๗๓)
พระไภษัชยคุรุ หรือ พระพุทธเจ้าแพทย์ เป็นหนึ่งในพระพุทธเจ้าของศาสนาพุทธนิกายมหายาน
เป็นพระพุทธเจ้าที่มีผู้นิยมนับถือมากที่สุดพระองค์หนึ่งในประเทศจีน ธิเบต มีประวัติความเป็นมาว่า
เมื่อครั้งพระไภษัชยคุรุเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ได้ตั้งปณิธานไว้ที่จะช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์
ที่เกิดจากโรคทางกายและทางใจ และให้สรรพสัตว์มีชีวิตยืนยาว
สำหรับประติมากรรมรูปพระไภษัชยคุรุมักพบอยู่ในอโรคยศาล หรือโรงพยาบาลที่สร้างขึ้น
ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ โดยเป็นที่เชื่อกันว่า ถ้าผู้ป่วยเจ็บปวดส่วนใดของร่างกาย
เช่น ปวดตาก็ให้ลูบบริเวณพระเนตรของพระไภษัชยคุรุ ก็จะหายจากอาการเจ็บปวด
พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
ศิลปะลพบุรี พุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗
พระคเณศ : เทพเจ้าแห่งศิลปวิทยา ศิลปะลพบุรี พุทธศตวรรษที่ ๑๕
จากลักษณะของพระคเณศองค์นี้ ที่มีซุ้มสลักเป็นรูปมกรคายนาค เป็นลวดลาย
ที่แสดงถึงอิทธิพลศิลปะเขมรแบบเกาะแกร์ (ราว พ.ศ. ๑๔๖๔-พ.ศ. ๑๔๘๘)
พระคเณศประทับนั่งขัดสมาธิราบอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมด้านหลังทำเป็นซุ้มมีลักษณะเป็นเสาสี่เหลี่ยม
หัวเสาเป็นรูปบัวหงายมีมกรคายนาคสามเศียรอยู่ด้านบน ถัดไปเป็นลายใบไม้สอบขึ้นไปเป็นยอดแหลม
พระคเณศองค์นี้มีเศียรเป็นช้าง มีงาซ้ายข้างเดียว พระวรกายอวบอ้วน มีสองกร สวมมงกุฎทรงกรวย
หรือชฎามกุฎ พระหัตถ์ขวาทรงถืองาที่หักไว้ บริเวณบั้นพระองค์มีชายผ้าพับย้อนออกมาด้านหน้า
ประทับนั่งขัดสมาธิราบ โดยฝ่าพระบาทด้านซ้ายและขวาซ้อนทับกัน
ตามตำนานเล่าว่า พระคเณศหรือพระพิฆเนศวร์ เป็นพระโอรสของพระศิวะและพระอุมา
บางตำนานก็ว่าเป็นโอรสของพระอุมาองค์เดียว มีลักษณะรูปร่างอวบอ้วน ผิวกายสีแดง มีเศียรเป็นช้าง
มีงาเดียว มีสี่กร สิ่งของที่ถือมีหลายอย่าง อาทิ คฑา จักร วัชระ บ่วงบาศก์ ขอช้าง สังข์ ขนมโมทกะ
พาหนะของพระองค์คือ หนู พระคเณศเป็นหนึ่งในเทพที่สำคัญที่สุดองค์หนึ่งในศาสนาฮินดู
โดยเป็นเทพเจ้าแห่งความเฉลียวฉลาด การขจัดอุปสรรค และศิลปะวิทยาการ
ในปัจจุบัน พระองค์เป็นที่นับถือของชาวฮินดูเป็นอย่างยิ่ง เมื่อจะประกอบพิธีกรรมทางศาสนา หรือจัดงาน
ฉลองเกี่ยวกับศาสนาทุกครั้งจะต้องสักการะพระคเณศก่อน เพื่อให้พิธีกรรมและงานดังกล่าวสำเร็จลุล่วงไป
โดยปราศจากอุปสรรคใดๆ นอกจากนั้น พระองค์ยังได้รับความนับถืออย่างมากในประเทศไทย
และประเทศอื่นๆ ที่นับถือศาสนาพุทธและศาสนาฮินดูอีกด้วย
พังลาง (ระฆัง) ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๕
เศียรนาค ศิลปะลพบุรี พุทธศตวรรษที่ ๑๗
จากปราสาทพนมรุ้ง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์
หน้าบันไม้ภาพพระนารายณ์ทรงช้างเอาราวัณ
ศิลปะอยุธยา พุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๒
ยักษ์ ศิลปะลพบุรี พุทธศตวรรษที่ ๑๖–๑๗
ทวารบาล (เทพผู้รักษาประตู) ศิลปะลพบุรี พุทธศตวรรษที่ ๑๗
เทพนพเคราะห์
ศิลาจารึกหินทราย ขนาดสูง ๖๒ ซม. กว้าง ๗๖ ซม. หนา ๑๒.๕ ซม.
อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๔ พบที่บ้านพันดุง อำเภอขามทะเลสอ จังหวัดนครราชสีมา
เป็นแผ่นหิน ด้านบนสลักเป็นรูปทรงโค้งแบบกลีบบัว จารึกด้วยอักษรหลังปัลละวะ ภาษาสันสกฤต
อนุสาวรีย์ท่านท้าวสุรนารี (โม) อายุได้ ๘๑ ปี
กลองมโหระทึก (
Bronze Drum) ยุคสำริด สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย
อายุประมาณ ๓,๕๐๐-๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว ขนาดสูง ๔๐ เซนติเมตร กว้าง ๗๒ เซนติเมตร
กลองมโหระทึก ถูกพบในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย พม่า เวียดนาม ลาว
มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นต้น สันนิษฐานว่า กลองมโหระทึก
มีการผลิตครั้งแรกในวัฒนธรรมดองซอน ประเทศเวียดนาม ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
โดยผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรม เช่น พิธีกรรมขอฝน พิธีกรรมในการฝังศพ
หรือพิธีกรรมในการรักษาโรค เป็นต้น
หอยสังข์และฐานรองสำริด ศิลปะลพบุรี พุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘
ชุดพระราชอาสน์
ชุดพระราชอาสน์ ประกอบด้วย พระราชอาสน์ที่ประทับสองที่ และโต๊ะเคียงหนึ่งตัว พระราชอาสน์ที่ประทับ เป็นเก้าอี้ไม่มีเท้าแขน โครงสร้างทำด้วยไม้กลึงทาสีขาว พนักบุผ้า ปักรูปครุฑพ่าห์ด้วยสีแดง มงกุฎและเครื่องประดับปักสีทอง
๑. ในรัชกาลที่ ๕ จัดถวายเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชชนนี เมื่อคราวเสด็จประพาสจังหวัดนครราชสีมา เพื่อทรงทำพิธีเปิดทางรถไฟสายกรุงเทพฯ – นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๒๐ – ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๓
๒. ในรัชกาลที่ ๖ จัดถวายเป็นที่ประทับ เมื่อคราวเสด็จประพาสจังหวัดนครราชสีมา และทำพิธีฉลองโล่ห์กองทหารม้า เมื่อยังดำรงพระยศเป็นพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ เมื่อวันที่ ๑๒ – ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๖
๓. ในรัชกาลที่ ๙ จัดถวายเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เพื่อให้ราษฎรเข้าเฝ้า ณ บริเวณหน้าศาลากลาง จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๘