เรื่องที่ ๒ ปลดตาข่ายปล่อยกระต่าย ท่าน เว่ย หล่าง พระสังฆปริณายกองค์ที่หกของประเทศจีน ตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็นเด็กหนุ่มชาวป่าชาวดอย ท่านก็ได้รับการถ่ายทอดธรรมะจากพระธรรมาจารย์ หง อิ้ง พระสังฆปริณายกองค์ที่ห้า
เมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไปทำให้ผู้คนแตกตื่นและมีศิษย์ร่วมสำนักหลายร้อยติดตามมา ต่างหวังช่วงชิงผ้ากาสาวพัสตร์และบาตรของพระพุทธองค์ที่ได้รับมอบอันเป็นสัญลักษณ์ของผู้ดำรงตำแหน่งประมุขสูงสุด
ท่าน เว่ย หล่าง เห็นว่าตนตกอยู่ในอันตรายจึงปลอมตัวเป็นคนธรรมดาหลบซ่อนอยู่กับพวกพรานป่า ในเวลานั้นท่านมักหาโอกาสสั่งสอนพวกนายพรานอยู่เสมอๆ เมื่อคนเหล่านั้นเห็นว่าท่านไม่มีใจออกไปล่าสัตว์จึงใช้ให้คอยนั่งเฝ้าตาข่ายดักสัตว์ แต่พอปลอดคนท่านก็แอบปลดตาข่ายให้สัตว์ที่ติดอยู่หนีออกไปจนหมด
ตลอดระยะเวลาถึง ๑๖ ปี ที่ท่าน เว่ย หล่าง อาศัยอยู่กับพวกพรานป่า ท่านช่วยชีวิตสัตว์ให้รอดตายไปจนนับไม่ถ้วน
และเมื่อบุญวาระมาถึง ท่านจึงออกจากป่าเดินทางไปยังมณฑลกวางตง แล้วได้เข้าบรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระบวรพุทธศาสนา
หลังจากนั้นไม่นานท่านก็ได้สร้างพระอารามใหญ่ และเทศนาอบรมสั่งสอนผู้คนทั้งหลาย ฉุดช่วยสาธุชนให้ได้บรรลุแจ้งในสัจธรรม จนกุศลบารมีและพระเกียรติคุณขจรขจายแผ่ไพศาล เป็นที่เคารพเลื่อมใสของมหาชนทั่วทั้งแผ่นดิน เรื่องที่ ๓ ผู้นำที่แท้จริง ในรัชสมัยราชวงศ์ ซ้ง ท่านอ๋อง เฉิน ทั่ง เป็นผู้ที่ทรงคุณธรรม ต่อเบื้องบนพระองค์เคารพยำเกรงยึดมั่นในหลักธรรมของฟ้า ต่อเบื้องล่างก็ทรงรักใคร่เมตตาประชาราษฎร์ ขณะนั้นเป็นเวลาที่พระองค์กำลังฟื้นฟูทะนุบำรุงบ้านเมือง
วันหนึ่งท่านอ๋องได้เสด็จออกไปตรวจดูความเป็นอยู่ของราษฎร ไม่ว่าพระองค์จะทอดพระเนตรไปทางไหนก็ทรงพบเห็นแต่แห อวน ตาข่าย ซึ่งชาวบ้านตั้งขึ้นไว้เพื่อดักสัตว์ เจ้าของกับดักต่างพากันพร่ำอธิษฐานอยู่แต่ว่า
“สัตว์ที่อยู่บนฟ้า ก็ขอให้บินลงมา
สัตว์ที่อยู่บนดิน ก็ขอให้วิ่งเข้ามา
สัตว์ที่อยู่ข้างล่าง ก็ขอให้โผล่ขึ้นมา
ขอให้สัตว์ทั้งหลายเข้ามาอยู่ในกับดักของข้าพเจ้าด้วยเถิด”
ท่านอ๋องได้ยินคำอธิษฐานเหล่านี้แล้ว ก็ทรงรู้สึกสลดหดหู่พระทัย สงสารราษฎรของพระองค์ยิ่งนัก ที่พากันลุ่มหลงก่อแต่บาปเวรไม่รู้จักจบสิ้น
ครั้นแล้วท่านอ๋อง เฉิน ทั่ง ผู้เปี่ยมด้วยเมตตาจิต จึงเสด็จตรงไปที่ตาข่ายของชาวบ้านทั้งหลาย ทรงเปิดตาข่ายออกทั้ง ๓ ด้านให้เหลือเพียงด้านเดียว แล้วแหงนพระพักตร์ขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับกล่าวอธิษฐานด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า
“สัตว์ที่มาจากท้องฟ้า ก็ขอให้บินสู่เบื้องบน
สัตว์ที่อยู่บนพื้นดิน ก็ขอให้วิ่งออกไป
สัตว์ที่อยู่เบื้องล่าง ก็ขอให้มุดลงดิน
ขอให้สัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลายจงหนีไปให้หมด อย่าได้เข้ามาสู่กับดักของผู้ใดเลย
ขอให้แห อวน ตาข่าย ทั้งหลายเป็นที่อยู่ของสัตว์ที่ตายแล้วเท่านั้นเถิด”
ชาวบ้านผู้มาตั้งกับดักสัตว์ ได้ยินเช่นนั้นแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งในความมีพระทัยเมตตาของท่านอ๋อง ต่างก็เชื่อฟังและเลิกดักจับสัตว์
แม้กระนั้นท่านอ๋อง เฉิน ทั่ง ก็ยังทรงวิตกห่วงใยว่าประชาชนมากมายในแผ่นดินที่ยังฝักใฝ่ในการล่าดักจับสัตว์นั้นยากที่จะเปลี่ยนนิสัยได้ในเวลาอันสั้น พระองค์จึงมีพระราชโองการออกคำสั่งให้ตัดแหออกทั้ง ๓ ด้าน เหลือไว้เพียง ๑ ด้านเท่านั้น
ด้วยพระปรีชาญาณอันวิริยะพากเพียรและเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา ที่พระองค์ทรงอบรมสั่งสอนให้ละเว้นจากการเบียดเบียนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เป็นเหตุให้ประชาชนลดการสร้างบาปกรรมลงได้อย่างมากมายมหาศาล ท่านอ๋อง เฉิน ทั่ง จึงสมกับเป็นผู้นำที่ห่วงใยเมตตารักใคร่เหล่าทวยราษฎร์ของพระองค์อย่างแท้จริง เรื่องที่ ๔ ดวงใจแม่กวาง ในรัชสมัย จิ่ง ฉาว นายทหารหนุ่มชาวมณฑล ยู้หนัน นามว่า สี่ เจิน จิง เป็นคนมีนิสัยชอบล่าสัตว์
วันหนึ่ง สี่ เจิน จิง ขึ้นไปล่าสัตว์บนภูเขา สามารถยิงลูกกวางตัวเล็กๆ ได้ตัวหนึ่ง ขณะที่เขากำลังจะเข้าไปเอา ก็มีแม่กวางตัวหนึ่งวิ่งอย่างสุดชีวิตตรงเข้ามาหาลูกกวางน้อยทันที! มันค่อยๆ ใช้ลิ้นเลียบาดแผลที่ถูกธนูปักคาอยู่ ด้วยความระทมใจ สักครู่เดียวแม่กวางก็ล้มลงขาดใจตาย!
ทหารหนุ่มนักล่าได้แบกเอากวางทั้งแม่และลูกกลับไปด้วยความฉงนสงสัย ไม่เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลย
ครั้นถึงบ้าน สี่ เจิน จิง จึงจัดแจงเตรียมชำแหละเนื้อกวางไปทำอาหาร ทันทีที่ผ่าหน้าอกแม่กวาง หนุ่มนักล่ามือฉมังก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็นลำไส้ของมันขาดเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย ส่วนตับก็แตกสลายเละไปหมด ภาพที่ปรากฏต่อหน้ามันช่างน่าเวทนา จนไม่อาจหาคำพรรณนาได้ นายทหารหนุ่มร้องไห้ฟูมฟายพร่ำรำพันแต่ว่า “ไม่น่าทำเลย!...ไม่น่าทำเลยจริงๆ !” ด้วยความเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้ง เขาหักคันธนูกระชากสายขาดสะบั้น แล้วตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ว่า “นับตั้งแต่บัดนี้ เราจะไม่ล่าสัตว์อีกไปจนตลอดชีวิต”
ไม่ว่าสัตว์อะไรก็ตามต่างก็เกิดมาบนโลกด้วยความรักความผูกพันกันระว่างแม่และลูก ถึงคราวที่ชีวิตใดชีวิตหนึ่งต้องถูกพรากให้ตายจากกันไป มันเป็นเรื่องน่าเศร้าสลดเพียงใด...
ดูเอาเถิด...ดวงใจของแม่กวางที่รักลูกจนไม่ยอมหนีเอาตัวรอด ต้องเห็นภาพลูกน้อยถูกฆ่าตายไปต่อหน้า ความเจ็บปวดทุกข์ระทมใจสุดอาลัยอาวรณ์ มันช่างมากมายท่วมท้นขนาดไหนกัน ถึงกับทำให้ภายในร่างกายของแม่กวางต้องแหลกสลายจนสิ้นใจตายตามลูกไป สำหรับคนที่มีหัวใจแล้วในโลกนี้ยังจะมีเรื่องน่าเศร้าสลดไปกว่านี้อีกไหม?
ทหารหนุ่ม สี่ เจิน จิง อยู่รับราชการต่อมาจนกระทั่งได้เป็นนายอำเภอ กระทั่งถึงปลายรัชสมัย จิ่ง ฉาว บ้านเมืองวุ่นวายยุ่งเหยิง นายอำเภอ สี่ เจิน จิง จึงลาออกราชการแล้วเดินทางติดตามท่านนักพรตอู่เมิ่ง เพื่อฝึกฝนปฏิบัติธรรม
ท่าน สี่ เจิน จิง บำเพ็ญธรรมอยู่บนภูเขาด้วยความมุ่งมั่นจนกระทั่งอีก ๒ ปีต่อมา บนเทือกเขาซีซาน มณฑล หง โจว ท่านก็ได้สำเร็จธรรมรู้แจ้งในสรรพสิ่ง แล้วจึงออกจาริกเผยแพร่หลักธรรมฉุดช่วยสาธุชน และสั่งสอนอบรมคนชั่วให้กลับตัวกลับใจ
แม้ว่าท่านจะล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว แต่ชื่อเสียงเกียรติคุณและบุญญาภินิหารที่คอยให้ความช่วยเหลือแก่เวไนยสัตว์ผู้ทุกข์ยากกลับยิ่งเลื่องลือระบือไกล จวบจนถึงรัชสมัยราชวงศ์ซัง ท่านสี่ เจิน จิง จึงได้รับการยกย่องสถาปนาขึ้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีพระนามว่า “เมี่ยว จี้ เจิน จิง” ขอขอบคุณ มูลนิธิรัศมีธรรม (ที่มาเรื่อง-ภาพ)
แปลจากหนังสือ : เหลียน ฉือ ต้า ซือ เจี๋ย ชา ฟัง เซิน เหวิน ถู ชัว
ผู้แปล : อาจารย์ หลิว อ้าย เหลียน
มูลนิธิรัศมีธรรม จัดพิมพ์เผยแพร่เป็นธรรมทาน
650