[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ => ข้อความที่เริ่มโดย: เงาฝัน ที่ 30 ตุลาคม 2554 12:51:28



หัวข้อ: สแกนอดีตแก้กรรม บทสัมภาษณ์ท่านพระ อ.คึกฤทธิ์ แม่ชีศันสนีย์ ท่าน ว.
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 30 ตุลาคม 2554 12:51:28


(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2009/09/29/images/news_img_79329_1.jpg)

สแกนอดีตแก้กรรม
บทสัมภาษณ์
ท่านพระอาจารย์คึกฤทธิ์ แม่ชีศันสนีย์ ท่าน ว.วชิรเมธี

กรุงเทพธุรกิจ :จุดประกาย
ปีที่ 22 ฉบับที่7678 วันพุธที่30 กันยายน พ.ศ.2552
ktjud@nationgroup.com

สมัยที่กรรมเอาไป(ปู้ยี่ปู้ยำ) ทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะสแกน แก้
หรือตัดให้หายทิ้งไป เคยนึกถามตัวเองบ้างหรือไม่ว่า
เราก็กำลังอยู่กับอะไร เชื่อในสิ่งไหน ใช่หรือลวง

"ในชีวิตนี้คุณคิดว่าเรามีเวลาอยู่กัน คนละกี่ปี ไม่ถึงร้อย
ครึ่งหนึ่งทะเลาะกับเพื่อนบ้าน ครึ่งหนึ่งติดละครน้ำเน่า
ครึ่งหนึ่งอิจฉาริษยา ครึ่งหนึ่งก็ไปเล่นการเมืองและอีกครึ่งหนึ่ง
ก็คุ้มดีคุ้มร้ายเล่นคุณไสยฯ แล้วคุณจะเหลือช่วงชีวิตดีๆสักกี่ปี
คุณคิดตัวเองว่ามีเวลาบ้าได้นานขนาดนั้นเชียวหรือ"

มาทำอะไรที่เป็น"ประโยชน์สูง และประหยัดสุด"ให้คุ้มค่ากับการ
ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ดีกว่า
"อย่ามัวแต่ไปตีอก ชกตัว กอดรัด อยู่กับสิ่งที่มันจบไปแล้วเลย"

เหล่านี้คือคำท้าทาย คำถาม และคำชี้ชวนจากท่านพระมหาวุฒิชัย(ว.วชิรเมธี)
ผู้ก่อตั้งสถาบันวิมุตยาลัย,พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสถฺถิผโล เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง
และแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ผู้ก่อตั้งสาวิกา สิกขาลัย

จากวงสนทนาธรรมเรื่อง รู้เช่น เห็นชาติ รู้แจ้งเห็นจริง ซึ่งจัดขึ้นที่
เสถียรธรรมสถาน เพื่อไขข้อข้องใจเรื่องเกี่ยวกับ"กรรมเก่า กรรมใหม่"
ให้ทุกคนรู้เรื่องกรรมให้ถูกต้อง แล้วจะได้กลับมามีชีวิตในปัจจุบันที่เป็นอิสระ
ไม่ถูกพันธนาการจากความทุกข์ในอดีตอีกต่อไป

๑.รู้เช่น เห็นชาติ
          แม่ชีศันสนีย์ อธิบายว่า "รู้เช่น" ก็คือรู้ว่าทุกสิ่งมันเป็นเช่นนันเอง ทุกอย่างไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้
          "เห็นชาติ" ก็คือเห็นชาติของความทุกข์ จากการยึดมั่นในอัตตาของเรา
          ส่วน"รู้แจ้ง" หมายถึงการเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฎของไตรลักษณ์
          คือ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป) และ
          "เห็นจริง" คือ เห็นการเกิด-ดับ อารมณ์ต่างๆอันเป็นเหตุแห่งทุกข์นั่นเอง

          พระอาจารย์คึกฤทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องคำสอนจากพระโอษฐ์ ของพระพุทธเจ้าตอบคำถามของ ช่อผกา วิริยานนท์ ผู้ดำเนินรายการ เป็นท่านแรกว่า "พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่า เรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับกรรม คือต้องเข้าใจว่า "กรรมคือ การกระทำของจิต" และ "เรากล่าวซึ่งเจตนาว่าเป็นกรรม"
          และเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ช่อผกาได้ขอให้ท่าน ว.วชิรเมธี อธิบายเพิ่มเติมแบบที่ทำให้ดูมีสีสันน่าตื่นเต้น และร่วมสมัยขึ้นว่าเป็นอย่างไร
          ท่านก็อธิบาย ว่ากรรมแบ่งเป็น ๒ ระดับคือ
          ๑)ระดับศีลธรรม เป็นการสอนเรื่องกรรม เพื่อให้เราหันมาทำความดีและหนีความชั่ว "ระดับนี้สนุกมากเหมือนหนังแฟนตาซี" ท่านบอก "มันจะมีคนทำกรรมแล้วก็มีคนรับผลแห่งกรรมนั้น เช่น มีคนหนึ่งทำอะไรไม่ดีไว้ ก็จะมีคนมาลุ้นว่าเดี๋ยวเถอะ ทำกรรมไม่ดีไว้...เดี๋ยวจะโดน"
          ๒)ระดับปรมัตถ์ อันนี้เป็นความเข้าใจในระดับที่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นท่านสอนให้เรา ถอดถอนอัตตาหรือความสำคัญว่าเป็นตัวเราตัวเขาตัวฉัน ทิ้งไป

          ทั้งสองส่วนนี้ ถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่ต้องเข้าใจก่อนว่า จะพูดกันถึงเรื่องกรรมระดับไหน เพราะถ้าเอามาปนกัน จะทำให้คนสับสนและ "คนเราถ้าเข้าใจเรื่องกรรมผิดเพี้ยนไป ก็อาจมีผลให้ชีวิตของเราเพี้ยนไปด้วย"
          ท่านบอกว่า "ที่เทศน์สอนกันทั่วไปอยู่ในปัจจุบันนี้ก็เป็นกรรมระดับศีลธรรม "
          ว่าแล้วท่านก็อธิบายต่อไปว่า อีกอย่างเราต้องรู้จักแยกแยะ เป็นว่ากรรมแบบไหนเป็นแบบพุทธ กรรมแบบไหนไม่ใช่พุทธเสียก่อนด้วย
          พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่ามีอยู่ ๓ ลัทธิ ที่สวนทางกับพระพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิงคือ
          ๑)ลัทธิกรรมเก่า
          ที่เชื่อว่า ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี การเป็นไปในวิถีชีวิตคนเราแต่ละคนทั้งหลายนั้นเป็นผลพวงของกรรมเก่าที่เราทำเอาไว้ ผลก็คือทำให้เรายอมจำนนต่อปัญหาชีวิตโดยสิ้นเชิง
          ๒)ลัทธิเทพเจ้าบันดาล
          ลัทธินี้เชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้นและผ่านพ้นไปเพราะอำนาจการดลบันดาลของเหล่าเทพเจ้าต่างๆกลุ่มนี้ก็จะงอมืองอเท้าและยอมจำนนต่อสถานการณ์เหมือนแบบแรก"ประเทศไทยเข้าสู่กลียุคในทุกวันนี้ คำถามของอาตมาก็คือ เทพมากมายแต่ทำไมไทยไม่เคยพ้นวิกฤติ เห็นไหม ตรรกง่ายๆ แค่นี้" ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นแหล่งที่ชุมนุมของเทพเจ้าต่างๆมากที่สุดในโลก ก็มีแค่บางเมืองเท่านั้นที่เจริญ
          ๓)ลัทธิว่าด้วยความบังเอิญ
          ลัทธินี้จะเชื่อ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลก เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย อย่างมีคนพูดว่า "ประเทศไทยเข้าสู่วิกฤติ มาดูแล้วดวง นายกฯกับดวงกรุงเทพฯมันทับกัน ลัคนาไม่ตรงกัน อธิบายได้แบบมั่วๆ อันนี้ก็น่าตกใจแล้วนะ แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ มีคนเชื่อด้วย"
          "ทีนี้รู้ตัวหรือยัง ว่าเราเชื่อแบบไหน" ท่านว.วชิรเมธี กล่าวเพื่อให้เราแยกเอาเรื่องที่ไม่เป็นพุทธออกมา เพื่อจะได้เห็นทัศนะที่เป็นพุทธชัดเจนขึ้น

๒.รู้แจ้ง ให้เห็นจริง
            แม่ชีศันสนีย์อธิบายเพิ่มเติมว่า"ความเชื่อเรื่องความบังเอิญนั้นไม่ใช่พระพุทธศาสนาเลย พระพุทธองค์ท่านสอนแต่ว่า ทุกอย่างเกิดขึ้น เพราะเหตุ มีเหตุปัจจัย แต่ใครที่มีปัจจบันขณะ ที่รู้ทันการกระทบอย่างไม่เผลอ ไม่เพลิน ก็จะรู้ว่าอิสรภาพในกฎแห่งกรรมมีอยู่ แต่ท่านบอกว่า ต้องระวังอีกอย่างคือ"ความดีกับของดี มันก็คนละเรื่องนะ รู้ว่าทำดีก็ดีแล้ว ไม่ใช่ทำดีแล้วต้องได้ของดีด้วยใครที่คิดอย่างนั้น..งมงายนะ"ท่านแม่ชีฯบอก
            ท่านว.วชิรเมธี เพิ่มเติมว่า"ถ้าเราจะสอนต้องสอนเพื่อกระตุ้นจริยธรรมในหัวใจคนให้หันมาทำความดีหลีกหนีความชั่ว
            แต่ทุกวันนี้ ต้องบอกว่า"เป็นกรรม" ของกฎแห่งกรรม เพราะมันถูกใช้เพื่อต่อยอดสู่กรรมพาณิชย์ ทำกำไรจากคนที่ถูกข่มขู่ว่ามีกรรมหนักทั้งหลาย
            "พวกที่มีกรรมหนักทั้งหลาย ชาติที่แล้วฆ่าเขามาชาตินี้ลำบากอายุไม่ถึง ๗๐ นะ แก้กรรมซะ ค่าแก้กรรมก็สัก ๓,๐๐๐ มีไหม" ท่านเล่าให้ฟังแบบขำๆ "ทุกวันนี้ไม่ใช่กรรมของพระพุทธเจ้าแล้วมันเป็นกรรมพาณิชย์ เราจะต้องถอดถอนเรื่องนี้ออกไป"
            ถึงกระนั้น"คนกลัวกรรม" ทั้งหลายก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่า แล้วเราจะมีวิธีดับกรรมได้ จริงๆไหม ท่านคึกฤทธิ์จึงบอกว่า เคยมีคนถามพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ท่านก็ทรงตอบว่า "มี"

            แต่ท่านบอกว่า ความดับของกรรม ต้องดับที่ผัสสะ คือ รู้ตัวว่าคิด ก็ละ ความคิดนั้นก่อน มโนกรรม (ความคิด) นั้นก็"ดับ"ไปก่อน ไม่เป็น วจีกรรม(คำพูด) หรือกายกรรม(การกระทำ) เป็นต้น
            ทั้งนี้ กรรมมี ๓ ระดับ คือกรรมที่ให้ผลในปัจจบันภพ (ในภพนี้) กรรมที่ให้ผลในภพหน้า และ กรรมให้ผลในภพต่อๆไป แต่เวลาแค่ไหน ไม่รู้ว่า ๑๐ ปี ๒๐ ปีหรือชาติหน้า หรือนานเท่าไหร่ ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย ท่านคึกฤทธิ์ อธิบายต่อ "เรื่องนี้สอดคล้องกันกับมุมมองที่ว่า คนเราเกิดดับกันมาคนละไม่รู้กี่ครั้งกี่หนกันแล้ว"
            "เราไม่มีทางตามรู้ได้หมดหรอกว่า แต่ละภพแต่ละชาติ หรือ หนึ่งการเกิดไปจนถึงตาย ในแต่ละครั้ง เราทำ(กรรม)อะไร กับใครไว้บ้างแล้วจะไปตามแก้กรรมทั้งหลายหมดได้อย่างไรกัน
            เพราะแก้อันนี้ อันโน้นก็โผล่มาใหม่ แก้อันนั้น ก็จะต้องโผล่ออกมาอยู่ดี
            แล้วเมื่อไรจะแก้กันได้หมดสิ้น" ดังนั้นจึงไม่ควรไปเสียเวลากับเรื่องเหล่านี้

๓. ตัดกรรมได้ด้วยมรรค มีองค์๘       
              มรรคมีองค์ ๘ ประกอบด้วย
              ๑ สัมมาทิฏฐิ คือ ความเข้าใจถูกต้อง
              ๒ สัมมาสังกับปะ คือ ความใฝ่ใจถูกต้อง
              ๓ สัมมาวาจา คือการพูดจาถูกต้อง
              ๔ สัมมากัมมันตะ คือ การกระทำถูกต้อง

              ๕ สัมมาอาชีวะ คือ การดำรงชีพถูกต้อง
              ๖ สัมมาวายามะ คือ ความพากเพียรถูกต้อง
              ๗ สัมมาสติ คือ การระลึกประจำใจถูกต้อง
              ๘ สัมมาสมาธิ คือ การตั้งใจมั่นถูกต้อง

              การปฏิบัติธรรมทุกขั้นตอน รวมลงในมรรคอันประกอบด้วยองค์๘ นี้ เมื่อ รวมกันแล้วเหลือเพียง ๓ คือ ศีล-สมาธิ-ปัญญา และย่อเหลือ ๒ คือ สมถะและวิปัสสนา สรุป คือ การปฏิบัติธรรม ก็คือ การเดินตามหนทางแห่งมรรค ๘
              ขณะที่ ท่าน ว.วชิรเมธี บอกว่า "กรรมตามแนวพุทธ ไม่ใช่เฉพาะแค่กรรมเก่า และไม่ใช่กรรมใหม่ล้วนๆ แต่ให้ความสำคัญทั้งกรรมเก่า กรรมปัจจุบัน และกรรมที่จะเกิดในอนาคต และชีวิตของเรานั้น ก็อยู่ในกาล ทั้ง 3 นี้ตลอดเวลานั่นแหละ"
              แม่ชีศันสนีย์ ก็บอกอีกว่า"อดีตเป็นสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ แต่เราตั้งรับอดีตได้ที่ปัจจุบัน"
              ท่านหมายความว่า เราต้องกลับมาอยู่กับการกระทำในปัจจุบันของเราให้ดี เพื่อเป็นผลให้อนาคตของเราดี ส่วนอดีตเป็นเรื่องผ่านมาแล้วกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ให้ผลในปัจจุบันและอนาคตได้  ดังนั้นหากปัจจุบันเราไม่ดี ก็ยากจะมีอนาคตที่ดี และตรงนี้ก็จะกลายเป็นอดีตที่ไม่ดี ให้ผลที่ไม่ดีต่อเนื่องกันไป
              "ทำปัจจุบันกรรมให้ดี เพื่ออนาคตเราไม่ต้องแก้ตัวอีก ไม่ต้องโทษนั่น โทษนี่ ตรงนี้ สำคัญ ไม่ว่าอดีตคุณจะทำกรรมะไรมา แต่กรรมปัจจุบันนี่แหละจะพาให้คุณรอด"
              ท่านบอก ซึ่งน่าจะหมายถึง รอดจากการตกนรก

              พระอาจารย์คึกฤทธิ์ บอกต่อไปว่า วิธีแก้กรรมที่เด็ดขาด ถาวร แบบฉบับพระพุทธองค์ ก็คือให้เจริญ อริยมรรค มีองค์ ๘ ย่อลงก็เหลือ ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วถ้าย่อลงไปอีกเหลือ ๒ พระองค์ก็ตรัส ว่า สมถะ และวิปัสสนา
              ท่าน ว.วชิรเมธี ย้ำว่า "ปฏิบัติตามหนทาง แห่งอริยมรรค ซึ่งมีองค์ ๘ แล้วไม่ต้องถามเลย แค่เรื่องลดกรรม มันตัดกรรมได้หมดแน่นอน แม้แต่เจ้ากรรมนายเวรก็ไม่ต้องมาขอให้เหลือน้อยๆ ตัดไปได้หมดเลย"
              แม่ชีศันสนีย์ เสริมว่า กฎแห่งกรรมก็คือ กฎของความจริง ถ้าเราเข้าใจความจริง ก็จะเผชิญกับทุกสิ่งได้ด้วยปัญญา"

              แล้วก็มาถึงอีกคำถามยอดฮิต "ผีมีจริงไหม"
              ท่านคึกฤทธิ์ อธิบายว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าภพเรานั้น ก็ไม่ได้อยู่อย่างเดี่ยวๆ ยังมีอีกหลายภพภูมิ เหมือนโลกของเรายังมีหมู หมา กา ไก่ ที่ก็ไม่เหมือนเรา แต่เราไม่เห็นกลัวเลย ไม่เห็นเอาธูปไปจุดหน้าไก่ สาธุ! อย่าหลอกลูกเลย...
              แล้วเราก็ไม่แปลกใจเวลาเจอคลื่นวิทยุ คลื่นโทรทัศน์ธรรมชาติ ซึ่งก็มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ส่วนผีจะว่าไปก็ตายเหมือนกัน ฉะนั้น "มันก็ผี เราก็ผี จะไปกลัวอะไร" ท่านบอก...พร้อมกับเสียงถอนหายใจบ้าง เสียงฮือฮาบ้างจากรอบศาลา
              นั่นหมายความว่า ถ้าเชื่อท่าน ต่อไปอีกกี่สิบผีก็ไม่ต้องกลัวแล้ว เพราะความกลัวเป็นแค่ความคิด ไม่คิด ก็หายกลัวแล้ว

              "ทีนี้ เรื่องเจ็บป่วยหาสาเหตุไม่ได้เป็นเพราะกรรมเก่าหรือเปล่าคะ " ผู้ดำเนินรายการยิงคำถามต่อ
              "ถ้าบอกว่าหาสาเหตุไม่ได้มันก็เหลือทางเดียวคือต้องกรรม ฉะนั้นกรรมก็เป็นจำเลย เรียกว่า โรคที่เกิดแต่กรรม จริงๆแล้ว สาเหตุของโรคนั้น ถ้าจะหากันจริงๆ ไม่พบวันนี้ อาจจะพบวันพรุ่ง พรือพบอีก ๑๐๐ ปีข้างหน้าก็ได้ เหมือนเขาหานิวตรอน นิวเคลียส หลายร้อยปี ถึงจะค้นพบ
              แต่เป็นเพราะเรามีความเชื่ออยู่ชุดหนึ่งว่า โรคบางโรคเกิดแต่กรรมก็ได้ ฉะนั้นถ้าพูดอย่างเป็นธรรมนะ ถ้าหาแล้วเธอรอได้ เธออาจจะค้นพบคำอธิบายก็เป็นได้ แต่ถ้าเราขี้เกียจรอ โรคเกิดแต่กรรมเป็นได้ไหม ถ้าตอบในระดับศีลธรรมก็เป็นไปได้เหมือนกัน" ท่าน ว.วชิระเมธี ให้คำตอบ

๔. ใช้ลมหายใจ เป็นเครื่องมือ
                พระอาจารย์คึกฤทธิ์กล่าวถึงวิธีการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ที่ย่อเหลือสอง คือ สมถะ กับวิปัสสนา เพื่อแก้กรรมว่า ให้เริ่มจากการนั่งรู้ลมหายใจเข้า-ออก สบายๆ อยู่กับบ้าน ไม่ต้องไปเซ่นไหว้ ไม่ต้องไปหามีดหมอที่ไหน ไม่ต้องไปเสียค่ายกครู ไม่ต้องไปทำอะไรใดๆทั้งสิ้น
                "แค่กลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ ตระหนักรู้ทุกครั้งที่คิด ทุกกิจที่ทำ ทุกคำที่พูด และทุกครั้งที่เคลื่อนไหว ทำแค่นี้เราก็จะเป็นคนใหม่อยู่ทุกขณะจิต แก้กรรมได้แล้ว เรียกว่า ประโยชน์สูง ประหยัดสุด" ท่านสรุปสั้นๆซึ่งก็เหมาะกับยุคสมัยที่เศรษฐกิจฝืดเคือง
                นอกจากนี้ ท่าน ว.วชิรเมธี ย้ำว่าให้หมั่นฝึกทำอานาปานัสสติให้ดี
                ฝึกให้รู้ลมหายใจเข้า-ลมหายใจออกให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลุดไปก็กลับมารู้ใหม่ เผลอไป ก็กลับมารู้ใหม่
                "ฝึกตามดูรู้เท่าทันกาย คือลมหายใจเวทนาคือ ความรู้สึก จิตคือความคิด และธรรมก็คือสภาวธรรมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป...
                ใครมาฝึกแล้วรู้ของพวกนี้ อาตมากล้าการันตีได้ว่า ไม่เกิน๗วันคุณจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ การที่คุณเปลี่ยนเป็นใหม่กลายเป็นคนที่มีสติมากขึ้น เป็นอันว่าคุณตัดกรรมได้แล้ว ไม่ต้องใช้เงินใช้ทองอะไร ใช้ต้นทุนต่ำที่สุดเลย ใช้กายกับใจของเรา เท่านั้นเป็นเครื่องมือ" ท่านประกาศอย่างมั่นใจ ด้วยรอยยิ้มเมตตา

:http://www.kaweeclub.com/b78/t6596/?/
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ