นักวิชาการชงปรับนโยบาย-กม. ผู้ลี้ภัย ผนวกเข้าสังคมไทย ดึงสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
<span class="submitted-by">Submitted on Wed, 2024-02-07 20:01</span><div class="field field-name-field-byline field-type-text-long field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><p>ภาพปก: แฟ้มภาพผู้ลี้ภัย เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2564 (ที่มา: Karen Information Center-KIC)</p>
</div></div></div><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><p>เสวนาวิชาการ "กฎหมายและนโยบายเพื่อการคุ้มคร้องผู้ลี้ภัย" บนจุดเปลี่ยนหลังรัฐประหารเมียนมาปี 2564 นักวิชาการชงข้อเสนอ 'Local Integration' ผนวกผู้ลี้ภัยให้อยู่ในสังคม ดึงช่วยเศรฐกิจไทย</p>
<p> </p>
<p>7 ก.พ. 2567 ผู้สื่อข่าวถ่ายทอดสดออนไลน์ เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ที่ห้องประชุม 1 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีการจัดงานเสวนาวิชาการ
"กฎหมายและนโยบายเพื่อการคุ้มครองผู้ลี้ภัย" โดย ผศ.ดร. ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และร่วมแลกเปลี่ยนโดย ดร.ศิรดา เขมานิฏฐาไท อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เช่นเดียวกัน</p>
<p>ดรุณี ชวนคิดว่า "กลุ่มผู้ลี้ภัยใหม่" ที่เข้ามาตั้งแต่หลังการทำรัฐประหารเมื่อ 1 ก.พ. 2564 ประเทศไทยควรมีแนวทางจัดการ และมีข้อเสนอแนะเรื่องการคุ้มครองผู้ลี้ภัยอย่างไรบ้าง</p>
<p style="text-align: center;">
<iframe allow="autoplay; clipboard-write; encrypted-media; picture-in-picture; web-share" allowfullscreen="true" frameborder="0" height="314" scrolling="no" src="
https://www.facebook.com/plugins/video.php?height=314&href=https%3A%2F%2Fwww.facebook.com%2FPrachatai%2Fvideos%2F1110341376980558%2F&show_text=false&width=560&t=0" style="border:none;overflow:hidden" width="560"></iframe></p>
<h2><span style="color:#2980b9;">แนวทางการจัดการผู้ลี้ภัยยุคสงครามเย็น</span></h2>
<p>ดรุณี เผยว่า ตั้งแต่อดีตรัฐไทยทราบและรับรู้ว่ามีผู้หนีการประหัตประหารมาจากต่างประเทศ (well-founded fear of persecution) แต่ไม่ได้นิยามหรือให้ความหมายถึงผู้ลี้ภัย แต่เรียกว่าเป็นผู้พลัดถิ่นภายใน หรือผู้หนีภัยสงครามแทน</p>
<p>การบริหารจัดการผู้ลี้ภัยของรัฐไทย เริ่มขึ้นตั้งแต่ยุคอาณานิคม และยุคสงครามอินโดจีน (2518-2527) ผู้ลี้ภัยจะมาจากประเทศอินโดจีน อย่างกัมพูชา และเวียดนาม และมีเมียนมา โดยนโยบายของรัฐไทยให้ความสำคัญระหว่างนโยบายความมั่นคงและการต่างประเทศ ควบคู่กัน สุดท้าย การดำเนินนโยบายกลุ่มเฉพาะ เช่น ชาวโรฮีนจา หรือชาวอุย์กูร์</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">การจัดการผู้ลี้ภัยยุค 'ประยุทธ์'</span></h2>
<p>ดรุณี ระบุต่อว่า รัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา (2562-2565) ถือเป็นช่วงหนึ่งที่มีความคืบหน้าเรื่องการจัดการผู้ลี้ภัย เพราะว่ามีการเซ็น MOU ว่าด้วยการกักตัวเด็กในสถานกักกันคนต่างด้าวเพื่อรอการส่งกลับ มีสาระสำคัญคือ จะมีการเอาเด็กออกมาในที่ที่หนึ่งไม่ให้ถูกขังรวมกับมารดาในห้องกัก และในเวทีผู้ลี้ภัย สหประชาชาติ ประเทศไทยมีการให้คำมั่นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ลี้ภัยโดยเฉพาะเด็ก</p>
<p>ขณะที่เมื่อปีที่แล้ว (2566) รัฐบาลไทยมีการบังคับใช้ระบบคัดกรองแห่งชาติ หรือ NSM หรือการคัดกรองคนที่กลับประเทศไม่ได้ด้วยเหตุผลต่างๆ ผู้ที่ผ่านระบบนี้จะได้รับอนุญาตให้อาศัยในไทยได้ชั่วคราว แต่สิทธิเข้าถึงการคุ้มครองด้านต่างๆ ยังคงเป็นคำถาม</p>
<div style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53515012555_a27d679e8d_b.jpg" /></div>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#d35400;">(ซ้าย) ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล และ (ขวา) ศิรดา เขมานิฏฐาไท</span></p>
<h2><span style="color:#2980b9;">ผู้ลี้ภัยเมียนมา (ใหม่) 2564</span></h2>
<p>บริบทการเมืองระหว่างประเทศ ประเทศเมียนมาทำรัฐประหาร เมื่อปี 2564 ทำให้มีประชาชนเมียนมาอพยพหนีการปราบปรามกองทัพเมียนมา และหนีภัยสงครามเข้ามาประเทศไทย ดรุณี เผยว่า เราสามารถแบ่งผู้ลี้ภัยเมียนมา ออกเป็น 2 ประเภท ประกอบด้วย 1. ผู้ลี้ภัยที่หนีสงครามเข้ามาพื้นที่ชายแดน และ 2. ผู้ลี้ภัยเมือง และผู้ลี้ภัยทางการเมือง </p>
<p>ดรุณี เผยว่า ผู้ลี้ภัยบริเวณชายแดน ส่วนใหญ่เป็นชาวชาติพันธุ์ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามบริเวณชายแดน เช่น การปะทะกัน หรือการโจมตีทางอากาศของกองทัพพม่า ยกตัวอย่าง เขตกองพล 5 ของกองกำลังปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง หรือ KNLA ตรงข้ามบ้านท่าตาฝั่ง จ.แม่ฮ่องสอน หรือการโจมตีเมืองเลเกก่อ รัฐกะเหรี่ยง จ.เมียวดี ตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ทำให้มีประชาชนที่ได้รับผลกระทบและเดินทางเข้ามาที่บริเวณชายแดนไทย</p>
<p>ส่วนการจัดการของรัฐไทย จะเน้นการเปิดพื้นที่พักพิงผู้หนีภัยสงครามชั่วคราว หรือ TSA โดยช่วงที่ผ่านมาถูกตั้งคำถามถึงการพยายามผลักดันประชาชนกลับ ทันทีที่เสียงระเบิดสิ้นสุดลง และสถานการณ์ยังไม่สงบเรียบร้อยหรือไม่</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">ผู้ลี้ภัยการเมืองเมียนมา-การเข้าไม่ถึงระบบคัดกรอง</span></h2>
<p>ศิรดา เขมานิฏฐาไท อาจารย์รัฐศาสตร์ ร่วมแลกเปลี่ยน เสริมว่า สำหรับผู้ลี้ภัยการเมือง หรือ political exile กลุ่มนี้มีความลำบาก เนื่องจากไม่มีช่องทางกฎหมายในการรับรองสถานะ ปัจจุบันทำให้เขาต้องหาทางเอาตัวรอดในรูปแบบต่างๆ เช่น การเป็นแรงงานข้ามชาติ และแสวงหาบัตรประเภทอื่นๆ บางคนเข้ามาโดยใช้ VISA ที่ไม่ถูกประเภท และพยายามอยู่ต่อ เพราะว่าตอนนี้สถานการณ์ในเมียนมาอยู่ในสภาวะที่ยืดเยื้อ ไม่ว่าจะสงครามกลางเมือง ความขัดแย้งด้านอาวุธ หรือการเมืองระยะยาว </p>
<div style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53514748803_f82b0a6802_b.jpg" /></div>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#d35400;">ศิรดา เขมานิฏฐาไท</span></p>
<p>อาจารย์รัฐศาสตร์ ได้เสริมข้อมูลเรื่องผู้ลี้ภัยจากตอนในของเมียนมา เช่น รัฐฉานเหนือ ภูมิภาคสะกาย และอื่นๆ ซึ่งมีความสลับซับซ้อน ผู้ลี้ภัยเดินทางเข้ามาประเทศไทยแบบหลบๆ ซ่อนๆ และอาจจะเข้ามาลงทะเบียนในฐานะแรงงานข้ามชาติ หรือบางคนต้องอยู่ไทยในระยะยาว ก็จะหาหนทางลงทะเบียนประวัติเป็นฐานะที่เป็น 'บุคคลไร้สัญชาติ' กลุ่มนี้เข้ามาในไทยตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร แต่ปัญหาหนักขึ้นหลังรัฐประหารล่าสุด</p>
<p>ศิรดา เสริมว่า ระบบคัดกรองแห่งชาติ มีข้อถกเถียงด้วยว่า ชาวเมียนมาที่เป็นผู้หนีภัยทางการเมืองไม่สามารถเข้าถึง หรือไม่อยากเข้าถึงระบบคัดกรองนี้ เนื่องจากความไม่ไว้ใจรัฐ เพราะเขาต้องถูกสัมภาษณ์เพื่อเช็กพฤติกรรมทางการเมือง ซึ่งมันอ่อนไหวมากๆ แต่มันมีข้ออุปสรรคคือถ้าไม่เข้ามาในกระบวนการนี้ก็จะไม่ได้รับสิทธิการอยู่ในไทยชั่วคราว ดังนั้น เราต้องหาแนวทางในการปฏิบัติจริง และจุดสมดุลที่ส่งผลดีต่อผู้ลี้ภัยทางการเมือง</p>
<p>"เป็นหน้าที่ของรัฐไทยที่จะต้องโอบรับคนเหล่านี้บนพื้นฐานของหลักมนุษยธรรมอย่างไร ขณะเดียวกัน ต้องปฏิบัติได้จริง ได้ถูกต้อง และประนีประนอมกับสังคมไทย ขณะเดียวกัน รักษาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ลี้ภัย" ศิรดา กล่าว</p>
<p>นอกจากนี้ การต่อสู้บริเวณชายแดนมีการสู้รบที่ยืดเยื้อ และมีผู้พลัดถิ่นภายในประเทศจำนวนมาก ยกตัวอย่าง รัฐกะเรนนี มีปริมาณผู้พลัดถิ่นจำนวน 1 ใน 3 ของรัฐ และมีแนวโน้มการแสวงหาการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และการหาที่ปลอดภัยสำหรับเขา อันนี้เป็นโจทย์ของประเทศไทยว่าจะทำอย่างไร</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">ดึงผู้ลี้ภัยสร้างประโยชน์ด้านสังคมและเศรษฐกิจ</span></h2>
<p>อาจารย์นิติศาสตร์ มช. มองว่า นโยบายการจัดการผู้ลี้ภัยของไทยนั้นไม่ต่างจากสากลนัก โดยประเทศไทยจะเน้นเรื่อง การเดินทางกลับโดยสมัครใจ และการส่งต่อประเทศที่ 3 มากกว่าการพยายาม Local Integration หรือการผนวกรวมกับสังคมอย่างไม่เป็นทางการ โดยผ่านนโยบายการเข้าถึงสิทธิด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา เข้าถึงระบบสาธารณสุข การทำงาน และอื่นๆ และแนวทางสุดท้ายคือการให้สถานะ "บุคคลไร้สัญชาติ" ซึ่งในอนาคตอาจยกระดับเป็นพลเมืองไทย</p>
<p>ทั้งนี้ นโยบาย 'การให้สถานะบุคคล' เคยถูกใช้ในช่วงสงครามอินโดจีน โดยประเทศไทยจัดทำเอกสารให้กับผู้ลี้ภัยที่เข้ามาในช่วงนั้นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มจีนฮ่อ จีนคอมมิวนิสต์ภาคใต้ หรืออื่นๆ ซึ่งภายหลังเขาได้รับสถานะเป็นบุคคลไร้สัญชาติ และไทยยอมรับในฐานะ ‘ชนกลุ่มน้อย’ หรือ 'ชาติพันธุ์' หนึ่งในประเทศไทย และอาจได้รับการยกระดับเป็นพลเมืองไทยในอนาคต</p>
<p>ดรุณี เสนอว่า เธออยากให้รัฐไทยเน้นความสำคัญกับ Local integration มากยิ่งขึ้น เพื่อให้เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาสังคมผู้สูงวัยในประเทศไทย </p>
<div class="note-box">
<p>อนึ่ง สหประชาชาติ เผยแพร่รายงานว่า สังคมสูงวัย Aging Society คือประเทศที่มีประชากร อายุ 60-65 ปีขึ้นไป จำนวนร้อยละ 7 ของจำนวนประชากรในประเทศ และสังคมสูงวัยระดับสมบูรณ์ (complete-aged society) หรือมีประชากรสูงวัยจำนวนร้อยละ 14 ของจำนวนประชากรของประเทศ และสังคมสูงวัยระดับสุดยอด (super-aged society) หรือมีประชากรสูงวัยร้อยละ 21 ของจำนวนประชากรของประเทศ รายงาน Urban Podcast ระบุว่า ในปี 2566 ประเทศไทยอยู่ในสังคมสูงวัยระดับสมบูรณ์แล้ว โดยมีจำนวนผู้สูงวัยคิดเป็นร้อยละ 18 ของจำนวนประชากรทั้งหมด 70 กว่าล้านคน</p>
<p>นักวิชาการคาดการณ์ด้วยว่า ภายใน 60 ปีถ้าเราไม่นำเข้าแรงงานย้ายถิ่นเลย ประเทศไทยอาจจะมีกำลังแรงงานเหลือเพียง 33 ล้านคนเท่านั้น และกำลังแรงงานจะยิ่งลดลงเรื่อยๆ ในอนาคต</p>
</div>
<div class="more-story">
<p>ข่าวที่เกี่ยวข้อง</p>
<ul>
<li>
สรุปปาฐกถาอนาคตแรงงานข้ามชาติในสังคมสูงวัย โดย อภิชาติ จำรัสฤทธิรงค์</li>
</ul>
</div>
<h2><span style="color:#2980b9;">ข้อเสนอเชิงนโยบายที่ทำได้ทันที</span></h2>
<p>ผู้เข้าร่วมเสวนามีข้อเสนอถึงรัฐไทยหลายประเด็น ประกอบด้วย 1. ต้องดำเนินการจัดทำเอกสารแสดงตัวสำหรับผู้ลี้ภัยอีกหลายกลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึง ซึ่งดรุณี ระบุว่า แม้ว่าจะยังไม่เข้าถึงสิทธิการอยู่อาศัย หรือการดำเนินคดีเข้าเมืองผิดกฏหมาย แต่อย่างน้อยก็ได้รับการมองเห็นของรัฐไทย แต่อาจจะต้องกำหนดช่องทางพิเศษ หรือเลข ที่สืบได้ว่าเป็นคนกลุ่มไหนบ้าง</p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53514748818_6a016bcf46_b.jpg" /></p>
<p>อาจารย์นิติศาสตร์ มองว่า 2. การเข้าถึงหลักประกันสุขภาพของประเทศไทยถือว่ามีความก้าวหน้า คือไปโรงพยาบาลผู้ป่วยไม่ต้องร่วมจ่าย ผู้ลี้ภัยสามารถเข้าถึงโดยการซื้อบัตรประกันสุขภาพได้ แต่ปัญหาหลักคือสถานพยาบาลส่วนใหญ่ไม่มีการเปิดขาย อาจจะดูว่าเราจะทำยังไงให้ผู้ลี้ภัยเข้าถึงได้มากขึ้น หรือกำหนดราคาให้เหมาะสม</p>
<p>ดรุณี เสนอต่อว่า 3. ควรเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้าไปมีส่วนร่วมกับการปรับปรุง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง และระบบคัดกรองแห่งชาติ หรือ NSM </p>
<p>อาจารย์นิติศาสตร์ ระบุด้วยว่า 4. ควรให้คนที่ยื่นคำร้องขอคัดกรอง NSM ได้สิทธิและสถานะอยู่ในประเทศไทยชั่วคราว เพราะว่าความเสี่ยงเขายังมีอยู่ แต่ระหว่างที่ยื่นอยู่ในกระบวนการพิจารณาคำร้อง NSM มันไม่มีความมั่นคงปลอดภัยให้เขา สิ่งที่ทำได้เลยคือมาตรการฉุกเฉิน นำ พ.ร.บ.คัดกรองคนเข้าเมือง มาใช้ หรือว่าออกเป็น "Protection VISA" ซึ่งกฎหมายคนเข้าเมืองเปิดช่องให้ออกวีซ่าประเภทนี้ได้</p>
<p>5. สำหรับนโยบายด้านการเข้าถึงสิทธิการทำงานเพื่อดูแลครอบครัว ดรุณี มองว่า กฎหมายของไทยดี ตัวกฎหมาย ตัวกำหนด พ.ร.บ.การจัดการบริหารคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ระบุว่า วางหลักการให้คนหลายกลุ่มสามารถทำงานได้ โดยข้อกฎหมายสามารถนำมาใช้ได้ ถ้าเรามีนโยบายใช้มัน และจะลดประเด็นที่รัฐบาลชอบอ้างว่า เรามีภาระต้องดูแล หรือแม้แต่การผู้ที่อยู่ในห้องกัก เขาติดปัญหาเรื่องราคาประกันตัวที่สูงมาก ถ้าเราลดราคา และให้เขาออกมาทำงาน ก็น่าจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องความแออัดในสถานกักกันได้ </p>
<p>ดรุณี เสนอทิ้งท้าย 6. ในเชิงความคุ้มครอง รัฐควรมีส่วนสร้างความรับรู้และเข้าใจให้สังคมไทย</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">ยังไงก็ต้องทบทวนกฎหมาย</span></h2>
<p>ศิรดา มีข้อเสนอต่อประเด็นการปรับปรุงนโยบายผู้ลี้ภัยทางการเมืองเมียนมา และนโยบายเชิง "Local Integration" เช่น นโยบายเข้าถึงการศึกษา สาธารณสุข การทำงาน และอาจนำไปสู่การขึ้นทะเบียนเป็น "บุคคลไร้สัญชาติ" ในอนาคต พื้นฐานคนที่เป็นชาวชาติพันธุ์ชายแดนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามและเข้ามาในไทย ส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงการขึ้นทะเบียนประวัติฝั่งเมียนมาอยู่แล้ว และต้องการเข้ามาอยู่ในระบบบุคคลไร้สัญชาติ และมีถิ่นพำนักถาวรในประเทศไทย พวกเขาอยากได้นโยบายรองรับสิทธิด้านต่างๆ </p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53513690217_c252d2a759_b.jpgฃ" /></p>
<p>ขณะที่นักกิจกรรมการเมืองและข้าราชการ ครู แพทย์ พยาบาล และผู้มีทักษะสูงอื่นๆ มีความหวังที่จะกลับประเทศหลังจากวิกฤตสิ้นสุด ตรงนี้ต้องหารือว่าจะให้เขาอยู่ในไทยอย่างไร เราจะช่วยเหลือ หรือสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับเราได้หรือไม่ เช่น <strong>การยอมให้เขาทำงานในบางพื้นที่ในตำแหน่งงานที่พวกเขาถนัด</strong></p>
<p>"หากรัฐไทยมีความกังวลเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ผลทางการเมือง หรือการสร้างปัจจัยดึงดูด ก็อยากจะให้ลองดูในรายละเอียดว่า ในเรื่องของความอ่อนไหวทางการเมืองมันมี แต่ไม่ใช่ทุกคนทุกกลุ่มที่เข้ามาสร้างผลเสียทางการเมืองโดยเปิดเผยได้ และเราต้องมองด้วยหลักมนุษยธรรมก่อน เพื่อที่จะได้ผลประโยชน์ในประเทศไทยด้วย เช่น การช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและสังคมไทย เช่นยอมให้เขาทำงานบางพื้นที่ในการช่วยเหลืองานด้านสาธารณสุขได้</p>
<p>"แนวนโยบายไทยมักจะกลัว 'Pull factor' แต่อยากจะบอกว่า 'Pull factor' ไม่ต้องมี แต่มันก็มี 'Push factor' หรือปัจจัยผลักดันให้เขาเข้ามาในไทยไม่หยุดอยู่แล้ว ดังนั้น รัฐไทยต้องคิดทบทวนกฎหมายเหล่านี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม" อาจารย์รัฐศาสตร์ มช. กล่าว</p>
</div></div></div><div class="field field-name-field-variety field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">ข
https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์
https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai</div></div></div>
https://prachatai.com/journal/2024/02/107967