หัวข้อ: อาการพระประชวรจนถึงสวรรคต ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 20 สิงหาคม 2555 19:33:48 .
(http://t2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQ6whfuYZZKX_sT-hWrgF0WS_LCL-R2OnhU0N6U-E25-YOccdgr) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภาพจาก : chaoprayanews.com อาการพระประชวรจนถึงสวรรคต ของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) เมื่อปลายปี ร.ศ. ๑๒๕ (พ.ศ. ๒๔๔๙) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระชนมายุได้ ๕๓ พรรษา บังเกิดพระโรคเบียดเบียนไม่เป็นที่ทรงพระสำราญ ด๊อกเตอร์เบอร์เมอร์ นายแพทย์ของกรมทหารเรือ ซึ่งเป็นผู้ถวายการอภิบาลได้ตรวจพระอาการลงสันนิษฐานว่า พระโกฏิธาตุภายในพระวรกายไม่เป็นไปสม่ำเสมอ พระโรคเช่นนี้ไม่ถูกกับอากาศชื้น เช่น ในฤดูฝนชุกและฤดูร้อนจัด เช่น ฤดูคิมหันต์ ประเทศที่จะรักษาพระโรคเช่นนี้ได้เหมาะดีที่สุดก็มีแต่ยุโรปเท่านั้น จึงกราบบังคมทูลถวายคำแนะนำเพื่อเสด็จประพาสยุโรปบำรุงพระวรกายให้คืนเป็นปกติ ในเวลาที่พระโรคยังไม่ทันจะเจริญขึ้น โดยคำแนะนำของนายแพทย์นี้ จึงได้เสด็จประพาสยุโรปออกจากพระมหานครเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ เสด็จกลับถึงพระมหานครเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๐ ในขณะประทับอยู่ที่เมืองซันเรโม ประเทศอิตาลี ได้มีนายแพทย์เยอรมันและอังกฤษชั้นโปรเฟสเซอร์รวม ๓ นายได้ประชุมตรวจพระอาการเห็นว่า พระอวัยวะทุกส่วนยังเป็นปกติ ไม่มีสิ่งใดแสดงว่าจะเป็นไปในทางที่ร้ายแรง ได้ถวายคำแนะนำการเสวยและบรรทมให้มากพอและลดทรงการงานให้น้อย ให้งดการงานที่เป็นการหนักทุกอย่าง ได้มีการทำนายในทางลับว่า ถ้าพระอาการเป็นเช่นนี้จะทรงพระชนม์ชีพไปได้สัก ๓ ปี แต่หมอก็ถวายการรับรองต่อพระองค์ว่า ถ้าผ่อนงานให้น้อยและบรรทมให้มากขึ้นอีกจะดำรงพระชนมายุไปได้ถึง ๘๐ เว้นแต่จะมีพระโรคอื่นมาแทรกแซง เมื่อเสด็จกลับสู่พระมหานครแล้ว ดูทรงจะสำราญดีกว่าเมื่อก่อนเสด็จประพาสยุโรป จะมีที่ไม่ปกติเล็กน้อยก็ในเรื่องพระนาภี เพราะพระบังคลหนักไปไม่สะดวก ต้องทรงใช้พระโอสถระบายอยู่เสมอ ๆ แต่การประชวรที่เรียกกันว่าถึงล้มหมอนนอนเสื่อนั้นไม่ปรากฏเลย ตลอดมาจนกระทั่งวันที่ ๑๖ ตุลาคม ร.ศ. ๑๒๙ (พ.ศ. ๒๔๕๓) ในวันนั้นได้ทรงขับรถไฟฟ้าเสด็จออกประพาสทอดพระเนตรการเลี้ยงไก่พันธุ์ต่างประเทศที่พญาไท แต่มิได้เสด็จลงจากรถพระที่นั่ง มีรับสั่งว่า “ท้องไม่ค่อยจะสบาย จะรีบกลับ” แล้วก็ทรงขับรถพระที่นั่งกลับยังพระที่นั่งอัมพรทีเดียว มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น หม่อมเจ้าหญิงนิวาศสวัสดิ์ พระธิดาพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช วิ่งขึ้นรถยนต์พระที่นั่งร้องพลาดหกล้มเข้าไปติดขัดอยู่ที่ลูกล้อ แต่ผู้ขับหยุดรถไว้ได้ทัน ไม่ทันทับ เป็นแต่ถลอกเล็กน้อย และตกพระทัยเป็นลมแน่นิ่งไป รับองค์ขึ้นรถมาแก้ไขจนฟื้นดี ในวันที่ ๑๗-๑๘-๑๙ ตุลาคม มีงานบำเพ็ญพระราชกุศลประจำปี ถวายรัชกาลที่ ๔ ในพระบรมมหาราชวัง แต่เนื่องด้วยพระนาภียังไม่เป็นปกติ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ มกุฎราชกุมาร เสด็จไปแทนพระองค์ ในวันที่ ๑๙ ตุลาคม เวลาค่ำมีรับสั่งให้มหาดเล็กไปเชิญพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ, พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ, พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช และเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ขึ้นไปเฝ้าบนพระที่นั่งอัมพรสถาน ชั้น ๓ ในที่พระบรรทม สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์วรพินิต เสด็จมาทีหลังตามขึ้นไปเฝ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังตรัสราชการและตรัสเล่นกับผู้ไปเฝ้า เหมือนเวลาทรงพระสำราญ วันที่ ๒๐ ตุลาคม เวลา ๓ โมงเช้า คุณพนักงานออกมาบอกว่า สมเด็จพระบรมราชินีนาถมีรับสั่งให้มหาดเล็กไปตามหมอเบอร์เกอร์ หมอไรเตอร์ และหมอปัวซ์ให้รีบมาเฝ้าโดยเร็ว สมเด็จพระบรมราชินีนาถได้เสด็จออกมารับสั่งแก่ข้าพเจ้า (พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ) ให้จัดอาหารเลี้ยงหมอและจัดให้หมออยู่ประจำตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เมื่อหมอมาเฝ้าตรวจพระอาการกลับลงมา ข้าพเจ้าได้ถามพระอาการ หมอไรเตอร์ตอบว่าเป็นเพราะพระบังคลหนักคั่งอยู่นาน เมื่อเสวยพระโอสถปัดพระบังคลหนักออกมาจึงอ่อนพระทัย พระกระเพาะอาหารอ่อนไม่มีแรงพอที่จะย่อยพระอาหารใหม่ ควรพักบรรทมนิ่ง อย่าเสวยพระอาหาร สัก ๒๔ ชั่วโมงก็จะเป็นปกติ หมอฉีดมอร์ฟีนถวายหนหนึ่ง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการมาฟังพระอาการมากด้วยกัน ตั้งแต่ ๕ ทุ่ม ได้บรรทมหลับเป็นปกติ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ หมอฝรั่ง หมอไทย และมหาดเล็กอยู่ประจำพรักพร้อมกันตลอดทุกเวลา วันที่ ๒๑ ตุลาคม ย่ำรุ่งบรรทมตื่นตรัสว่าพระศอแห้ง แล้วเสวยพระสุธารสเย็น คณะแพทย์ไทยถวายพระโอสถแก้พระเสมหะแห้ง รับสั่งว่าอยากจะเสวยอะไร ๆ ให้ชุ่ม ๆ พระศอ สมเด็จพระบรมราชินีนาถถวายน้ำผลเงาะคั้น ๑ ผล พอเสวยได้สักครู่เดียวทรงพระอาเจียนออกมาหมด สมเด็จพระบรมราชินีนาถตกพระทัย เรียกหมอทั้ง ๓ คนขึ้นไปตรวจพระอาการ หมอกราบบังคมทูลว่า ที่เสวยน้ำผลเงาะหรือเสวยอะไรอื่นในเวลานี้ไม่ค่อยจะดี เพราะพระกระเพาะว่างและยังอักเสบเป็นพิษอยู่ เพราะฉะนั้นเมื่อเสวยพระกระยาหารหรือพระโอสถจึงทำให้ทรงพระอาเจียนออกมาหมดและเสียพระกำลังด้วย สู้อยู่นิ่ง ๆ ดีกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกริ้วหมอว่าอาหารก็ไม่ให้กิน ยาก็ไม่ได้กิน ให้นอนนิ่งอยู่เฉย ๆ จะรักษาอย่างไรก็ไม่รักษามันจะหายอย่างไรได้ และตรัสต่อไปว่าเชื่อถือหมอฝรั่งไม่ได้ ประเดี๋ยวพูดกลับไปอย่างโน้นอย่างนี้ไม่แน่นอนเป็นหลักฐานอะไรได้ เมื่อหมอกลับลงมาแล้ว มีรับสั่งกับสมเด็จพระบรมราชินีนาถว่า ให้ไปตามใคร ๆ มาพูดจาปรึกษากันดูเถิด สมเด็จพระบรมราชินีนาถเสด็จลงมารับสั่งกับข้าพเจ้าให้มหาดเล็กไปเชิญพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์ฯ, พระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงดำรงฯ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์ฯ และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์ ในเวลาย่ำรุ่งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถลงมาทรงเล่าพระอาการให้เจ้านายทั้ง ๔ พระองค์ฟัง แล้วเจ้านายซักถามหมอ หมอก็ยืนยันว่าไม่เป็นอะไร บรรทมอยู่นิ่ง ๆ ดีกว่า เจ้านายพากันเห็นจริงตามหมอไปหมด รวมกันถวายความเห็นว่าที่หมอรักษาอยู่เวลานี้ถูกต้องแล้ว สมเด็จพระบรมราชินีนาถะเสด็จขึ้นไปกราบบังคมทูลว่า เจ้านาย ๔ พระองค์เสด็จมาแล้วได้ซักถามหมอและเห็นด้วยตามที่หมอขี้แจง ทรงนิ่งอยู่มิได้รับสั่งอะไรต่อไป เวลาที่เลี้ยงเครื่องอาหารเช้าเจ้านายและหมออยู่นั้น มีพระอาเจียนอีกครั้งหนึ่ง เป็นน้ำสีเขียวเหมือนข้าวยาคูประมาณ ๑ จานสุป หมอว่าสีเขียวนั้นเป็นน้ำดี ตั้งแต่นี้ต่อไปก็มีพระอาการซึม บรรทมหลับอยู่เสมอ สมเด็จพระบรมราชินีนาถเสด็จลงมารับสั่งเล่าว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสว่า “การเจ็บครั้งนี้ จะรักษากันอย่างไรก็ให้รักษากันเถิด” ตามที่รับสั่งเช่นนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกใจหายให้หวั่นหวาดหนักใจไปเสียจริง ๆ ตอนเที่ยงเจ้านายและหมอขึ้นไปเฝ้าตรวจพระอาการ ข้าพเจ้าก็ตามขึ้นไปด้วย กลับลงมาได้ความว่ามีแต่พระอาการเซื่องซึมบรรทมหลับอยู่ตลอดเวลา มีพระบังคลเบาครั้งหนึ่งประมาณ ๑ ช้อนกาแฟ สีเหลืองอ่อน สังเกตดูกิริยาอาการของหมอและเจ้านายยังไม่สู้ตกใจอะไรมากนัก สมเด็จพระบรมราชินีนาถรับสั่งให้เจ้านายผลัดเปลี่ยนกันประจำ ฟังพระอาการอยู่เสมอไป ตอนบ่ายมีความร้อนในพระองค์ปรอท ๑๐๐ เศษ ๔ แต่เป็นเวลาทรงสร่าง เพราะมีพระเสโทตามพระองค์บ้าง มีพระบังคลเบาเป็นครั้งที่ ๒ ประมาณ ๑ ช้อนกาแฟเหมือนคราวก่อน ในเรื่องพระบังคลน้อยเป็นครั้งที่ ๒ นี้ เจ้านายออกจะสงสัยทรงถามหมอ หมอก็ให้การว่าเป็นเพราะไม่ได้เสวยอะไร เสวยแต่พระสุธารสชั่ว ๒ – ๓ ช้อนเท่านั้น ก็ซึมซาบไปตามพระองค์เสียหมด เพราะฉะนั้นพระบังคลเบาจึงน้อยไป ไม่เป็นอะไร เมื่อเสวยพระกระยาหารและพระสุธารสได้มากแล้ว พระบังคลเบาก็คงจะมีเป็นปกติ แต่พระอาการเซื่องซึมบรรทมหลับยังมีอยู่เสมอ ตอนเย็นเมื่อเจ้านายและหมอขึ้นไปเฝ้าตรวจพระอาการ ข้าพเจ้าได้ยินรับสั่งกับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์ฯ ว่า “การรักษาเดี๋ยวนี้เป็นอย่างใหม่เสียแล้ว” แล้วก็ไม่ตรัสสั่งอะไรอีก เมื่อเจ้านายและหมอกลับลงมาคราวนี้ พากันรู้สึกว่าพระอาการไม่ใช่ทางพระธาตุพิการอย่างเดียว เป็นทางพระวักกะ เครื่องกรองพระบังคลเบาเสียด้วย มีพระบังคลเบาอีกเป็นครั้งที่ ๓ ประมาณ ๑ ช้อนกาแฟ ตอนนี้หมอและเจ้านายแน่ใจทีเดียวว่าเป็นพระวักกะพิการ หมอได้รีบประชุมกันประกอบพระโอสถบำรุงพระบังคลเบาและเร่งให้มีพระบังคลเบาโดยเร็ว และที่สุดใช้เครื่องสวนพระคลบังคลเบา แต่ไม่ได้ผลเพราะไม่มีพระบังคลเบาเลย ตอนค่ำสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์ฯ และหมอขึ้นไปเฝ้าตรวจพระอาการ ข้าพเจ้าก็ขึ้นไปด้วยเช่นเคย เห็นพระพักตร์แต่ห่าง ๆ เข้าไปใกล้พระแท่นไม่ได้ เพราะข้างในอยู่เต็มไปหมด ได้ยินเสียงหายพระทัยดังและยาว ๆ มาก บรรทมหลับอยู่ ถ้าจะถวายพระโอสถ พระอาหารหรือพระสุธารสก็ต้องปลุกพระบรรทม หมอกลับลงมาได้ความว่าการหายพระทัยและพระชีพจรยังดีอยู่ ความร้อนในพระองค์ลดลงแล้วเห็นจะไม่เป็นไร หมอประชุมกันตั้งพระโอสถแก้พระบังคลเบาน้อยอีก ประมาณ ๑ ทุ่มเศษ มีพระบังคลเบาเป็นครั้งที่ ๕ ประมาณ ๑ ช้อนเกลือและเป็นครั้งสุดท้ายด้วย ค่ำวันนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อย มาฟังพระอาการเต็มไปทั้งพระที่นั่ง และเจ้านายก็ยังเชื่อกันว่าพระบังคลเบาคงจะมีออกมามากแน่ ตั้งแต่ยามหนึ่งแล้วมีพระบังคลหนัก ๓ ครั้ง เป็นน้ำสีดำ ๆ หมอฝรั่งหมอไทยตรวจดูก็ว่าดีขึ้น คงจะมีพระบังคลเบาปนอยู่ด้วย วันนี้เสวยน้ำซุปไก่เป็นพัก ๆ พักละ ๓ ช้อนบ้าง ๔ ช้อนบ้าง พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ ชงน้ำโสมส่งขึ้นไปไว้ถวายให้ทรงจิบเพื่อบำรุงพระกำลัง หมอฝรั่งหมอไทยไม่คัดค้านอะไร คืนนี้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการกลับดึกกว่าคืนก่อน ๆ หัวข้อ: Re: อาการพระประชวรจนถึงสวรรคต ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 20 สิงหาคม 2555 19:45:03 .
วันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์ฯ และหมอฝรั่ง ๓ คน ขึ้นไปเฝ้าตรวจพระอาการ ข้าพเจ้าก็ขึ้นไปด้วยตามเคย เมื่อกลับลงมาเห็นกิริยาท่าทางของหมอและเจ้านายไม่สู้ดี ได้ความว่าพระอาการหนักมาก พระบังคลเบา ที่คาดว่าจะมีก็ไม่มี พิษของพระบังคลเบาซึมไปตามเส้นพระโลหิตทั่วพระองค์ จึงทำให้เป็นพิษเซื่องซึมบรรทมหลับอยู่เสมอ หมอตั้งพระโอสถถวายเร่งให้มีพระบังคลเบาแรงขึ้นทุกที พวกหมอฝรั่งประชุมกันเขียนรายงานพระอาการ ยื่นต่อเจ้านาย เสนาบดีว่าพระอาการมากเหลือกำลังของหมอที่จะถวายการรักษาแล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนพิษณุโลกประชานาถ และพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จมาแต่เช้าได้ทอดพระเนตรรายงานพระอาการที่หมอทำไว้ ทรงปรึกษาหารือเห็นพร้อมกันว่าควรให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ มาเฝ้าตรวจพระอาการดูด้วย ข้าพเจ้าจึงให้นายฉัน หุ้มแพร (ทิตย์ ณ สงขลา) รีบเอารถยนต์ไปรับมาทันที พระองค์เจ้าสายฯ ขึ้นไปเฝ้าตรวจพระอาการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวน้ำพระเนตรไหลแต่ไม่ตรัสว่าอะไร พระองค์เจ้าสายฯ กลับลงมายืนยันว่าพระอาการยังไม่เป็นไร เชื่อว่าที่บรรทมหลับเซื่องซึมอยู่นั้นเป็นด้วยฤทธิ์พระโอสถต่าง ๆ พอฤทธิ์พระโอสถหมดแล้วก็คงจะทรงสบายขึ้น เพราะพระชีพจรก็ยังเต้นเป็นปกติดี พระองค์เจ้าสายฯ กลับไปนำพระโอสถมาตั้งถวายแก้ทางพระศอแห้ง ขึ้นไปเฝ้าตรวจพระอาการอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ทรงตรัสทักว่า “หมอมาหรือ” ได้เท่านั้น แล้วก็ไม่ได้รับสั่งอะไรอีกต่อไป พระอาการตั้งแต่เช้าไปจนเย็นไม่มีพระบังคลหนักและเบาเลย พระหฤทัยอ่อนลงมาก ยังบรรทมหลับเซื่องซึมอยู่เสมอ เวลาย่ำค่ำสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์ฯ และหมอฝรั่งขึ้นไปเฝ้าตรวจพระอาการ ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปด้วยและเห็นหายพระทัยดังยาว ๆ และหายพระทัยทางพระโอษฐ์พ่นแรง ๆ จนเห็นพระมัสสุไหวได้แต่ไกล สังเกตดูพระเนตรไม่จับใครเสียแล้ว ลืมพระเนตรคว้างอยู่อย่างนั้นเอง แต่พระกรรณยังได้ยิน สมเด็จพระบรมราชินีนาถกราบทูลว่าเสวยน้ำ ยังทรงพยักพระพักตร์รับได้และกราบทูลว่าพระโอสถแก้พระศอแห้งของพระองค์เจ้าสายฯ ก็ยังรับสั่งว่า “ฮือ” แล้วยกพระหัตถ์ขวาและซ้ายที่สั่นขึ้นเช็ดน้ำพระเนตรคล้ายทางพระกรรแสง พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี ซับเช็ดพระเนตรด้วยผ้าซับพระพักตร์ชุบน้ำถวาย หมอฉีดพระโอสถถวายช่วยบำรุงพระหฤทัยให้แรงขึ้น ตั้งแต่เวลานี้ต่อไป หมอฝรั่งนั่งประจำคอยจับพระชีพจรตรวจพระอาการผลัดเปลี่ยนกันประจำอยู่ที่พระองค์ การหายพระทัยค่อยเบาลง ๆ ทุกที พระอาการกระวนกระวายอย่างหนึ่งอย่างใดไม่มีเลย คงบรรทมหลับอยู่เสมอ เจ้านายจะขึ้นไปเฝ้าอีกครั้ง ก็พอหมอรีบลงมาทูลว่าเสด็จสวรรคตเสียแล้วด้วยพระอาการสงบเมื่อเวลา ๒ ยาม ๔๕ นาที สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกยาเธอ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ และพระเจ้าน้องยาเธอ พร้อมกันเสด็จขึ้นไปเฝ้ากราบถวายบังคมด้วยความเศร้าโศกอาลัย ทรงพระกรรแสงคร่ำครวญสะอึกสะอื้นทั่วกัน ข้าพเจ้าก็อยู่ที่นั้นด้วย กราบถวายบังคมมีความเศร้าโศกอาลัยแสนสาหัส ร่ำร้องไห้มิได้หยุดหย่อนเลย ในที่พระบรรทมและตามเฉลียงเต็มไปด้วยฝ่ายในและฝ่ายหน้า ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ระงมเซ็งแซ่และทุ่มทอดกายทั่วไป ประดุจต้นไม้ใหญ่ที่ถูกลงพายุใหญ่พัดต้นและกิ่งก้านหักล้มราบไปฉันใด บรรดาฝ่ายในและฝ่ายหน้าทั้งหมดล้มกลิ้งเป็นลมไปตามกันฉันนั้น ด้วยความเศร้าโศกาดูรเป็นอย่างล้นเหลือที่จะรำพรรณให้สิ้นสุดได้ ข้าพเจ้าต้องวิ่งลงไปตามหมอขึ้นไปแก้ท่านที่ประชวรพระวาโยกันเป็นการใหญ่ และต้องเชิญเสด็จสมเด็จพระบรมราชินีนาถขึ้นพระเก้าอี้หามกลับไปส่งที่พระตำหนักสวนสี่ฤดู เพราะทรงประชวรพระวาโยและทรงชักกระตุกด้วย เจ้านายพระองค์อื่นและเจ้าจอมมารดาที่เป็นลมก็มีผู้ช่วยพากันไปส่งตำหนักที่อยู่กันเรื่อย ๆ ไป ส่วนสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ซึ่งประชวรพระวาโยบรรทมอยู่ที่เก้าอี้ปลายพระแท่นนั้น ก็ต้องใช้เก้าอี้หามเชิญเสด็จไปยังพระตำหนักของพระองค์ท่าน เวลานั้นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช ทูลเชิญเสด็จสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ให้เสด็จกลับลงไปชั้นล่างประทับห้องแป๊ะเต๋ง พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดีผู้ใหญ่ องคมนตรี และข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยซึ่งทรงพระกรรแสงและร้องไห้กันเสียงระงมเซ็งแซ่ทั่วไปทั้งพระที่นั่ง สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระภานุพันธุวงศ์วรเดช ทรงคุกพระชงฆ์ลงกราบถวายบังคมสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ อัญเชิญเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดิน สืบสนองพระองค์สมเด็จพระชนกาธิราชต่อไปทันที พระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดี ข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อย ก็กราบถวายบังคมทั่วกัน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงเรียกประชุมพร้อมกันในเวลานั้นเพื่อหารือที่จะจัดการสรงน้ำพระบรมศพและเชิญไปประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวังในวันพรุ่งนี้ และออกประกาศข่าวการสวรรคตและอื่น ๆ ในระหว่างที่ประชุมกันอยู่นี้ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสรรพสิทธิฯ และข้าพเจ้า พร้อมกับเจ้าหมื่นสรรพเพ็ธภักดี (เพิ่ม ไกรฤกษ์) เจ้าหมื่นเสมอใจราช (อ้น นรพัลลภ) ขึ้นไปกราบถวายบังคม แล้วได้ฉลองพระเดชพระคุณช่วยกันเชิญพระองค์เลื่อนขึ้นไปหนุนพระเขนย จัดตบแต่งพระเขนยและผ้าลาดพระที่ ทั้งจัดแต่งพระองค์ให้เรียบร้อย แล้วพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสรรพสิทธิฯ กับข้าพเจ้าถวายพระภูษาคลุมพระบรรทมคนละข้าง พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวีประทับเป็นประธานอยู่ด้วย ครั้นจัดเรียบร้อยปิดพระวิสูตรแล้ว กราบถวายบังคมลากลับลงไปข้างล่าง พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อย เพิ่งเสร็จการประชุมและกลับไปเมื่อจวนสว่าง ในคืนนี้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ประทับแรมอยู่ที่ห้องพระบรรทมขาว พระที่นั่งอัมพรสถานมีตำรวจหลวงและทหารมหาดเล็กล้อมวงรักษาการตามราชประเพณีตลอดคืน วันอาทิตย์ที่ ๒๓ ตุลาคม เวลาเช้า ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปเฝ้ากราบถวายบังคมพระบรมศพอีกครั้งหนึ่ง พร้อมด้วยเจ้าหมื่นสรรพเพ็ธภักดี เจ้าหมื่นเสมอใจราช และหลวงศักดิ์นายเวร (ม.ร.ว.ลภ อรุณวงศ์) พร้อมกันเชิญพระบรมศพจากพระแท่นที่พระบรรทมไปประทับพระแท่นสำหรับสรง แล้วรื้อพระแท่นที่พระบรรทมออก สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ประทับเป็นประธานในการถวายน้ำสรงพระบรมศพเป็นส่วนฝ่ายใน ครั้นเสร็จแล้วจึงเชิญพระบรมศพขึ้นพระแท่นที่จัดไว้ใหม่สำหรับพระเกียรติยศเพื่อถวายน้ำสรงพระบรมศพเป็นพระราชพิธีตอนบ่าย ในเวลานี้ ข้าพเจ้าได้กราบถวายบังคมที่พระบาทยุคลถวายน้ำหอมสรงพระบาท และซับพระบาทด้วยผ้าเช็ดหน้าไว้เป็นที่ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและเป็นที่สักการะบูชา ได้พิศดูพระพักตร์ในเวลานี้เหมือนกำลังบรรทมหลับ พระพักตร์ยิ้มน้อย ๆ ดูสง่างามเหลือเกิน ทำให้ตื้นตันใจต้องร้องไห้ด้วยความอาลัยเศร้าทวียิ่งขึ้น มิใคร่จะจากพระบาทยุคลไปได้เลย ได้ทำหน้าที่ไปพลางร้องไห้คร่ำครวญไปพลางจนแล้วเสร็จ กราบถวายบังคมลากลับลงไปข้างล่าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชสมภพ เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๓๙๖ เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ พระชนมายุ ๕๘ พรรษา ดำรงสิริราชสมบัติมาไว้ ๔๓ พรรษา จดหมายเหตุบันทึกตอนทรงพระประชวรและสวรรคตเพียงนี้. (http://img504.imageshack.us/img504/8037/67651031nd4.jpg) ภาพกระบวนแห่พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คัดลอกจากหนังสือ "เรื่อง ปกิณณกะในรัชกาลที่ ๕" จัดพิมพ์ขึ้นเป็นพิเศษ ในโอกาสครบ ๑๐๐ ปีวันสวรรคต พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งนายแพทย์นวรัต ไกรฤกษ์ เรียบเรียงขึ้นจากคำบอกเล่าของท่านผู้เป็นบิดา คือ พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ ขุนนางผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่คอยถวายการรับใช้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างใกล้ชิด ตราบจนเสด็จสวรรคต |