08 พฤษภาคม 2567 13:07:09
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
สุขใจในธรรม
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
.:::
ปาฐกถา เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : อำนาจแห่งความว่าง ความว่างแห่งอำนาจ
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: ปาฐกถา เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : อำนาจแห่งความว่าง ความว่างแห่งอำนาจ (อ่าน 6063 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0
ปาฐกถา เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : อำนาจแห่งความว่าง ความว่างแห่งอำนาจ
«
เมื่อ:
03 กรกฎาคม 2554 07:26:15 »
Tweet
ปาฐกถา
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล :
อำนาจแห่งความว่าง ความว่างแห่งอำนาจ
นมัสการ พระคุณเจ้า กราบเรียนพณฯองคมนตรี พณฯอดีตนายกรัฐมนตรี
ท่านศาสตราจารย์ประเวศ วะสี
ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน และพี่น้องพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย
ก่อนอื่น คงต้องขอขอบคุณ
มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ
ที่เมตตาเชื้อเชิญให้ผมมาแสดงความคิดเห็น อันที่จริงผมมีความรู้ในเรื่องพุทธธรรมน้อยมาก กล่าวได้ว่ายังรู้ไม่พอที่จะมาแสดงปาฐกถาธรรมในโอกาสเช่นนี้ ยิ่งต้องมาพูดอยู่ท่ามกลางศิษย์สายตรง ที่เคยได้รับการอบรมสั่งสอนโดยท่านอาจารย์พุทธทาสด้วยแล้ว ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังแสดงความโอหังบังอาจอยู่มากทีเดียว
เพราะฉะนั้นในเบื้องแรก คงต้องเรียนว่าสิ่งที่จะพูดต่อไปนี้
มาจากความเข้าใจอันจำกัด
ของผมเอง ซึ่งอาจจะขาดตกบกพร่องผิดเพี้ยนไปจากคำสอนของครูบาอาจารย์ หรือไม่ตรงตามหลักธรรมที่บางท่านเข้าใจอยู่บ้าง ขอให้ท่านทั้งหลายอย่าได้ถือสา
โดยส่วนตัวแล้ว ผมเองไม่มีวาสนาได้บวชเรียนโดยตรงกับท่านอาจารย์พุทธทาส ไม่เคยแม้แต่จะได้ไปกราบท่านสักครั้งในยามที่ท่านมีชีวิตอยู่ แต่โชคยังดีที่ท่านได้ทิ้งมรดกธรรมไว้มากมาย ทำให้ผมมีโอกาสได้ศึกษาและทำความเข้าใจพุทธธรรม โดยผ่านคำสอนของท่านอยู่บ้าง เช่นนี้แล้ว ผมจึงรู้สึกว่าท่านเป็นครูที่สำคัญคนหนึ่ง ไม่ใช่ครูของผมเท่านั้น หากเป็นครูของคนไทยทั้งประเทศและเป็นครูของโลก
เนื่องจากวันนี้เป็นวาระที่พวกเรามาชุมนุมกัน เพื่อรำลึกถึงพระคุณของท่านอาจารย์พุทธทาส เรื่องที่จะพูดจึงต้องเป็นเรื่องธรรมะเท่านั้น ออกนอกรัศมีธรรมไม่ได้ อย่างไรก็ดี การพูดถึงหลักธรรมไม่ได้หมายความว่า ต้องตัดเรื่องทางโลกทิ้งไป เพราะธรรมะโอบอุ้มโลกทั้งโลกไว้แล้ว ในฐานะกฏเกณฑ์ที่ดำรงอยู่โดยธรรมชาติ เราจะเข้าใจธรรมะได้ก็โดยผ่านการพิจารณาประสบการณ์ทางโลกเป็นสำคัญ
ปรมัตถ์สัจจะกับสมมุติสัจจะแม้จะเป็นความจริงต่างระดับ แต่ก็เกี่ยวโยงกัน
ดังนั้น ที่ผมกล่าวว่าจะต้องพูดเรื่องธรรมะเท่านั้น จึงไม่ได้หมายถึงการตัดเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในเวลานี้ออกไป หากหมายถึงการพิจารณาเรื่องราวทั้งหลายประดามี
โดยผ่านมุมมองของหลักธรรม
พูดกันตามความจริง หัวข้อที่ผมเลือกมาสนทนากับท่าน เป็นหัวข้อที่ใหญ่มาก ออกจะเกินกำลังของผมไปพอสมควร แต่ที่ผมเลือกคุยกันล้อมรอบหัวข้อ'ความว่าง' หรือที่บาลีเรียกว่าสุญญตา ก็เพราะเห็นว่านี่เป็น
หัวใจแห่งคำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาส
ท่านอาจารย์เองเคยกล่าวไว้ว่า
'ธรรมที่ลึกที่สุดก็คือเรื่องสุญญตา นอกนั้นเรื่องตื้น ธรรมที่ลึกจนต้องมีพระตถาคตตรัสรู้ขึ้นมาและสอนนั้นมีแต่สุญญตา เรื่องนอกนั้นเรื่องตื้น ไม่จำเป็นจะต้องมีตถาคตเกิดขึ้นมา'
(พุทธทาสภิกขุ,
ความว่างฯ (ธรรมสภา ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
น. 32)
แน่ละ ในการสนทนาเรื่องลึกขนาดนี้ ผมเองก็เสี่ยงต่อการแสดงความโง่เขลาเบาปัญญาอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ผมยินดีน้อมรับการเสี่ยงดังกล่าว
โดยถือว่าเป็นการบูชาครู
ถามว่าความว่างหรือสุญญตาธรรมคืออะไร? หลายท่านคงทราบดีอยู่แล้ว แต่ผมจะขออนุญาตทบทวนสั้นๆดังนี้ว่าความว่างในภาษาธรรม ไม่ได้หมายถึงความว่างเปล่าโล่งเตียนไม่มีอะไรเลย ตามที่เข้าใจกันในภาษาสามัญ หากหมายถึงสภาพความจริง ที่สรรพสิ่งในโลกล้วนอิงอาศัยกันเกิดขึ้นและมีอยู่ ด้วยเหตุนี้แต่ละสิ่ง จึงปราศจากแก่นสารในตัวเอง (self-nature) หรือพูดอีกแบบหนึ่งคือ
ไม่มีอัตลักษณ์แยกต่างหาก
(separate identity)
การไม่มีแก่นสารในตัวเองภาษาสันสกฤตเรียกว่าไม่มี
สวภาวะ
แต่ข้อนี้ไม่ได้หมายความว่าสิ่งทั้งหลายในโลกไม่มีอยู่จริง หากมีอยู่โดยสัมพัทธ์และสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆ ไม่มีสิ่งใดอุบัติขึ้นได้โดยอิสระ
ดังนั้นหลวงพ่อนัทฮันห์ อาจารย์เซนที่มีชื่อเสียงจึงบอกว่า ความเป็นสุญญตาเกี่ยวโยงอยู่กับความเป็นอนัตตาอย่างใกล้ชิด สิ่งต่างๆ'
แค่ว่างจากตัวตน แต่เต็มไปด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง
' หรือพูดตาม
ท่านคุรุนาคารชุน
ก็ต้องบอกว่า'เพราะความว่างนี่แหละ ที่ทำให้ปรากฏการณ์ทั้งหลายก่อรูปขึ้นมาได้' (
Thich Nhat Hanh, ZEN KEYS
(Three Leaves Press: New York 1995)
p.105
)
กล่าวอีกแบบหนึ่งก็คือ สุญญตาหมายถึงสภาพของความจริงที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆตามเหตุปัจจัย และหมายถึง
ความจริงแบบองค์รวมมากกว่าความจริงแบบแยกส่วน
เช่นนี้แล้ว ท่านทั้งหลายคงจะนึกออกทันทีว่า หลักธรรมเรื่องความว่างนั้น
เกี่ยวโยงกับคำสอน
ของพระพุทธองค์เรื่อง อิทัปปัจจยตาหรือปฏิจจสมุปบาทจนแทบเป็นเนื้อเดียวกัน
ท่านอาจารย์พุทธทาสเองเวลาสอนเรื่องความว่าง ก็ไม่ได้แยกประเด็นออกจากอิทัปปัจจยตา ท่านยืนยันว่า สิ่งนี้เป็น
กฏเกณฑ์ธรรมชาติที่
กำหนด
ความเป็นไปใน
โลกและจักรวาล ซึ่ง 'มีอำนาจเด็ดขาดเหนือสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ที่จะบันดาลสิ่งทั้งหลายทั้งปวงให้เป็นไปในลักษณะใดก็ตาม...ฉะนั้นพุทธบริษัทก็มีพระเจ้าคืออิทัปปัจจยตา เป็นสิ่งที่บันดาลให้สิ่งอะไรเกิดขึ้นมา แล้วก็ควบคุมสิ่งนั้นๆไว้ แล้วก็ทำให้สิ่งเหล่านั้นยุบสลายลงไปเป็นคราวๆ แล้วก็เกิดขึ้นมาใหม่ นี้คือพระเจ้าอิทัปปัจจยตาที่ทำหน้าที่ของมัน'
(พุทธทาสภิกขุ,
อิทัปปัจจยตา (อรุณวิทยา 2545)
น. 166)
พูดง่ายๆคือ ท่านอาจารย์พุทธทาสเห็นว่า กฏแห่งความว่างนั้นมีพลานุภาพเทียบเท่าพระเจ้าในศาสนาอื่น และสามารถให้คุณให้โทษได้ แต่เป็นการให้คุณให้โทษ
ไปตามกฏเกณฑ์ธรรมชาติ
ไม่ใช่ตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจ
หรือให้
คุณให้โทษไปตามการร้องขอของสรรพสัตว์
ถามว่าแล้วกฏอิทัปปัจจยตาคืออะไร ทำอย่างไรเราจึงจะอยู่อย่างสอดคล้องกับกฏเกณฑ์ดังกล่าว ซึ่งหมายถึงว่าอยู่ได้โดยปกติสุขโดยไม่ถูกลงโทษลงทัณฑ์?
ต่อเรื่องนี้คงจะต้องจำแนกระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ เพราะพูดกันตามความจริง ธรรมชาติเลื่อนไหลไปตามกฏดังกล่าวอยู่แล้ว มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่
บ่อยครั้ง หยั่งไม่ถึงกฏแห่งการไร้ตัวตน
กฏแห่งการอิงอาศัยกันและกันเกิดขึ้นมีอยู่ ตลอดจนกฏแห่งการแปรเปลี่ยนเลื่อนไหลไปตามเหตุปัจจัย
ในโลกของธรรมชาติ ถ้าเราช่างสังเกตุสักหน่อยก็จะพบว่า ปรากฏการณ์ทั้งปวงล้วนก่อรูป ตั้งอยู่ และแปรเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัยหลายอย่างซึ่งเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน พูดให้งดงามก็ทุกอย่างในโลกธรรมชาติล้วนดำเนินไปในอ้อมกอดของสุญญตา สรรพสิ่งยืมตัวเองมาจากการมีอยู่ของสิ่งอื่น ในทะเลมีสายฝน ในหยาดฝนมีทะเลกว้าง ละอองไอในก้อนเมฆ แท้จริงแล้วคือท้องทะเลที่กำลังเดินทาง เมื่อเราเห็นฝนก็คือเห็นทะเล เห็นทะเลก็คือเห็นฝน
เกี่ยวกับกฏอิทัปปัจจยตาหรือปฏิจจสมุปบาทนั้น ครูบาอาจารย์ผู้รู้ ยังมีทัศนะต่างกันอยู่เล็กน้อย บางท่านเคร่งครัดตามพุทธวจนะที่เริ่มต้นด้วย
อวิชฺชาปจฺจยา สํขารา
(เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยสังขารจึงมี) ตามด้วยเพราะสังขารเป็นปัจจัยวิญญาณจึงมี ต่อเนื่องไปจนครบ12 อาการ จึงมองว่าทั้งหมดเป็น
สายโซ่แห่งทุกข์ ไม่ว่าจะไล่เหตุปัจจัยในลักษณะอนุโลมหรือปฏิโลมก็ตาม
การพิจารณาเช่นนี้หมายความว่า อาการหนึ่งเป็นเหตุให้เกิดอีกอาการหนึ่ง เช่นอวิชชาทำให้เกิดสังขาร (หรือการปรุงแต่ง) จากนั้นสังขารกลายเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ไล่ไปเรื่อยๆจนถึงอาการของชาติซึ่งมีภพเป็นปัจจัย พูดอีกแบบคือ นี่เป็นการเห็นปรากฏการณ์ทางโลกไล่เรียงไปตามสายโซ่ของเหตุและผล
ซึ่งผลสามารถกลายเป็นเหตุปัจจัยส่งต่อ ให้เกิด
ผลอื่นๆต่อเนื่องไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด
อย่างไรก็ดี ครูบาอาจารย์ผู้รู้บางท่านเห็นว่า การตีความปฏิจจสมุปบาทในลักษณะอะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผลในทิศเดียวอาจจะอธิบายความจริงไม่ได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงเน้นไปในการพิจารณา ปฏิสัมพันธ์ของนานาปัจจัยซึ่งก่อให้เกิด ปรากฏการณ์ต่างๆขึ้นในโลก ซึ่งหมายถึงว่าเหตุและผลสามารถไหลย้อนกลับไปกลับมา ไม่จำเป็นว่าอย่างหนึ่งเป็นต้นเหตุของอีกอย่างหนึ่ง การมีอยู่ของสิ่งใดก็ตาม เป็นผลมาจากการชุมนุมของนานาปัจจัย เมื่อปัจจัยพร้อมสิ่งนี้จึงเกิด เมื่อปัจจัยเปลี่ยนสิ่งนั้นจึงดับ เหมือนเมล็ดพันธุ์ไม้ผลิงอก ปัจจัยต้องพร้อมทั้งดิน น้ำ แสงตะวัน
ในพระไตรปิฎกเอง แม้คำอธิบายส่วนใหญ่จะให้พื้นที่กับการลำดับ 12 อาการไปในทิศทางเดียว โดยเริ่มต้นจาก อวิชฺชาปจฺจยา สํขารา แต่ก็มีคำอธิบายอยู่ในพระอภิธรรมว่า แม้แต่อวิชชาซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของปฏิจจสมุปบาทนั้น ก็เป็นผลมาจากปัจจัย
อื่นๆ นอกจากนี้สังขารยังสามารถย้อนมา
เป็นปัจจัย
ก่อให้เกิด
อวิชชา
ได้เช่นกัน
อันนี้ถ้าให้ผมตีความ ก็คงต้องบอกว่าการแยกเหตุกับผล
อย่างเด็ดขาด อาจจะ
ไม่ถูกต้องนัก บางครั้งสรรพสิ่งอาจจะเป็นเหตุและผลของกันและกัน ในปราฏการณ์ที่เป็นวัฏจักรเวียนวน ยกตัวอย่างเดิม เช่นความสัมพันธ์ระหว่างฝนกับทะเล เราจะบอกว่าฝนมาจากทะเลก็ได้ หรือทะเลมาจากฝนก็ถูกต้องเช่นกัน ยิ่งบอกว่าทะเลกับสายฝนเป็นหนึ่งเดียว ยิ่งตรงกับ
ปรมัตถ์สัจจะ
ที่สุด
อย่างไรก็ดี ประเด็นสำคัญคือ ต้องเข้าใจว่าเหตุปัจจัยทั้งปวงนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเองลอยๆ หากเป็นผลจากการมีอยู่ของปัจจัยอื่นทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเองได้โดยไม่มีเหตุปัจจัย ถ้าเราเข้าใจจุดนี้แล้ว ก็จะพบว่าการโทษปัจจัยใดหรือบุคคลใดโดดๆว่า เป็นต้นเหตุเพียงอย่างเดียวของปรากฏการณ์ หรือสถานการณ์อันไม่พึงปรารถนา
ย่อมเป็นทัศนะที่ไม่สอดคล้องกับความจริง
ตรงนี้จึงนำมาสู่ประเด็นสำคัญที่สุดเกี่ยวกับอิทัปปัจจยตา คือการนำหลักธรรมดังกล่าวมาส่องให้เห็นความว่างอันเป็นลักษณะของโลก แต่การหยั่งถึงสภาพสุญญตาของโลกเป็นสิ่งที่ยากมาก และแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ถ้าเราไม่อาศัยหลักธรรมนี้
มาขัดเกลาตัวเองเสียก่อน
ดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตอบคำถามพระอานนท์ เกี่ยวกับ
สภาพสุญญตาของโลกว่า '
โลกสูญ...
เพราะ
ว่า
สูญจากตน
และ
จาก
สิ่งที่เนื่อง
ด้วยตน
'
จากพุทธวัจนะดังกล่าว
เราอาจอ่านความหมายได้สองทางคือ
หนึ่ง
โลกเป็นความว่างเพราะสรรพสิ่งไม่มีตัวตนแท้จริง
สอง
จะเห็นความว่างของโลกได้ ก็ต้องเข้าใจความว่างตัวตนของเราด้วย
ท่านอาจารย์พุทธทาสเองก็เน้นว่า เรื่องปฏิจจสมุปบาทนั้น ที่สำคัญคือต้องมาใช้มองด้านใน คำกล่าวของท่าน ที่ว่า'ว่างจากตัวกูของกูเท่านั้น จะว่างหมดจากทุกสิ่ง' เท่ากับบอกว่าถ้าอยากจะหยั่งเห็นอิทัปปัจจยตาภายนอกนั้น
ต้อง
เริ่มต้นด้วยการหยั่งถึง
อิทัปปัจจยตาภายใน
อันนี้หากอ่านให้ลึกลงไป
ก็ต้องสรุปว่า เหตุการณ์ต่างๆ
ที่เกิดในโลก ไม่ใช่เรื่องภายนอกเท่านั้น หากเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในด้วย และจะต้องดับเหตุการณ์
ภายในเสียก่อน จึงจะดับเหตุการณ์ภายนอกได้
อันที่จริงประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ภายในนั่นแหละ คือถ้าบุคคลหยั่งไม่ถึงความว่างอันเป็นธรรมชาติของโลก หยั่งไม่ถึงกฏเหล็กของอิทัปปัจจยตา ก็จะมองปัญหาผิดไปจากความจริง และแก้ปัญหาโดยไม่สอดคล้องกับความจริง ซึ่งก็คือเพิ่มปัญหาขึ้นมาอย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุด
การที่คนเรา
มองไม่ไม่เห็นสุญญตา ทำให้ชอบแบ่งโลก
ออกเป็น
คู่ขัดแย้ง
ต่างๆ ชอบบัญญัติลงไปว่า สิ่งนั้นดี สิ่งนี้ชั่ว สิ่งนี้สวย สิ่งนั้นอัปลักษณ์ สิ่งนี้บริสุทธิ์ สิ่งนี้มีมลทิน ฯลฯ การมองโลก
แบบทวิภาวะ
เช่นนี้
แท้จริงแล้วมักผูกโยงอยู่กับอัตตา
ซึ่งนำไปสู่การปะทะกันขัดแย้งอยู่เนืองๆ เพราะต่างฝ่าย
ต่าง
อยาก
กำหนด
ความเป็นไปของโลกด้วยปัจจัยเดียวคือตัวเองและโทษผู้อื่นเป็นต้นเหตุโดดๆแบบไม่มีที่มาที่ไป
แต่
กฏแห่ง
ความว่างเป็นกฏเหล็ก
ละเมิด
แล้ว
ก็มีแต่หาทุกข์ใส่ตัว
ตรงนี้เอง
คือ
อำนาจแห่งความว่าง
... อำนาจแห่ง'
พระเจ้าอิทัปปัจจยตา
'
ความจริงของโลก
คือ
ภาวะ
แยกเป็นคู่ๆแบบขาวล้วนดำล้วนนั้น
เป็นแค่เรื่องสมมติ เป็นบัญญัติทางโลก
ที่อาจทำได้กระทั่งมีประโยชน์ หากอยู่ในระดับพอเหมาะพอสมไม่ยึดติด
อีกทั้งรู้เท่าทันมัน
แต่ถ้าใครก็ตาม พาทัศนะเช่นนี้เตลิดไปอย่างไร้ขอบเขต
สุดท้าย
ย่อม
ติดกับอยู่กับ
ความขัดแย้งชนิด
หาทางออกไม่ได้
ทั้ง
ขัดแย้งในตัวเอง
และ
ขัดแย้งกับผู้อื่น
อันที่จริงในเรื่อง
ความสุดโต่งของทัศนะ
ที่จะยืนยันว่า สิ่งใดมีอยู่ สิ่งใดไม่มีอยู่ หรือ
สิ่งใดผิด สิ่งใดถูก
ตาม
โลกบัญญัติ
นั้น พระพุทธองค์
ได้ทรงเตือนไว้แล้ว
ว่า
ไม่ทำให้
เกิด
ปัญญา
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08 กรกฎาคม 2554 07:20:12 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ
»
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0
Re: ปาฐกถา เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : อำนาจแห่งความว่าง ความว่างแห่งอำนาจ
«
ตอบ #1 เมื่อ:
03 กรกฎาคม 2554 07:33:09 »
ดังพุทธวัจนะในกัจจานโคตตสูตรซึ่งทรงกล่าวไว้ว่า
'โลกนี้โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี1 ความไม่มี1 ก็เมื่อบุคคล
เห็น
ความเกิด
แห่งโลก
ด้วยปัญญาอันชอบตาม
เป็นจริงแล้ว
ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี เมื่อ
บุคคลเห็นความดับ
แห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความมีในโลก ย่อมไม่มี
โลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วย
อุบาย อุปาทานและอภินิเวส แต่พระอริยสาวกย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น...'
(พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย
นิทานวรรค - ภาษาไทยเล่ม26
น.73)
ใน
พระสูตร
ของฝ่ายมหายาน ประเด็น
การก้าวพ้นทวิภาวะ ( dualism )
หรือ
ก้าวพ้นการ
แบ่งแยกความจริงออกเป็นคู่ตรงข้ามนั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมีแต่
ก้าวพ้นการยึดมั่น
ในสิ่งนี้เท่านั้น จึงจะได้กุญแจไปสู่
การเข้าใจ
สุญญตา
ดังจะเห็นได้จากข้อความใน
คัมภีร์วิมลเกียรตินิทเทสสูตร (ปริเฉท9)
ซึ่งบรรดาพระโพธิสัตว์หลายองค์ ได้ตอบคำถามของท่านวิมลเกียรติคฤหบดีในเรื่องนี้ไว้อย่างละเอียด
'
กุศล อกุศล
ชื่อ
ว่า
เป็นธรรมคู่ ผู้ใดไม่เกิดความรู้สึกยึดถือ ก่อเกิดกุศล ฤาอกุศล รู้แจ้งเห็นจริง เข้าถึงอัปปณิหิตธรรม จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร'
'
บาป บุญ ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ ผู้ใด
รู้แจ้งว่า เนื้อแท้ภาวะแห่ง
บาป มิได้ผิดแปลกจากบุญเลย ใช้
วชิร
ปัญญา
เข้าไปตัด
ความติดแน่น
ใน
ลักษณะแบ่งแยกเสียได้
ไม่มีผู้ถูกผูกพันฤาไม่มีผู้หลุดพ้น จึงชื่อว่า
เข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร'
(เสถียร โพธินันทะ,
ชุมนุมพระสูตรมหายาน (บรรณาคาร 2516)
น. 161)
ท่านอาจารย์พุทธทาสเอง ก็ยืนยันในเรื่องข้ามพ้นทวิภาวะ
ไว้อย่างชัดเจน โดยกล่าวว่า
'เราจะต้องเรียนรู้เรื่องอิทัปปัจจยตา
เพื่อว่าเราจะได้เดินอยู่ใน
มัชฌิมาปฏิปทา
ไม่ไป
โง่ไปหลงในของเป็นคู่ๆ ของเป็นคู่ที่
ระบุไปยัง
ข้างใดข้างหนึ่ง
โดย
เด็ดขาดนั้น ไม่ใช่อิทัปปัจจยตา
เป็นสิ่งสมมติ
.. '
(อิทัปปัจจยตา น.52)
พูดอีกแบบคือ
การถอนอุปาทาน
ออกจากการแยกโลกเป็นขั้ว เป็นข้างนั้น ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดในการหยั่งถึงความจริง อีกทั้งเป็นวิธีเดียว
ที่จะเชื่อม
ความจริงสมมุติเข้ากับ
ความจริงปรมัตถ์
ผมขออนุญาตนำข้อความใน
ลังกาวัตรสูตร
ของมหายานมาสมทบอีกชิ้นหนึ่งเพื่อเพิ่มความชัดเจน
'
อไทฺวตธรรม
(non-duality) หมายความว่ากระไร? มันหมายความว่า ความสว่าง ความมืด สั้น ยาว ขาว ดำ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องสัมพัทธ์ทั้งสิ้น...และไม่ได้เป็นอิสระจากกัน เฉกเช่นนิพพานและสังสารวัฏไม่ได้แยกขาดจากกัน สรรพสิ่งมิได้แยกเป็นสองขั้วเช่นนั้น ไม่มีนิพพาน
ที่ปราศจาก
สังสารวัฏ ไม่มีสังสารวัฏ ที่ปราศจากนิพพาน
เนื่องจาก
เงื่อนไขในการดำรงอยู่(ของสรรพสิ่ง)ไม่ได้มีลักษณะ
ตัดขาด
ซึ่งกันและกัน'
(".what is meant by non-duality?
It means that light and shade ,
long and short, black and white are relative terms?.and not independent of each other, as Nirvana and Samsara are, all things are not-two.
There is no Nirvana except where is Samsara; there is no Samsara except where is Nirvana; for the condition
of existence is not of
mutually exclusive character.
" D.T. Suzuki Trans.,
The Lankavatara Sutra
(Motilal: Delhi 2003) p.67 )
ดังนั้น สรุปในชั้นนี้ก็คือ
การข้ามพ้นธรรมคู่
หมายถึงการเห็นความว่างและการเข้าใจความว่าง หมายถึงการมองเห็นความสัมพันธ์ที่อิงอาศัยกันเกิดขึ้นมีอยู่ของสรรพสิ่ง เห็นความเชื่อมร้อยเชื่อมโยงของสรรพสิ่ง มองเห็นแม้แต่ความเชื่อมโยงสัมพันธ์ของสิ่งที่ดูเหมือนขัดแย้งกัน
ด้วยเหตุนี้ การหยั่งเห็นความว่าง จึงเกี่ยวโยงอย่างใกล้ชิดกับหลักธรรมสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งได้แก่
มัชฌิมาปฏิปทา
หรือที่เราเรียกกันว่าทางสายกลาง
อย่างไรก็ตาม จากที่ผมกล่าวมาทั้งหมดข้างต้น ท่านคงเห็นชัดอยู่แล้วว่า ธรรมข้อนี้ไม่ได้หมายถึงทางที่อยู่ตรงกลางระหว่างทางสองสาย ไม่ได้หมายถึง
ทัศนะไม่เลือกข้างเพื่อเอาตัวรอด และยิ่งไม่ใช่หมายถึง การหาประชามติ
จากคนกลางๆที่ไม่ได้เป็นคู่ความขัดแย้ง
กล่าวอย่างรวบรัดที่สุด มัชฌิมาปฏิปทาหมายถึง
การถอนอุปาทานจากความคิดสุดโต่งทั้งปวง
หมายถึงการ
มองเห็นความสมมุติของทวิภาวะ เห็นความ
ไม่จริงของบัญญัติต่างๆที่ผู้คนมักยกอ้างมาขัดแย้งกัน
ยกตัวอย่างเช่นในเวลานี้ พี่น้องชาวไทยเราจำนวนหนึ่ง กำลังถูกพัดพาให้ไปยึดถือบัญญัติว่า อะไรเป็น ประชาธิปไตย อะไรไม่ใช่ประชาธิปไตย แล้วเถียงกันเอาเป็นเอาตายโดยลืมไปว่า
ทั้งหมดเป็นแค่สมมุติสัจจะ เป็นความจริงสัมพัทธ์
ที่ขึ้นต่อนานาปัจจัย
และไม่มีอันใด
เที่ยงแท้ถาวร
อย่างนี้เรียกว่าติดกับอยู่ในทวิภาวะ ซึ่งเป็น
บ่วงทุกข์อันหนักหน่วง และคง
เปลื้องทุกข์ไม่ได้ ถ้าไม่ถอนตัวกลับมาสู่มัชฌิมาปฏิปทา
นักวิชาการด้านพุทธศาสนาท่านหนึ่งได้เขียนไว้ว่า '
จิตที่ติดอยู่ในข่ายความคิดนั้นเป็นความหลง ภาษาพระเรียกสัญญาวิปลาส ซึ่งไม่ได้หมายถึงอาการบ้า แต่หมายถึง
การยึดติดความคิดบางอย่างที่เนื่องกับอัตตา เป็นการสนับสนุน
อัตตาในระดับเหตุผล
'
(สุมาลี มหณรงค์ชัย,
พระนาคารชุนะกับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง
(สนพ.ศยาม 2548) น.148)
ผมเห็นด้วยกับคำอธิบายเช่นนี้อย่างยิ่ง เนื่องจากผมอยู่ในแวดวงปัญญาชนมานาน
เคยเห็น
คน'คลอดลูก'เป็น ความคิด
มามาก อีกทั้ง
หวงความคิด
ของตนราวลูกในอุทร ใครแตะไม่ได้ ใครค้านไม่ได้ ผมเอง
ก็เคยหลง
อยู่ในกับดักเช่นนั้น
เคยออก
อาการ
สัญญาวิปลาสอยู่พักใหญ่เหมือนกัน
กล่าวในทาง
รากฐาน
ทางปรัชญาแล้ว การเชื่อเรื่องจับคู่ขัดแย้งเอาเป็นเอาตาย
มีนัยยะเท่ากับเชื่อว่า
ดีชั่วผิดถูกเกิดเองมีเองได้โดยไม่อาศัยเหตุปัจจัยอื่นมาประกอบ '
ที่เรา
ดีเพราะดีเอง
ที่เขา
ชั่วเพราะชั่ว
เอง เพราะฉะนั้น
จะต้องหักล้างกันลงไปข้างหนึ่งให้ได้'
สิ่งที่มักหลงลืมกัน
คือ ทัศนะว่าตนเองถูก ฝ่ายอื่นผิดนั้น
เป็นทัศนะที่
เราปรุงขึ้นเอง
ทั้งสิ้น
เช่นนี้แล้ว เราจะเห็นได้ว่า
ความคิดสุดโต่งไม่ว่าจะมาจาก
ขั้วไหน ล้วนหนีไม่พ้น
เรื่องของอัตตา
ที่เชื่อว่าตนเองคือ
ผู้กำหนด
ความเป็นไป เห็นว่าตนเองคือศูนย์กลางจักรวาล ภาษาธรรมเรียกกิเลสกลุ่มนี้ว่า ปปัญจะ อันประกอบด้วย
ตัณหา ทิฏฐิ และมานะ
ตราบใดที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคล
ยึดถือ
ความเห็นของตนเป็นใหญ่ ไม่ยอมถอน
อุปาทานจากทวิภาวะ
ความขัดแย้งก็จะดำเนินไปสู่ความรุนแรง เกิดเป็นความทุกข์ในรูปใดรูปหนึ่งจนได้ จะว่าไป นี่นับก็เป็นการแสดงอำนาจ
อีกแบบหนึ่ง
ของสุญญตา ที่ลงโทษลงทัณฑ์
ผู้ละเมิดกฎ
พูดก็พูดเถอะ ตามความเข้าใจของผม มัชฌิมาปฏิปทาไม่ใช่ความเห็นที่สาม ซึ่งแตกต่างจากความเห็นที่หนึ่งที่สอง
หากเป็นการ
ก้าวพ้นทัศนะที่แยกต่างหากจากผู้อื่น สิ่งอื่น
เป็นการดับ
ทิฏฐิโดยตั้งมั่นอยู่ในความว่าง ว่างจากตัวตนและว่าง
จากสิ่งต่างๆ
อันเนื่องด้วย
ตัวตน
เช่นนี้แล้ว ทางสายกลางหมายความว่าอย่างไรกันแน่ หมายถึงการไม่มีข้อเสนออะไรเลยใช่ไหม? คำตอบคือไม่ใช่เช่นนั้น
หนทางของ
มัชฌิมาปฏิปทา เป็นหนทางที่มาจาก
การเห็นความจริง
ในส่วนทั้งหมด
โดยไม่มีตัวตนไปปิดบัง
คนเราเมื่อว่างจากตัวตน ว่างจากทิฏฐิ เมตตาย่อมเกิด กรุณาย่อมเกิด อุเบกขาย่อมเกิด
ทำให้สามารถ
รับฟังความคิดเห็นต่างๆได้ง่ายขึ้น มองโลกครบถ้วนขึ้น
จากนั้น
สภาพจิตก็จะเปลี่ยนจากวิเคราะห์เป็นสังเคราะห์ เปลี่ยน
จากแยกส่วนเป็น
หลอมรวม เปลี่ยนจากความรู้รอบเรื่อง
บัญญัติ
มาเป็นความลุ่มลึกแห่งปัญญาญาณ
พูดอีกแบบคือ มัชฌิมาปฏิปทาเป็นเรื่องของ
การเปิดประตูใจ
ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่การพบทางออกในเหตุการณ์รูปธรรมทั้งปวง เมื่อใจสงบ หยั่งถึงความว่าง
ทุกอย่างก็เป็นไปได้ ตาม
กฏธรรมชาติ สรรพสิ่งล้วนก่อรูปขึ้นในความว่าง
เรื่องนี้ผมไม่ได้คิดเองเออเอง
ในคาถาพระธรรมบท มีพุทธวจนะ
ซึ่งยืนยันอย่างชัดเจนว่า'
ใจเป็นผู้นำสรรพสิ่ง ใจเป็นใหญ่กว่าสรรพสิ่ง สรรพสิ่งสำเร็จได้ด้วยใจ
'
ทั้งหมดนี้เราจะเห็นได้ว่า
การจะเข้าถึงทางสายกลางนั้น
แท้จริงแล้วก็คือ การทำความเข้าใจ
หมวดธรรม
สำคัญๆที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนพวกเรามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือต้องทำความเข้าใจ
ปฏิจจสมุปบาทหรืออิทัปปัจจยตา
ท่านทั้งหลายคงจะทราบดีอยู่แล้วว่า ใน
วิถีสู่ความหลุดพ้นตามหลักพุทธธรรม
นั้น อันดับแรกของ
มรรคมีองค์ 8 คือ สัมมาทิฏฐิ (หรือที่แปลเป็นไทยว่าความเห็นชอบ) เรื่องนี้หากนำมาศึกษาประกอบกับหลักธรรมเรื่องสุญญตา ปฏิจจสมุปบาท และมัชฌิมาปฏิปทา ก็จะสรุปได้ไม่ยากว่า
สัมมาทิฏฐิคือการก้าวพ้นทิฏฐิ
(ซึ่งแปลว่าความเห็น หรือทฤษฎี) นั่นเอง
มีพระพุทธภาษิตที่ตรัสไว้ว่า
'
ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม
' และตรัสว่า'
ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้น
ชื่อว่า
เป็นผู้เห็นธรรม
'
อันที่จริงการก้าวพ้นทิฏฐิหรือทัศนะ
เป็นเรื่องเดียวการก้าวพ้นทวิภาวะ
ดังท่านจะเห็นได้ว่าทุกวันนี้ การติดค้างอยู่ในทวิภาวะในบ้านเรา ทำให้มีการผลิตทัศนะความคิดเห็นออกมาอย่างมากมายเหลือเชื่อ มีผู้แสดงถ้อยแถลงแข่งกันอย่างต่อเนื่องนับเป็นร้อยวัน ซึ่งถ้ายังออกจากความขัดแย้งไม่ได้ การสร้างทฤษฎี (ทิฏฐิ)โจมตีฝ่ายตรงข้ามก็คงจะดำเนินต่อไปอีก
ดังนั้น ใครก็ตามที่อยากจะแก้ปัญหาความขัดแย้ง คงต้องขอให้คู่กรณีหยุดพูดหรือหยุดผลิตความคิดเห็นสักพักหนึ่งก่อน อันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
เป็นก้าวแรกที่จะออกจากสัญญาวิปลาส
ดังคำสอนในวิมลเกียรตินิทเทสสูตร ซึ่งกล่าวว่า '...
ในธรรมทั้งหลาย เมื่อปราศจาก
คำพูด ปราศจากโวหาร ปราศจากการแสดง ปราศจากความคิด รู้คำนึง
พ้นจากการปุจฉา วิสัชชนา
นั่นคือการเข้าสู่อไทฺวตธรรมทวาร'
คำสอนดังกล่าว หากตีความให้ตรงกับเรื่องที่เรากำลังคุยกัน ก็คงต้องบอกว่าการหยั่งถึงความว่าง จะทำได้ยากยิ่ง หากไม่มีการหยุดพูด หยุดโต้แย้งกัน... หากไม่อาศัยความเงียบ
สำรวมจิตใจ
ให้ตั้งอยู่
ในความสงบ
เสียก่อน
(มีต่อค่ะ)
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08 กรกฎาคม 2554 09:52:35 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ
»
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0
Re: ปาฐกถา เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : อำนาจแห่งความว่าง ความว่างแห่งอำนาจ
«
ตอบ #2 เมื่อ:
03 กรกฎาคม 2554 08:01:11 »
ความเงียบ บ่อยครั้งไม่ได้หมายความว่า
เป็นการสยบยอมหรือไม่มี
วิจารณญาณ
หากเป็นการ
ตั้งมั่นอยู่ในสัมมาสติ
เพื่อพิจารณาความเป็นไปของสรรพสิ่งอย่างรอบด้าน
ยกตัวอย่างเช่นในสถานการณ์ที่เป็นวิกฤตการเมืองอยู่ในปัจจุบัน เราจะเห็นว่าคนส่วนใหญ่ยังครองตนอยู่ในความนิ่งเงียบ แต่ความเงียบเช่นนี้ แท้จริงแล้วอาจดังกึกก้องเหมือนฟ้าคำราม ผู้ใดอ่านสัญญาณไม่ออก กระทำการผลีผลามย่ามใจ
ก็เท่ากับ
หาทุกข์ใส่ตัว
กล่าวเช่นนี้แล้ว ก็คงต้องพูดถึงความว่างแห่งอำนาจ ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งของหัวข้อปาฐกถาเสียเลย การที่ผมตั้ง
หัวข้อปาฐกถา
ว่า '
อำนาจแห่งความว่าง ความว่างแห่งอำนาจ
' นั้น ไม่ใช่เรื่องเล่นสำนวนแม้แต่น้อย หากดึงมาจากเนื้อหาความเป็นไปของโลกที่เกี่ยวโยงกันอย่างแท้จริง
ที่ผ่านมาผมได้พยายามชี้แจงด้วยสติปัญญาอันจำกัดแล้วว่า ความว่างหรือสุญญตาเป็นกฏเกณฑ์ธรรมชาติ ซึ่งหมายถึงสภาพปราศจากแก่นสารอิสระของสรรพสิ่ง หมายถึงการอิงอาศัยกันเกิดขึ้นมีอยู่ของสรรพสิ่งและปรากฏการณ์ต่างๆ ซึ่งทำให้การมองโลกอย่างแยกส่วนตัดตอน เป็นเรื่องไม่สอดคล้องกับความจริง
ถามว่าแล้วทำไมอำนาจจึงเป็นความว่างด้วย? คำตอบคือ อำนาจเป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ อำนาจไม่ใช่สิ่งของหรือพลังวิเศษ
ที่ผู้ใดจะยึดครองไว้ได้ โดยไม่สัมพัทธ์กับ
เงื่อนไขต่างๆ เช่นเดียวกับปรากฏการณ์อื่นๆ ปรากฏการณ์แห่งอำนาจเกิดขึ้นและดำรงอยู่โดยอิงอาศัยนานาปัจจัย
พูดอีกแบบคือ
อำนาจมีกฏเกณฑ์ในการ
ก่อเกิด
ดำเนินไป
และ
ดับสูญ
อย่างเคร่งครัด และกฏเกณฑ์เหล่านั้นก็อยู่ในกรอบกฏอิทัปปัจจยตาอย่างเลี่ยงไม่พ้น เช่นนี้แล้วอำนาจจึงเป็น
สุญญตา
อำนาจไม่มีแก่นสารอิสระจากปัจจัยที่ค้ำจุน อำนาจมีลักษณะเป็นความว่างอย่างยิ่ง
จากความจริงดังกล่าว กฏข้อแรกที่ผู้กุมอำนาจหรือผู้แสวงหาอำนาจ จะต้องทำความเข้าใจ คืออำนาจที่ตนต้องการขึ้นต่อการมีอยู่ของเหตุปัจจัยใดบ้าง และถ้าต้องการบำรุงรักษาอำนาจไว้อย่างต่อเนื่อง จะต้องดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับปัจจัยเหล่านั้นอย่างไร
แน่นอน ตรงนี้เราคงต้องแยกระหว่างปรากฏการณ์ของอำนาจดิบๆ อย่างเช่นอำนาจปืนของโจร ผู้ร้ายที่ใช้บังคับเหยื่อให้ยอมจำนน กับอำนาจการเมืองการปกครอง ซึ่งขึ้นต่อฉันทานุมัติหรือความเห็นชอบของผู้อยู่ใต้อำนาจเป็นปัจจัยสำคัญ
ถามว่าแล้วทำไมคนจำนวนมาก จึงยอมให้คนบางหรือคนบางกลุ่มปกครอง?
การที่คนจำนวนมาก จะยอมรับอำนาจของคนจำนวนหนึ่ง
ย่อมประกอบด้วย
ความหวัง
ที่ผู้กุมอำนาจ
จะยัง
ประโยชน์
มาให้ตน เช่นคุ้มครองดูแลชีวิต ป้องกันภัยพิบัติต่างๆ จัดสรรผลประโยชน์ทางวัตถุ ให้ความอบอุ่นทางจิตใจ ตัดสินคดีพิพาท
กระทั่งคาดหวัง
คุณค่าระดับสูงอื่นๆ
เช่นเสรีภาพและความยุติธรรม
เป็นต้น
ดังนั้น เงื่อนไข
ชี้ขาดที่สุด
ของผู้กุมอำนาจการเมือง คือจะต้อง
สร้าง
ความพอใจให้ผู้อยู่ใต้อำนาจให้ได้ มิฉะนั้นก็จะไม่ได้รับฉันทานุมัติให้ใช้อำนาจการปกครอง หรือถ้ากุมอำนาจ
อยู่แล้ว ก็จะ
ไม่มีความมั่นคง ไม่สามารถปกครองใครได้อย่างแท้จริง กระทั่ง
นำไปสู่
การสูญเสียอำนาจในที่สุด
ท่านอาจารย์พุทธทาสเคยกล่าวไว้ว่า อำนาจการเมืองมีไว้เพื่อแก้ปัญหา เพราะฉะนั้นถ้าใครเล่นการเมืองเพื่อหาอำนาจไปเอาเปรียบคนอื่น
ก็ต้องถือว่า
ไม่ใช่การเมืองที่แท้จริง
(พุทธทาสภิกขุ,
ธรรมะกับการเมือง (สนพ.สุขภาพใจ 2546)
น. 65)
อันนี้ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้
ในคัมภีร์อัคคัญญสูตร
ซึ่งอยู่ใน
พระสุตตันตปิฎก
ถ้าใครเคยอ่านพระสูตรนี้ ก็จะเข้าใจว่าอำนาจการเมืองนั้น
เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อใช้
ปัดเป่าความเดือดร้อนของ
ตัวเอง
ตามข้อความที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ มนุษย์
แต่เดิมมีธรรมชาติที่ดีงาม
แต่เมื่อ
สูญเสียความบริสุทธิ์นั้นไป ก็หันมา
ทะเลาะเบาะแว้ง แย่งผลประโยชน์กัน สังคมมีแต่ความเดือดร้อนรุนแรง เมื่อตกลงกันเองไม่ได้
ในที่สุด
ก็ไปเชิญผู้ที่เหมาะสมท่านหนึ่ง มาทำหน้าที่คอยตัดสินข้อพิพาท
นั่นเป็น
พุทธทรรศน์
เกี่ยวกับที่มาของอำนาจรัฐหรืออำนาจการเมือง
ซึ่งแสดงให้เห็นความจริงสามอย่างคือ
หนึ่ง
อำนาจเป็นสิ่งที่มีเงื่อนไข ขึ้นต่อความยินยอมพร้อมใจของผู้อยู่ใต้อำนาจ
สอง
อำนาจนั้นจะต้องใช้ไป เพื่อปัดเป่าความเดือดร้อนหรือขจัดปัญหาที่ผู้อยู่ใต้อำนาจมีอยู่ และ
สาม
ตำแหน่งผู้กุมอำนาจ
เป็นสิ่งสมมติ ไม่ได้มีอำนาจโดย
ตน และไม่อาจ
ใช้
อำนาจเพื่อตน จริงๆแล้วพระพุทธเจ้า
ใช้คำ
ว่า'
มหาชนสมมุติ
' เรียกผู้กุมอำนาจ นี้ ก็นับว่าสอดคล้องตามความจริงทุกประการ
ดังนั้น ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า อำนาจเป็นปรากฏการณ์
ที่เกิดตาม
กฏเกณฑ์แห่งความว่างมาตั้งแต่ต้น (ไม่มีธรรมชาติอิสระแยกจากสิ่งอื่น) และดำรงอยู่ ดำเนินไปตามกฏเกณฑ์แห่งความว่างเช่นกัน
ปัญหามีอยู่ว่า ถ้าผู้ปกครองหรือผู้ถืออำนาจการเมือง
หยั่งไม่ถึง
สุญญตาแห่งอำนาจแล้วจะเกิดอะไรขึ้น? เรื่องนี้ถ้าจะให้ผมตอบอย่างกำปั้นทุบดิน ก็คงต้องบอกว่าผู้กุมอำนาจท่านนั้น คงจะอยู่ได้ไม่นาน ไม่ช้าก็เร็ว ก็คงถูก
กฏเหล็กแห่ง
อิทัปปัจจยตาเล่นงานเอาจนเสียผู้เสียคนไป
อย่างไรก็ดี มนุษย์เรานั้นมีประสบการณ์เรื่องการใช้อำนาจ หรือประสบการณ์เรื่องการเมือง การปกครองมานานหลายพันปีแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงมีคำสอนคำเตือนหลายอย่าง จากนักปราชญ์ทั่วโลกเกี่ยวกับ
การใช้อำนาจ
ยกตัวอย่างเช่นในโลกตะวันออก
คำสอนของท่าน
เหล่าจื๊อ
สรุปไว้ว่า
'
ในการปกครอง
ชั้นเยี่ยม
ผู้คนจะไม่รู้สึกว่า
ถูก
ปกครอง
...' ถ้อยคำเหล่านี้นี้หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่า อำนาจการเมืองนั้น ควรใช้ให้น้อยที่สุด
และ
ใช้
เพื่อ
ประโยชน์ของประชาชนจริงๆ หากทำได้เช่นนั้น ประชาชนก็แทบจะไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของอำนาจเลย
ในซีกโลกตะวันตก เมื่อกว่าสองพันปีที่แล้ว
มหาปราชญ์ชาวกรีกชื่อเพลโต
(Plato) ก็สอนไว้ว่า ผู้ปกครองจะต้องไม่มีสมบัติส่วนตัว ไม่มีแม้กระทั่งครอบครัว และจะต้องใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ของผู้อยู่ใต้การปกครองเท่านั้น
คัมภีร์ราชนีติ
ซึ่งเป็นศาสตร์แห่งการปกครองของอินเดียโบราณ ยืนยันไว้ว่า ผู้ปกครองที่ดี จะต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับอาณาจักรของตน
(ราชนีติ
(สนพ.MBA 2545)
น. 33)
ใน
มังรายศาสตร์
ซึ่งเป็นกฏหมายปกครองมีมาแต่โบราณของชาวไทยล้านนา ก็มีการจำแนกระหว่างนายที่ดีกับนายที่เลวไว้อย่างชัดเจน กล่าวคือนายดีหรือที่เรียกว่า'
ขุนธรรม
' นั้นจะต้องเมตตาต่อไพร่ ไม่ทำบาปต่อไพร่ ไม่ข่มเหงรังแกไพร่ ส่วนนายเลวที่เรียกว่า'
ขุนมาร
'นั้นมักชอบข่มเหงรังแกไพร่ ชอบฉกชิงสิ่งของ ผิดลูกผิดเมียไพร่ นายประเภทหลังนี้ท่านว่าเป็น'
ต้นไม้พิษกลางเมือง
' ไม่ควรให้เป็นใหญ่ต่อไป
(ประเสริฐ ณ นคร เรียบเรียง,
มังรายศาสตร์ (ม.ศรีนครินทรวิโรฒ 2521)
น.8-9)
กล่าวสำหรับคำสอนของพุทธศาสนาเอง ทุกท่านก็คงทราบดีอยู่แล้วว่า มีหัวใจสำคัญอยู่ใน
ราชธรรม 10
ซึ่งขึ้นต้นด้วย ทาน ศีล และลงท้ายด้วยขันติ อวิโรธนะ
(รายละเอียดอยู่ใน
พระธรรมปิฎก, พจนานุกรมพุทธศาตร์ฉบับประมวลธรรม
(มหาจุฬาฯ 2538) น. 285-287)
นอกจากนี้ยังมีหมวดธรรมที่เรียกว่า
จักรวรรดิวัตร 12
ซึ่งสอนให้ผู้ปกครองปกป้องดูแลตั้งแต่ชนชั้นสูงมาถึงชนชั้นล่าง ตลอดจนสมณชีพราหมณ์
(รายละเอียดอยู่ใน
เล่มเดียวกัน น. 300
)
ท่านทั้งหลายคงเห็นแล้วว่า ตัวอย่างคำสอนที่ผมยกมาทั้งหมดนี้
ล้วนชี้ไป
ในทิศเดียวกัน คือยืนยันว่า อำนาจเป็นปรากฏการณ์
ที่ขึ้นต่อ
ปัจจัยอื่นที่ไม่ใช่ตัวอำนาจเอง และปัจจัยสำคัญที่สุด ชี้ขาดที่สุด ได้แก่
ความพอใจของ
ผู้อยู่ใต้อำนาจ
อันนี้มีนัยยะป้อนกลับมายังผู้กุมอำนาจอย่างไรบ้าง? คำตอบชัดเจนที่สุดก็คือ หากอยากได้อำนาจและอยากรักษาอำนาจไว้ให้ยั่งยืนนาน
ผู้กุมอำนาจจะต้องว่างจากตัวตน
และสิ่งที่เนื่องด้วยตัวตน
กล่าวอีกแบบหนึ่งคือต้องเป็น
ผู้รู้ธรรมและปฏิบัติธรรม
นั่นเอง
ท่านอาจารย์พุทธทาสเคยสอนไว้ว่า การเมืองต้องไม่แยกจากธรรมะ และนักการเมืองที่แท้จริงจะต้องเป็นนักการเมืองโพธิสัตว์ หรือนักการเมืองของพระเจ้า
(อิทัปปัจจยตา)
ซึ่งมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น หายใจเป็นประโยชน์
ของผู้อื่น
(ธรรมะกับการเมือง
น. 32
)
นิยามนี้นับว่าตรงกับคำสอนของ
ปวงปราชญ์โบราณ
ในเมื่ออำนาจเป็นปรากฏการณ์แห่งความว่าง ผู้กุมอำนาจก็ควรหยั่งถึงความว่างในดวงจิตของตนด้วย ใครก็ตามที่นำอัตตาตัวตนขึ้นสู่เวทีอำนาจ ใครก็ตามที่นำผลประโยชน์ส่วนตัวขึ้นสู่เวทีอำนาจ และยืนยันผลประโยชน์ของตนเองเป็นเอก ไม่ว่าจะเป็นลาภ ยศ หรือสรรเสริญ ท้ายที่สุดแล้วก็จะไปไม่รอดทั้งสิ้น
เพราะกฏแห่งอำนาจเป็นกฏเดียวกับอิทัปปัจจยตา เกิดขึ้นมีอยู่โดยอาศัยนานาปัจจัย
รวมทั้งอาศัยการยอมรับ
ของประชามหาชนผู้ที่
ไม่มี
อำนาจ
ถึงตรงนี้
ผมคงต้องอธิบายเล็กน้อยว่า
การ
ต้านอำนาจ
นั้น
ถือ
เป็นการ
แสดง
อำนาจ
ชนิดหนึ่ง
ซึ่งก็ต้อง
อยู่
ภายใต้กฏอิทัปปัจจยตา
เช่นกัน มี
สภาพเป็นความว่าง
เช่นเดียวกัน
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08 กรกฎาคม 2554 11:39:31 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ
»
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0
Re: ปาฐกถา เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : อำนาจแห่งความว่าง ความว่างแห่งอำนาจ
«
ตอบ #3 เมื่อ:
03 กรกฎาคม 2554 08:30:12 »
ดังนั้นใครก็ตามที่คิดจะตั้งศูนย์อำนาจใหม่หรือต่อต้านอำนาจเก่า ควรจะต้องรู้ว่า อำนาจเป็น
ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และอิงอาศัยนานาปัจจัย อำนาจไม่ได้บรรจุอยู่ในอาคารสถานที่ การยึดอำนาจรัฐไม่ได้เกิดจากการยึดตัวอาคาร หากจะต้องยึดครอง
ที่หัวใจคน
ถามว่า
เช่นนี้แล้ว คนที่จิตไม่ว่าง หรือคนที่เต็มแน่นไปด้วยอัตตา จะขึ้นไปกุมอำนาจได้หรือไม่? คำตอบคือ
คงได้ตามวิถีทาง
โลก และในความหมายแบบทางโลก
แต่จะไม่ใช่
อำนาจที่แก้ปัญหาอะไรได้
อย่างถึงราก
กลับเป็นอำนาจที่ก่อความเดือดร้อน
สร้างทุกข์เข็ญให้บ้านเมือง
เสียมากกว่า
อีกทั้ง
จะไม่มีความมั่นคงยั่งยืน เนื่องจาก
ถูกปฏิเสธต่อต้าน
อันที่จริง
ตรงนี้แหละ คือความแตกต่างระหว่างผู้แสวงหาอำนาจธรรมดา
กับผู้นำ
ทางการเมือง ไม่ว่าในความหมายของธรรมะ หรือในความหมายทางรัฐศาสตร์ก็ตาม
ผู้นำการเมือง
เมื่อว่างจากตัวตน จึง
สามารถทำทุกอย่าง
ได้ เพื่อประโยชน์สุขของผู้อยู่ใต้การปกครอง
เสียสละทุกอย่าง
ได้เพื่อ
อาณาประชาราษฎร์ ส่วนผู้กุมอำนาจที่จิตไม่ว่างนั้น ต่อให้ไม่ก่อปัญหาร้ายแรง ก็จะมีทางเลือกและศักยภาพในการแก้ปัญหาได้น้อยกว่ากันมาก
เหมือนดังพุทธภาษิตที่กล่าวว่า
เนสา สภา ยตฺถ น สนฺติ สนฺโต
'ในที่ใดไม่มีสัตบุรุษ ในที่นั้นไม่เรียกว่าสภา' อ่านความหมายง่ายๆของข้อความนี้ ก็คือการประชุมหรือชุมนุมกันของคนจิตไม่ว่างนั้น ไม่นับเป็น'สภา'ที่แท้จริง
และไม่ได้ช่วย
แก้ปัญหาอะไร
ขออนุญาตอ้างถึง
พระไตรปิฎก
อีกเล็กน้อย
เกี่ยวกับเรื่องคุณสมบัติผู้นำนั้น ผมคิดว่าไม่มีเรื่องไหนสามารถสาธิตประเด็นนี้ ได้ชัดเจนเท่าเรื่องของพญาวานรในนิทานชาดกชื่อมหากปิชาดก
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดเป็นพญาลิง ผู้มีพละกำลังมหาศาลและมีบริวารอยู่แปดหมื่นตัว ในขณะที่พญาลิงพาบริวารมาเก็บผลมะม่วงรสดีกินอยู่ในป่าหิมพานต์นั้น บังเอิญมีมะม่วงผลหนึ่งตกลงไปในแม่น้ำ และลอยไปติดข่ายของพระราชาเมืองพาราณสี พระราชาทรงชิมผลมะม่วงแล้วเกิดติดใจ จึงยกไพร่พลออกค้นหาต้นมะม่วงที่อยู่ต้นน้ำ ครั้นพบฝูงลิงปีนป่ายอยู่บนต้นมะม่วงเต็มไปหมด ก็สั่งทหารถืออาวุธไปล้อมไว้ เตรียมจะประหัตประหารไม่ให้มีเหลือแม้ตัวเดียว
ฝ่ายพญาลิงเห็นบริวารตกอยู่ในห้วงอันตราย จึงกัดเครือหวายตั้งใจว่าจะผูกเป็น สะพานเชื่อมระหว่างต้นมะม่วงกับต้นไม้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แต่หวายยาวไม่พอ จึงตัดสินใจใช้มือยึดกับต้นมะม่วงและทอดร่างต่อจากเส้นหวาย ให้บริวารได้เหยียบข้ามไปสู่ความปลอดภัย จนกระทั่งบริวารลิงหนีพ้นภัยไปสู่ฝั่งตรงข้ามได้ครบทุกตัว แต่เคราะห์กรรมของพญาลิง ผู้เป็นหัวหน้าก็คือ ลิงตัวหนึ่งซึ่งเป็นพระเทวทัตมาเกิด ได้ถือโอกาสนี้กระโดดใส่หลังพระโพธิสัตว์ที่เป็นพญาวานรอย่างแรงจนได้รับบาดเจ็บ และไม่อาจหนีตามฝูงของตนไป
สุดท้ายพระราชาซึ่งเห็นภาพทั้งหมด เกิดรู้สึกสะเทือนพระทัย จึงโปรดให้นำพญาลิงมารักษาพยาบาล แต่อาการท่านสาหัสเกินกว่าจะเยียวยา จึงสิ้นใจไป ก่อนหน้านั้น พระราชาได้ตรัสถามพญาลิงว่า ทำไมจึงยอมเจ็บตัว พญาลิงได้กล่าวกับพระราชาว่า
'เราเป็นพญาลิง
ปกครอง
ฝูงลิงทั้งหมด เมื่อพวกเขาตกอยู่ในอันตราย
เราจึงต้อง
นำความสุขมาให้ผู้อยู่ภายใต้
การปกครอง
'
ผมไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม ท่านทั้งหลายก็คงประจักษ์ชัดแล้วว่า
คุณสมบัติ
ผู้นำ
ตามหลักพุทธศาสนา
นั้นเป็นเช่นใด
แต่พูดก็พูดเถอะ การเป็นผู้นำการเมืองนั้น
ไม่จำเป็นต้อง
หมายถึงบุคคลที่กุมอำนาจการปกครอง
แต่ฝ่ายเดียว
ฝ่ายต่อต้านคัดค้านที่รวบรวมกำลังคน มาตั้งเป็นพรรคเป็นพวกหรือตั้งเป็นขบวนการเมืองในชื่อต่างๆ ก็สามารถ
เป็นผู้นำ
การเมืองได้
หรือจะเป็นแค่
ผู้แสวงหาอำนาจธรรมดาๆก็ได้ ถ้าหากไม่ยึดถือในหลักธรรม ถ้าหาก
มองไม่เห็น
ว่างแห่งอำนาจ
ผมได้พูดไว้แล้วข้างต้นว่า ปรมัตถ์กับบัญญัติ
ไม่ได้
แยกขาดจากกัน เพราะฉะนั้นเรื่องการเมืองนี้ ถ้าทำให้ถูกให้ดี ก็เท่ากับ
สามารถ
อาศัย
วัฏสงสาร
เป็น'พาหนะเดินทาง'ไปสู่นิพพาน ถ้าทำไม่ถูกต้อง
ก็
วนเวียนอยู่ใน
วัฏจักร
แห่ง
ความทุกข์ร้อนไม่สิ้นสุด
เช่นกัน
ถ้าเราเข้าใจอำนาจแห่งความว่าง และเข้าถึงความว่างแห่งอำนาจ เราจะรู้ว่าการขัดแย้งทางการเมือง
ล้อมรอบสมมุติสัจจะ
นั้น ควรจะมี
ขอบเขต
อยู่ตรงไหน
และ
อาศัยวิธีการเช่นใด
ถ้าเราหยั่งถึงอิทัปปัจยตา(หรือปฏิจจสมุปบาท) ก็จะมองเห็นว่า ความรักบ้านรักเมือง ไม่จำเป็นต้องแสดงออกด้วยชัยชนะเหนือคู่แข่ง
อย่างเดียว บางครั้ง
การยอมแพ้ กลับเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่กว่า
แสดงความรักบ้านรักเมือง
ได้มากกว่า เหมือนมารดาพร้อมยกบุตร
ให้ผู้อื่น
ใน
ยามที่
ตัวเองดูแลปกป้องไม่ได้
แพ้ชนะ
ถึงที่สุดแล้ว
ก็เป็นสุญญตา ไม่มีความจริง
รองรับ
มีแต่เราเองไป
บัญญัติ
มันขึ้นมา
พูดกันตามหลัก
รัฐศาสตร์
อำนาจนั้นเปลี่ยนมือได้เสมอ ถ้าผู้ปกครองไม่สามารถแก้ปัญหาให้ผู้อยู่ใต้การปกครองได้ หรือมี
วิกฤต
ฉันทานุมัติ
อย่างต่อเนื่อง
แต่เปลี่ยนแล้ว
จะดีขึ้นหรือไม่ ยังไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัวเสมอไป
มันขึ้นอยู่กับ
ผู้นำการเปลี่ยนแปลง ว่ามีปัญญาญาณมากน้อยเพียงใด คนในสังคมเห็นพ้องต้องกันในทิศทางของการเปลี่ยนแปลง
แค่ไหน หาก
สังคมยังไม่เห็นพ้องต้องกันในทิศทางการเปลี่ยนแปลง การล้มลงของระบอบเก่า
หรือ
อำนาจเก่า
ก็รังแต่
จะนำไปสู่สภาพกลียุคและ
อนาธิปไตย
จาก
ข้อมูล
ทางประวัติศาสตร์
บางครั้งอำนาจใหม่
กลับฆ่าคน เสียยิ่งกว่าอำนาจเก่าที่ล่มสลาย เนื่องจาก
ทิฏฐิที่ยึดติด
ในการเปลี่ยนแปลง และไม่ต้องการรอคอยให้ผู้คนเห็นด้วย เรื่องเช่นนี้เคยเกิดมาแล้วในหลายๆประเทศ ซึ่งเราควรถือ
เป็นบทเรียน
ดังนั้น
ในทัศนะของท่านอาจารย์พุทธทาส
ระบอบการเมือง
แบบไหน ยังไม่สำคัญเท่ากับว่า
มีธรรมะหรือไม่
เพราะถ้าไม่มีธรรมมะ ถึงอย่างไรก็สร้างสันติสุขให้บังเกิดมิได้ และท่านถือว่าภาวะไร้สันติภาพเป็นปัญหาร้ายแรงที่สุดของมนุษย์
การไม่ได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข นับเป็น
เคราะห์
กรรม
อย่าง
ยิ่ง
ของแผ่นดิน
ด้วยเหตุนี้ ความพยายามที่จะรักษาระบอบการเมืองก็ดี ความพยายามที่จะปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองก็ดี
จึงไม่อาจ
สำเร็จได้
ด้วยความชัง ไม่อาจใช้โลภะโทสะโมหะ
มาขับเคลื่อน
เราจะสร้างสังคมที่สันติสุขได้อย่างไร หากวิธีการขัดแย้งกับจุดหมายเสียตั้งแต่ต้น สำหรับชาวพุทธแล้ว
มรรควิถี
มี
ค่า
เท่ากับ
จุดหมายปลายทาง
ท่านผู้มีเกียรติและเพื่อนศาสนิกชนทั้งหลาย
ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้ แท้จริงแล้วเป็นความคิดของตัวเองอยู่ไม่กี่ส่วน
ส่วนใหญ่เป็นการ
เชิญคำสอนของพระศาสดาและบรรดาครูบาอาจารย์ มาถ่ายทอด
สู่กันฟังเท่านั้น
อย่างไรก็ดี เนื่องจากคำสอนเหล่านี้
ถูก
นำเสนอผ่าน
ความเข้าใจอันจำกัดของผม
จึงต้อง
เรียนขอร้อง
ท่านว่า อย่าได้ยึดถือเป็นเรื่องจริงจังไปเสียทั้งหมด ขอเพียงสิ่งที่ผมพูด ได้สมทบส่วนเล็กน้อย
ให้กับการค้นหาปัญญาญาณ
ของท่าน ผมก็ดีใจมากแล้ว
วันนี้ ผมได้เอ่ยถึง
ปรมัตถ์
สัจจะ
ไว้ในแทบทุกวรรคตอน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่ผมพูดเป็นปรมัตถ์สัจจะ แท้จริงแล้วมันเป็น
แค่ความคิดเห็น
ของผมเกี่ยวกับ
ปรมัตถ์
ธรรม
มากกว่า และเช่นเดียวกับความคิดเห็น
ของผู้คนใน
เรื่องอื่นๆ ทั้งหมดที่ผมพูดมา จึงเป็น
แค่สมมุติ
เท่านั้นเอง
ขอบพระคุณทุกท่านที่กรุณาให้เกียรติรับฟัง
ปาฐกถาเกียรติยศชุด "
พุทธธรรมพาไทยพ้นวิกฤต
" มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ
หอประชุมมหิศร สำนักงานใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
วันที่ 12 กันยายน 2551
ขอบพระคุณที่มา
http://www.thaingo.org/writer/view.php?id=940
อนุโมทนาสาธุค่ะ
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08 กรกฎาคม 2554 13:01:18 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: จัดหน้าค่ะ
»
บันทึกการเข้า
คำค้น:
ประชาไท
ถอดเทปปาฐกถา
ทางออก
ความขัดแย้ง
มูลนิธิหอจดหมายเหตุ
พุทธทาส
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ
เริ่มโดย
ตอบ
อ่าน
กระทู้ล่าสุด
ปาฐกถา “สุญญตา” อาจารย์เสถียร โพธินันทะ ๒๕๑๐
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก
2
4939
12 ตุลาคม 2553 20:29:31
โดย
หมีงงในพงหญ้า
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ’แพ้ชนะถึงที่สุดแล้วก็เป็นสุญญตา’
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
หมีงงในพงหญ้า
0
2104
20 มิถุนายน 2553 23:30:41
โดย
หมีงงในพงหญ้า
ผ่านพบไม่ผูกพัน : เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
สุขใจ หนังสือแนะนำ
นวลปราง
1
4556
10 พฤศจิกายน 2553 09:01:10
โดย
หมีงงในพงหญ้า
บุตรธิดาแห่งดวงดาว (เสกสรรค์ ประเสริฐกุล)
สุขใจ หนังสือแนะนำ
นวลปราง
0
3369
25 กันยายน 2553 21:00:20
โดย
นวลปราง
สุขแท้ด้วยปัญญาในทัศนะของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
เงาฝัน
1
2294
26 สิงหาคม 2554 07:11:12
โดย
เงาฝัน
กำลังโหลด...