[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: เงาฝัน ที่ 09 พฤษภาคม 2553 15:30:44



หัวข้อ: ปารายนานุสังคีติคาถา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 พฤษภาคม 2553 15:30:44

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/302/10302/images/BuddhaImage.jpg)

ปารายนานุสังคีติคาถา
คัดลอกจากหนังสือโสฬสปัญหา  หน้า ๒๗๗ - ๒๘๑
จัดพิมพ์โดยมหามกุฎราชวิทยาลัย  ในพระบรมราชูปถัมภ์
ปี พ.ศ.๒๕๓๐
Posted by อักษราภรณ์

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่  ณ  ปาสาณกเจดีย์ในมคธชนบทได้ตรัสปารายนสูตรนี้  อันพราหมณ์มาณพ  ๑๖  คน  ผู้เป็นบริวารของพราหมณ์พาวรี  ทูลอาราธนาแล้ว  ได้ตรัสพยากรณ์ปัญหา  แม้หากว่าการกบุคคลรู้ทั่วถึงอรรถ  รู้ทั่วถึงธรรมแห่งปัญหาหนึ่ง ๆ  แล้วพึงปฏิบัติธรรมอันสมควรแก่ธรรมไซร้   การกบุคคลนั้นก็พึงถึงฝั่งโน้นแห่งชราและมรณะได้แน่แท้  เพราะธรรมเหล่านี้  เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่การถึงฝั่งโน้น  เพราะเหตุนั้น  คำว่า  ปารายนะ  จึงเป็นชื่อแห่งธรรมปริยายนี้.

พราหมณ์มาณพผุ้อาราธนาทูลถามปัญหา  ๑๖  คนนั้น  คืออชิตมาณพ ๑  ติสสเมตเตยยมาณพ ๑  ปุณณกมาณพ ๑  เมตตคูมาณพ ๑  โธตกมาณพ ๑  อุปสีวมาณพ ๑  นันทมาณพ ๑  เหมกมาณพ ๑  โตเทยยมณพ ๑  กัปปมาณพ ๑  ชตุกัณณีมาณพ ๑  ภัทราวุธมาณพ ๑  อุทยมาณพ ๑  โปสาลมาณพ ๑  โมฆราชมาณพผู้มีปัญญา ๑  ปิงคิยมาณพผุ้แสวงหาคุณอันใหญ่ ๑  พราหมณ์มาณพทั้ง  ๑๖  คนนี้  ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันใหญ่  ทรงมีจรณะอันสมบูรณ์  พราหมณ์มาณพทั้ง  ๑๖  คน  ได้เข้าไปเฝ้าทูลถามปัญหาอันละเอียด  กะพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด.

พระพุทธเจ้าผู้เป็นมุนีได้ตรัสพยากรณ์ปัญหาที่พราหมณ์มาณพเหล่านั้นทูลถามแล้วตามที่เป็นจริง  ทรงให้พราหมณ์มาณพทั้งหลายยินดีแล้ว  ด้วยการตรัสพยากรณ์ทุกปัญหา

พราหมณ์มาณพทั้ง  ๑๖  คนเหล่านั้น  อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์พระอาทิตย์ผู้มีจักษุให้ยินดีแล้ว  ได้ประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักของพระพุทธเจ้า  ผู้มีพระปัญญาอันประเสริฐ.

เนื้อความแห่งปัญหาหนึ่ง ๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้วด้วยประการใด  ผู้ใดพึงปฏิบัติตามด้วยประการนั้น  ก็พึงจากฝั่งนี้ไปถึงฝั่งโน้นได้  ผู้นั้นเจริญมรรคอันอุดมอยู่  ก็พึงจากฝั่งนี้ไปถึงฝั่งโน้นได้  ธรรมปริยายนั้นเป็นทางเพื่อไปสู่ฝั่งโน้น  เพราะฉะนั้น  ธรรมปริยายนั้นจึงชื่อว่า  ปารายนะ.

ปิงคิยมาณพกล่าวคาถาว่า            
           
           อาตมาจักขับตามภาษิตเครื่องไปยังฝั่งโน้น  (อาตมาขอกล่าวตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็นด้วยพระญาณ)  พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ  ปราศจากมลทิน  มีพระปัญญากว้างขวาง  ไม่มีความใคร่  ทรงดับกิเลสได้แล้ว  จะพึงตรัสมุสาเพราะเหตุอะไร.

เอาเถิด  อาตมาจักแสดงวาจาที่ควรเปล่ง  ประกอบด้วยคุณของพระพุทธเจ้าผู้ทรงละความหลงอันเป็นมลทินได้แล้ว  ทรงละความถือตัวและความลบหลู่ได้เด็ดขาด.

ดูก่อนท่านพราหมณาจารย์  พระพุทธเจ้าทรงบรรเทาความมืด  มีพระจักษุรอบคอบ  ทรงถึงที่สุดของโลก  ทรงล่วงภพได้ทั้งหมด  ไม่มีอาสวะ  ทรงละทุกข์ได้ทั้งปวง  มีพระนามตามความเป็นจริงว่า  พุทโธ  อันอาตมาเข้าเฝ้าแล้ว.

นกพึงละป่าเล็ก  แล้วมาอยู่อาศัยป่าใหญ่อันมีผลไม้มาก  ฉันใด  อาตมา  มาละคณาจารย์ผู้มีความเห็นน้อยแล้ว  ได้ประสบพระพุทธเจ้าผู้มีความเห็นประเสริฐเหมือนหงส์โผลงสู่สระใหญ่  แม้ฉันนั้น

ก่อนแต่ศาสนาของพระโคดม  อาจารย์เหล่าใด  ได้พยากรณ์ลัทธิของตนแก่อาตมาในกาลก่อนว่า  เหตุนี้ได้เป็นมาแล้วอย่างนี้  จักเป็นอย่างนี้  คำพยากรณ์ของอาจารย์เหล่านั้นทั้งหมด  ไม่ประจักษ์แก่ตน  คำพยากรณ์ทั้งหมดนั้น  เป็นเครื่องทำความตรึกให้ทวีมากขึ้น  (อาตมาไม่พอใจในคำพยากรณ์นั้น)


หัวข้อ: Re: ปารายนานุสังคีติคาถา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 พฤษภาคม 2553 15:50:58

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/302/10302/images/img120_resize-tile.jpg)

พระโคดมพระองค์เดียว  ทรงบรรเทาความมืด  สงบระงับ  มีพระรัศมีโชติช่วง  มีพระปัญญาเป็นเครื่องปรากฏดุจแผ่นดิน  มีพระปัญญากว้างขวาง  ได้ทรงแสดงธรรมอันบุคคลพึงเห็นเอง  ไม่ประกอบด้วยกาล  เป็นที่สิ้นตัณหา  ไม่มีจัญไร  หาอุปมาในที่ไหน ๆ มิได้  แก่อาตมา

พราหมณ์พาวรีผู้อาจารย์กล่าวคาถากะพระปิงคิยะว่า

            ท่านปิงคิยะ  พระโคดมพระองค์ใดได้ทรงแสดงธรรมอันบุคคลพึงเห็นเอง  ไม่ประกอบด้วยกาล  เป็นที่สิ้นตัณหา  ไม่มีจัญไร  หาอุปมาในที่ไหน ๆ มิได้แก่ท่าน  เพราะเหตุไรหนอ  ท่านจึงอยู่ปราศจากพระโคดมพระองค์นั้น  ผู้มีพระปัญญาเป็นเครื่องปรากฏดุจแผ่นดิน  มีพระปัญญากว้างขวาง  สิ้นกาลแม้ครู่หนึ่งเล่า.

พระปิงคิยะกล่าวคาถาตอบพราหมณ์พาวรีผู้อาจารย์ว่า

            ท่านพราหมณ์  พระโคดมพระองค์ใดได้ทรงแสดงธรรมอันบุคคลพึงเห็นเอง  ไม่ประกอบด้วยกาล  เป็นที่สิ้นตัณหา  ไม่มีจัญไร  หาอุปมาในที่ไหน ๆ มิได้  แก่อาตมา  อาตมามิได้อยู่ปราศจากพระโคดมพระองค์นั้น  ผู้มีพระปัญญาเป็นเครื่องปรากฏดุจแผ่นดิน  มีพระปัญญากว้างขวาง  สิ้นกาลแม้ครู่หนึ่ง.

ท่านพราหมณ์  อาตมาไม่ประมาททั้งกลางคืนกลางวัน  เห็นอยู่ซึ่งพระพุทธเจ้าผู้โคดมพระองค์นั้นด้วยใจ  เหมือนเห็นด้วยจักษุ  ฉะนั้น  อาตมานมัสการอยู่ซึ่งพระพระพุทธเจ้าผู้โคดมพระองค์นั้นตลอดราตรี  อาตมา  มาสำคัญความไม่อยู่ปราศจากพระพุทธเจ้าผู้โคดมพระองค์นั้น  ด้วยความไม่ประมาทนั้น.

ศรัทธา  ปีติ  มนะ  และสติของอาตมาย่อมน้อมไปในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าผู้โคดม  พระพุทธเจ้าผู้โคดม  ผู้มีพระปัญญากว้างขวาง  ประทบอยู่ยังทิศาภาคใด ๆ  อาตมานั้นเป็นผู้นอบน้อมไปโดยทิศาภาคนั้น ๆ นั่นแล.  

ร่างกายของอาตมาผู้แก่แล้ว  มีกำลังและเรี่ยวแรงน้อยนั่นเอง  ท่านพราหมณ์อาตมาไปสู่พระพุทธเจ้าด้วยการไปแห่งความดำริเป็นนิตย์  เพราะว่าใจของอาตมาประกอบแล้วด้วยพระพุทธเจ้านั้น.

อาตมานอนอยู่บนเปือกตม  คือกามดิ้นรนอยู่  (เพราะตัณหา)  ลอยจากเกาะหนึ่งไปสู่เกาะหนึ่ง  ครั้งนั้นอาตมาได้เห็นพระสัมพุทธเจ้าผู้ทรงข้ามโอฆะได้แล้ว  ไม่มีอาสวะ.

(ในเวลาจบคาถานี้  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความแก่กล้าแห่งอินทรีย์ของพระปิงคิยะและพราหมณ์พาวรีแล้ว  ประทับอยู่  ณ  นครสาวัตถีนั้นเอง  ทรงเปล่งพระรัศมีดุจทองออกไป  พระปิงคิยะกำลังนั่งพรรณนาพระพุทธคุณแก่พราหมณ์พาวรีอยู่  ได้เห็นพระรัศมีแล้วคิดว่า  นี้อะไร  เหลียวแลไป  ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประหนึ่งประทับอยู่เบื้องหน้าตน  จึงบอกแก่พราหมณ์พาวรีว่า  พระพุทธเจ้าเสด็จมาแล้ว  พราหมณ์พาวรีได้ลุกจากอาสนะประคองอัญชลียืนอยู่  แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า  เมื่อจะทรงแผ่พระรัศมีแสดงพระองค์แก่พราหมณ์พาวรี  ทรงทราบธรรมเป็นที่สบายของพระปิงคิยะและพราหมณ์พาวรีทั้งสองแล้ว  เมื่อจะตรัสเรียกแต่พระปิงคิยะองค์เดียว  จึงได้ตรัสพระคาถานี้ว่า)

ดูก่อนปิงคิยะ  พระวักกลิ  พระภัทราวุธะ  และพระอาฬวีโคดม  เป็นผู้มีศรัทธาน้อมลงแล้ว  (ได้บรรลุอรหัตด้วยศรัทธาธุระ)  ฉันใด  แม้ท่านก็จงปล่อยศรัทธาลง  ฉันนั้น  ดูก่อนปิงคิยะ  เมื่อท่านน้อมลงด้วยศรัทธา  ปรารภวิปัสสนา  โดยนัยเป็นต้นว่า  สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง  ก็จักถึงนิพพาน  อันเป็นฝั่งโน้นแห่งวัฏฏะอันเป็นบ่วงแห่งมัจจุราช.

พระปิงคิยะเมื่อจะประกาศความเลื่อมใสของตนจึงกราบทูลขึ้นว่า

            ข้าพระองค์นี้ยอมเลื่อมใสอย่างยิ่ง  เพราะได้ฟังพระวาจาของพระองค์ผู้เป็นมุนี  พระองค์มีกิเลสดุจหลังคาอันเปิดแล้ว  ตรัสรู้แล้วด้วยพระองค์เอง  ไม่มีกิเลสดุจเสาเขื่อน  ทรงมีปฏิภาณ  ทรงทราบธรรมเป็นเหตุกล่าวว่าประเสริฐยิ่ง  ทรงทราบธรรมชาติทั้งปวง  ทั้งเลวและประณีต  ด้วยพระอภิญญา  พระองค์เป็นศาสดาผู้กระทำที่สุดแห่งปัญหาทั้งหลาย  แก่เหล่าชนผู้มีความสงสัยปฏิญญาณอยู่  นิพพานอันกิเลสมีราคะเป็นต้นไม่พึงนำไปได้  เป็นธรรมไม่กำเริบ  หาอุปมาในที่ไหน ๆ มิได้.

ข้าพระองค์จักถึงอนุปาทิเสสนิพพานธาตุแน่แท้  ข้าพระองค์ไม่มีความสงสัยในนิพพานนี้เลย  ขอพระองค์จงทรงจำข้าพระองค์ว่า  เป็นผู้มีจิตน้อมไปแล้ว  (ในนิพพาน)  ด้วยประการนี้แล.



(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/302/10302/blog_entry1/blog/2010-03-26/comment/575622_images/40_1270026778.jpg)


Credit by : http://www.oknation.net/blog/Aug-saraporn/2010/03/26/entry-1 (http://www.oknation.net/blog/Aug-saraporn/2010/03/26/entry-1)
ภาพจาก internet-ขออนุญาตใช้ภาพค่ะ

ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมาย
อนุโมทนาสาธุค่ะ


หัวข้อ: Re: ปารายนานุสังคีติคาถา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 09 พฤษภาคม 2553 21:35:24


(:88:) (:88:) (:88:)





(http://img1.imagehousing.com/100226/ef8e30d6961edc54ca3d79938428aaef.gif)