[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
26 พฤษภาคม 2567 02:09:59 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  [1] 2 3 ... 10
 1 
 เมื่อ: 1 ชั่วโมงที่แล้ว 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
หนุ่มวัย 21 ต้องผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตา รู้สาเหตุหลายคนช็อก เพราะทำอยู่บ่อย ๆ
         


หนุ่มวัย 21 ต้องผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตา รู้สาเหตุหลายคนช็อก เพราะทำอยู่บ่อย ๆ" width="100" height="100  หนุ่มวัย 21 ปี แชร์ประสบการณ์ต้องผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตา เพราะนิสัยที่ทำติดตัวมาตั้งแต่เด็ก ๆ เรื่องเล็ก ๆ แต่สร้างปัญหาร้ายแรง
         

https://www.sanook.com/news/9391502/
         

 2 
 เมื่อ: 4 ชั่วโมงที่แล้ว 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
ตร.แชะภาพที่เกิดเหตุ กลับมาดูถึงกับผงะ เจอคนหัวขาด แม่สาวในภาพดูยังอึ้ง
         


ตร.แชะภาพที่เกิดเหตุ กลับมาดูถึงกับผงะ เจอคนหัวขาด แม่สาวในภาพดูยังอึ้ง" width="100" height="100  ตำรวจเข้าระงับเหตุวิวาท แชะภาพที่เกิดเหตุ กลับมาดูถึงกับผงะ ใครยืนหัวขาดอยู่กลางภาพ นักข่าวบุกพิสูจน์ แม่ดูยังอึ้ง
         

https://www.sanook.com/news/9391378/
         

 3 
 เมื่อ: 6 ชั่วโมงที่แล้ว 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
สาวร้านแว่นขอลาด่วนลูกป่วย หน.รับเรื่อง ก่อนถูกสั่งให้ลาออก คนโผล่เบรกรถทัวร์
         


สาวร้านแว่นขอลาด่วนลูกป่วย หน.รับเรื่อง ก่อนถูกสั่งให้ลาออก คนโผล่เบรกรถทัวร์" width="100" height="100  สาวร้านแว่นดัง ขอลางานด่วนเพราะลูกป่วย ตอนแรกหัวหน้ารับเรื่อง ก่อนบอกให้ลาออก ชาวเน็ตเสียงแตก ชี้ควรรอฟังทั้งสองฝ่าย
         

https://www.sanook.com/news/9391226/
         

 4 
 เมื่อ: 7 ชั่วโมงที่แล้ว 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
"ไรเดอร์" ตัดพ้อ เป็นแรงงานที่ถูกเอาเปรียบ เกิดอุบัติเหตุขาดรายได้ ไร้นายจ้างเหลียวแล
         


"ไรเดอร์" ตัดพ้อ เป็นแรงงานที่ถูกเอาเปรียบ เกิดอุบัติเหตุขาดรายได้ ไร้นายจ้างเหลียวแล" width="100" height="100  
         

https://www.sanook.com/news/9390886/
         

 5 
 เมื่อ: 8 ชั่วโมงที่แล้ว 
เริ่มโดย Kimleng - กระทู้ล่าสุด โดย Kimleng




พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๑๙๒ จันทกินนรชาดก
นางจันทากินรี

          ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดเป็นวานรในป่าหิมพานต์ ภรรยาของเธอนามว่า จันทา ทั้งคู่ก็อยู่ที่ภูเขาเงินชื่อว่า จันทบรรพต
          ครั้งนั้นพระเจ้าพาราณสีมอบราชสมบัติแก่หมู่อำมาตย์ ทรงผ้าย้อมฝาดสองผืน ทรงสอดพระเบญจาวุธเข้าสู่ป่าหิมพานต์ลำพังพระองค์เดียวเท่านั้น ท้าวเธอเสวยเนื้อที่ทรงล่าได้เป็นพระกระยาหาร เสด็จท่องเที่ยวไปถึงลำน้ำน้อยๆ สายหนึ่งโดยลำดับ ก็เสด็จขึ้นไปถึงต้นสาย
          ฝูงกินนรที่อยู่จันทบรรพต เวลาฤดูฝนก็ไม่ลงมา พากันอยู่ที่ภูเขานั่นแหละ ถึงฤดูแล้งจึงพากันลงมา
          ครั้งนั้นจันทกินนรลงมากับภรรยาของตน เที่ยวเก็บเล็มของหอมในที่นั้นๆ กินเกสรดอกไม้ นุ่งห่มด้วยสาหร่ายดอกไม้ เหนี่ยวเถาชิงช้าเป็นต้น เล่นพลางขับร้องไปพลาง ส่งเสียงเจื้อยแจ้วไปจนถึงลำน้ำน้อยสายนั้น หยุดลงตรงที่เป็นคุ้งแห่งหนึ่ง โปรยปรายดอกไม้ลงในน้ำ จัดแจงแต่งที่นอนด้วยดอกไม้เหนือหาดทรายซึ่งมีสีเพียงแผ่นเงิน ถือขลุ่ยเลาหนึ่ง นั่งเหนือที่นอน
          ต่อจากนั้น จันทกินนรก็เป่าขลุ่ยขับร้องเป็นเพลงไพเราะเพราะพริ้ง จันทากินรีก็ยืนรำไปมาอยู่ในที่ใกล้สามี พระราชาทรงสดับเสียงของกินนรกินรีนั้น ก็ทรงย่องเข้าไป ค่อยๆ ยืนแอบในที่กำบัง ทอดพระเนตรเห็นกินรีเหล่านั้น ก็ทรงมีจิตปฏิพัทธ์ในกินรี ทรงดำริว่าเราอยากยิงกินนรนั้นเสียให้สิ้นชีวิต แล้วจะได้นางกินรีมาเป็นชายา แล้วทรงยิงจันทกินนร เขาเจ็บปวดรำพันออกมาว่า
         “นางจันทา ชีวิตของพี่ใกล้จะขาดอยู่แล้ว พี่กำลังเมาเลือด จันทาเอ๋ย พี่เห็นจะละชีวิตไป แม้ในวันนี้ลมปราณของพี่กำลังจะดับ ชีวิตของพี่กำลังจะจม ความทุกข์กำลังเผาผลาญหัวใจพี่ พี่ลำบากยิ่งนัก ความโศกของพี่ครั้งนี้เป็นความโศกยิ่งใหญ่กว่าความโศกเหล่าอื่น เพราะเหตุแห่งเจ้าจันทาผู้จะเศร้าโศกถึงพี่โดยแท้ พี่จะเหี่ยวแห้ง เหมือนต้นหญ้าที่ถูกทิ้งไว้บนแผ่นหินร้อน เหมือนต้นไม้มีรากอันขาด พี่จะเหือดหายเหมือนแม่น้ำที่ขาดห้วง ความโศกของพี่ครั้งนี้เป็นความโศกยิ่งใหญ่กว่าความโศกเหล่าอื่น เพราะเหตุแห่งเจ้าจันทาผู้จะเศร้าโศกถึงพี่โดยแท้ น้ำตาของพี่ไหลออกเรื่อยๆ เหมือนน้ำฝนที่ตกลงที่เชิงบรรพตไหลไปไม่ขาดสายฉะนั้น ความโศกของพี่ครั้งนี้เป็นความโศกยิ่งใหญ่กว่าความโศกเหล่าอื่น เพราะเหตุแห่งเจ้าจันทาผู้จะเศร้าโศกถึงพี่โดยแท้”
          จันทกินนรคร่ำครวญ นอนเหนือที่นอนดอกไม้นั่นเอง ชักดิ้นสิ้นสติ ฝ่ายพระราชายังคงยืนอยู่ จันทากินรีเมื่อจันทกินนรรำพันกำลังเพลิดเพลินด้วยความรื่นเริงของตน มิได้รู้ว่าสามีถูกยิง แต่ครั้นเห็นจันทกินนรสิ้นสติไป ก็ใคร่ครวญว่า “ทุกข์ของสามีเราเป็นอย่างไรหนอ” พอเห็นเลือดไหลออกจากปากแผล ก็ไม่อาจสะกดกลั้นความโศกอันมีกำลังทึ่เกิดขึ้นในสามีที่รักไว้ได้ ร่ำไห้ด้วยความอาลัยรัก
          พระราชาทรงดำริว่ากินนรคงตายแล้ว ปรากฏพระองค์ออกมา จันทากินรีเห็นท้าวเธอหวั่นใจว่าโจรผู้นี้คงยิงสามีที่รักของเรา จึงหนีไปอยู่บนยอดเขา พลางบริภาษพระราชา ได้กล่าวดังนี้ “พระราชบุตรใด ยิงสามีผู้เป็นที่ปรารถนาของเราเพื่อให้เป็นหม้ายที่ชายป่า พระราชบุตรนั้นเป็นคนเลวทรามแท้ สามีของเรานั้นถูกยิงแล้วนอนอยู่ที่พื้นดิน พระราชบุตรเอ๋ย มารดาของท่านจงได้รับสนองความโศกในดวงหทัยของข้าผู้เพ่งมองดูกินนรผู้เป็นสามีนี้ ชายาของท่านจงได้รับสนองความโศกในดวงหทัยของข้าผู้เพ่งมองดูกินนรผู้เป็นสามีนี้ พระราชบุตรเอ๋ย ท่านได้ฆ่ากินนรผู้ไม่ประทุษร้าย เพราะความรักใคร่ในเรา ขอมารดาของท่านอย่าได้พบเห็นบุตรและสามีเลย ท่านได้ฆ่ากินนรผู้ไม่ประทุษร้าย เพราะความรักใคร่ในเรา ขอชายาของท่านจงอย่าได้พบเห็นบุตรและสามีเลย”
          พระราชาเมื่อจะตรัสปลอบนางผู้ยืนร่ำไห้เหนือยอดภูเขา จึงตรัสว่า “นางจันทา ผู้มีนัยน์ตาเบิกบานดังดอกไม้ในป่า เธออย่าร้องไห้ไปเลย เธอจักได้เป็นอัครมเหสีของฉัน มีเหล่านารีในราชสกุลคอยรับใช้มากมาย”
          นางปฏิเสธและต่อว่าต่างๆ นานา
          ท้าวเธอฟังคำของนางแล้วหมดความรักใคร่ ตรัสว่า “แน่ะนางกินรีผู้ขี้ขลาด มีความรักใคร่ต่อชีวิต เจ้าจงไปสู่ป่าหิมพานต์เถิด มฤคอื่นๆ ที่บริโภคกฤษณาและกระลำพัก จักยังรักใคร่ยินดีต่อเจ้า”
          ก็แลครั้นตรัสอย่างนี้แล้วก็เสด็จหลีกไปอย่างหมดเยื่อใย นางทราบว่าท้าวเธอไปแล้วก็ลงมากอดสามี อุ้มขึ้นไปบนยอดภูเขา ให้นอนในที่เหมาะๆ ยกศีรษะวางไว้บนขา พลางพร่ำไห้เป็นกำลัง แล้วกล่าวว่า
          “กินนร ภูเขาเหล่านั้น ซอกเขาเหล่านั้น และถ้ำเหล่านั้นตั้งอยู่ ณ ที่นั้น ฉันไม่เห็นท่านในที่นั้นๆ จะกระทำอย่างไร
          เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่เทือกเขา ซึ่งเราเคยร่วมอภิรมย์กัน จะกระทำอย่างไร
          เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่แผ่นผาอันลาดด้วยใบไม้เป็นที่น่ารื่นรยมย์ พวกมฤคร้ายกล้ำกลาย จะทำอย่างไร
          เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ผาอันลาดด้วยดอกไม้ เป็นที่น่ารื่นรมรย์ พวกมฤคร้านกล้ำกลาย จะทำอย่างไร
          เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ลำธารอันมีน้ำใสไหลอยู่เรื่อยๆ มีกระแสเกลื่อนกล่นไปด้วยดอกโกสุม จะกระทำอย่างไร
          เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์อันมีสีเขียว น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร
          เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์มีสีเหลืองอร่าม น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร
          เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์อันมีสีแดง น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร
          เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์อันสูงตระหง่าน น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร
          เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์อันมีสีขาว น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร
          เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์อันงามวิจิตร น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร
          เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาคันธมาทน์ อันดารดาษไปด้วยยาต่างๆ เป็นถิ่นที่อยู่ของหมู่เทพเจ้า จะกระทำอย่างไร
          เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ภูเขาคันทมาทน์ อันดารดาษไปด้วยโอสถทั้งหลาย จะกระทำอย่างไร
          นางร่ำไห้ด้วยเหตุสิบสองประการานี้แล้ว วางมือลงตรงอกของสามี รู้ว่ายังอุ่นอยู่ ก็คิดว่าสามียังไม่สิ้นชีวิตเป็นแน่ เราต้องกระทำการเพ่งโทษเทวดา ให้ชีวิตของเขาคืนมาเถิด แล้วได้กระทำการเพ่งโทษเทวดาว่า “เทพเจ้าที่ได้นามว่าท้าวโลกบาลน่ะ ไม่มีเสียหรือไรเล่า หรือหลบไปเสียหมดแล้ว หรือตายหมดแล้ว ช่างไม่ดูแลผัวรักของข้าเสียเลย” ด้วยแรงโศกของนาง พิภพท้าวสักกะเกิดร้อน ท้าวสักกะทรงดำริทราบเหตุนั้น แปลงเป็นพราหมณ์ถือกุณฑีน้ำมาหลั่งรดจันทกินนร ทันใดนั้นเองพิษก็หายสิ้น แผลก็เต็ม แม้แต่รอยที่ว่าถูกยิงตรงนี้ก็มิได้ปรากฏ จันทกินนรสบายลุกขึ้นได้ นางจันทาเห็นสามีที่รักหายโรค แสนจะดีใจ ไหว้แทบเท้าของท้าวสักกะ กล่าวเป็นลำดับว่า     
          “ข้าแต่ท่านพราหมณ์ผู้เป็นเจ้า ฉันขอไหว้เท้าทั้งสองของท่านผู้มีความเอ็นดูในสามีผู้ที่ดิฉันซึ่งเป็นกำพร้า ปรารถนายิ่งนักด้วยน้ำอมฤต ดิฉันได้ชื่อว่าเป็นผู้พร้อมเพรียงด้วยสามีผู้เป็นที่รักยิ่งแล้ว”
          ท้าวสักกะได้ประทานโอวาทแก่กินนรทั้งคู่นั้นว่า “ตั้งแต่บัดนี้เธอทั้งสองอย่าลงจากจันทบรรพตไปสู่ถิ่นมนุษย์เลย จงพากันอยู่ที่นี่เท่านั้นนะ” ครั้นแล้วก็เสด็จไปสู่สถานที่ของท้าวเธอ
          ฝ่ายจันทากินรีก็กล่าวว่า “พี่เจ้าเอ๋ย เราจะต้องการอะไร ด้วยสถานที่อันมีภัยรอบด้านนี้เล่า มาเถิดค่ะ เราพากันไปสู่จันทบรรพตเลยเถิดค่ะ” แล้วกล่าวสุดท้ายว่า
          “บัดนี้ เราทั้งสองจักเที่ยวไปสู่ลำธารอันมีกระแสสินธุ์อันเกลื่อนกล่นด้วยดอกโกสุม ดารดาษไปด้วยบุบผชาติต่างๆ เราทั้งสองจะกล่าววาจาเป็นที่รักแก่กันและกัน”
   

นิทานชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“จงอยู่ในถิ่นที่เหมาะแก่ตน”

พุทธศาสนสุภาษิตประจำเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ปฏิรูปเทสวาโส จ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ
อยู่ในถิ่นมีสิ่งแวดล้อมดี เป็นอุดมมงคล

ที่มา : นิทานชาดกจากพระไตรปิฎก : พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ ฉบับสมบูรณ์ จัดพิมพ์เผยแพร่ธรรมโดยธรรมสภา สถาบันบันลือธรรม

 6 
 เมื่อ: 9 ชั่วโมงที่แล้ว 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
สามีใจสลาย จู่ ๆ ภรรยาวูบล้มหมดสติ ขณะไปทริปฮันนีมูน เสียชีวิตในอ้อมกอด
         


สามีใจสลาย จู่ ๆ ภรรยาวูบล้มหมดสติ ขณะไปทริปฮันนีมูน เสียชีวิตในอ้อมกอด" width="100" height="100  หนุ่มใจสลาย จู่ ๆ ภรรยาวูบล้มหมดสติ ระหว่างทริปฮันนีมูน แพทย์สุดยื้อ เสียชีวิตสลดในอ้อมแขนสามี
         

https://www.sanook.com/news/9391110/
         

 7 
 เมื่อ: 11 ชั่วโมงที่แล้ว 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
“อุ๊งอิ๊ง”โพสต์ “ทักษิณ” เดินทางถึงโคราช แฟนคลับแห่ให้กำลังใจ
         


“อุ๊งอิ๊ง”โพสต์ “ทักษิณ” เดินทางถึงโคราช แฟนคลับแห่ให้กำลังใจ" width="100" height="100  
         

https://www.sanook.com/news/9390938/
         

 8 
 เมื่อ: 13 ชั่วโมงที่แล้ว 
เริ่มโดย Maintenence - กระทู้ล่าสุด โดย Maintenence



ตัวตนไม่มี
ถาม : ผู้ใดเห็นทุกข์ผู้นั้นเห็นธรรม คำว่าไม่มีตัวตนอยู่ในที่ไหนๆ จริงไหมครับ

พระอาจารย์ : คือตัวตนเป็นสมมุติที่เราสร้างสรรค์กันขึ้นมาเอง ด้วยความคิดของเรา ด้วยความจำของเรา เราคิดเราจำว่าเราเป็นตัวตน จนกระทั่งมันฝังเป็นความรู้สึกไป แต่ความจริงเราเป็นตัวรู้ผู้รู้เท่านั้นเอง ผู้รู้ผู้คิดเท่านั้น เป็นธรรมชาติที่รู้ที่คิด ตัวตนไม่มี


ตปะธรรม
ถาม : ความหมายของ ตปะธรรม คืออะไรคะ

พระอาจารย์ : ตปะ แปลว่าเครื่องแผดเผากิเลส ก็คือขันติ ความอดทน “ขันติ ตโปติสิกขา” พระพุทธเจ้าบอกว่าขันตินี้เป็นธรรมอันเลิศ เป็นเครื่องมือแผกเผากิเลส ผู้ที่จะต่อสู้กับกิเลส เช่น เวลาเจอทุกขเวทนาแล้วกิเลสมันบอก หนีดีกว่าๆ เราก็ต้องใช้ขันติอดทน ตปะธรรม อันนี้สำหรับนักปฏิบัติสำคัญมาก ถ้าไม่มีขันติ ไม่มีความอดทนแล้วสู้ไม่ได้ พอเจ็บหน่อยปวดหน่อย เลยไม่เอาแล้ว ถอยดีกว่า ถ้าขามันสั่นก็ให้มันสั่นไปเถอะ เดี๋ยวผ่านไปได้แล้วมันจะสบาย


เอาของแท้ของจริง ยศทางธรรมเอาไปได้
ถาม : อยู่ในสายวิชาการครับ ก็ต้องมีผลงานเยอะๆ ซึ่งบางทีก็เป็นการสร้างอัตตาตัวตนขึ้นมา ไม่ได้ทำบาป แต่ว่ามันก็มีทุกข์ มันก็เป็นตัวบ่งชี้ตัวหนึ่งใช่ไหมครับ อยากให้พระอาจารย์สอนวิธีการวาง และการปล่อยวางตัวนี้ครับ

พระอาจารย์ : มันเป็นโลกธรรม ต้องพิจารณาว่าโลกธรรมมันก็เจริญได้ มันก็เสื่อมได้ หรือว่าถ้าเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ก็มีคนที่เขาสูงกว่าเรา คนที่เท่าเราและคนที่เขาต่ำกว่าเรา แต่มันก็เป็นของชั่วคราว เดี๋ยวเวลาเกษียณอายุมันก็หมดความหมายไป เคยเป็นอะไรก็หมดไป งั้นมันเป็นสิ่งที่เราไม่ควรจะขวนขวาย หรือสิ่งที่เราควรขวนขวาย น่าจะขวนขวายเรื่องทางธรรมะดีกว่า ขวนขวายการเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี อนาคามีดีกว่า ดีกว่าไปขวนขวายเป็นรองศาสตราจารย์ เป็นศาสตราจารย์อะไรอย่างนี้ มันไม่ได้ทำให้จิตใจเรามีความสุข มีความสงบหรอก

ถาม : แต่ก็ยังต้องทำอยู่ ใช่ไหมครับ

พระอาจารย์ : คือถ้าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำก็ทำ ถ้าไม่เป็นหน้าที่ หลีกเลี่ยงได้ก็ไม่ต้องไปทำดีกว่า ถ้าเราคิดว่าทำงานเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องก็พอ ไม่ได้เพื่อให้เราสูงขึ้นด้วยตำแหน่งด้วยอะไรต่างๆ ทำเพื่อมีรายได้ เพื่อที่เราจะได้มาเลี้ยงตัวเรา เลี้ยงครอบครัวเราเท่านั้นก็พอ หาเวลามาปฏิบัติธรรม เพราะว่าพวกยศพวกนี้เอาไปไม่ได้ แต่ยศทางธรรมเอาไปได้นะ โสดาบัน พอเป็นโสดาแล้วเป็นโสดาไปตลอด ไปเกิดที่ไหนก็เป็นโสดาต่อ เอาของแท้ของจริง ทรัพย์ภายในเป็นทรัพย์ที่แท้จริง อริยทรัพย์นี่ อริยทรัพย์ก็คือนี่ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ นิพพานนี่ เป็นทรัพย์ที่แท้จริง เป็นอริยทรัพย์ที่จะติดไปกับใจ แต่ทรัพย์ภายนอกนี้เป็นแค่พอตายไปก็จบ เอาไปไม่ได้ งั้นถ้าเราไม่จำเป็นต้องทำก็อย่าไปทำ แต่ถ้าเราถูกบังคับ อยู่ในสังคม แล้วเขายัดเยียดให้เราต้องทำ ถ้าเรายังต้องอยู่กับเขาอยู่ก็ทำไป แต่อย่าทำด้วยความอยาก


สังโยชน์ ๕ ข้อปฏิฆะ พยาบาท
ถาม : มีคำถามเรื่องสังโยชน์ข้อที่ ๕ ค่ะ พยาบาทน่าจะเป็นข้อที่ง่าย ทำไมถึงเอามาไว้เป็นข้อที่ ๕ มันมีความละเอียดมากน้อยแค่ไหนคะ

พระอาจารย์ : มันไม่ใช่พยาบาท ปฏิฆะ ความหงุดหงิดใจ เวลาเกิดกามารมณ์ขึ้นมา ไม่ได้เสพกามก็หงุดหงิด มันมาจากการที่เราเกิดมีกามารมณ์ขึ้นมา กามราคะขึ้นมา อยากจะเสพกาม ยังไม่ได้เสพ พอได้เสพ อาการหงุดหงิดก็หายไป แต่หายไปแบบชั่วคราว เดี๋ยวพอความอยากจะเสพกามเกิดขึ้นมาอีก ความหงุดหงิดก็ตามมาอีก อยู่เฉยๆ ไม่ได้ เวลาเกิดกามขึ้นมา ต้องเสพกาม ถึงจะบรรเทาความหงุดหงิดใจ

ถาม : ไม่ได้เสพกามในทุกๆ เรื่องของกามหรือคะ

พระอาจารย์ : อันนี้เรื่องกามราคะ ไม่ได้ร่วมหลับนอนกับแฟน อะไรอย่างนี้

ถาม : แล้วเรื่องรูปเสียงกลิ่นรสละคะ

พระอาจารย์ : มันมารวมตรงนี้หมด เวลาเสพกาม มันรวมรูปเสียงกลิ่นรสของแฟนเข้ามาหมด

ถาม : พิจารณาร่างกายเห็นเป็นเซลล์ ได้ไหมคะ

พระอาจารย์ : นั่นเห็นเป็นอนัตตา ถ้าเป็นเซลล์ก็เป็นธาตุ เป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ พระพุทธเจ้าทรงบอกว่ามันมีหลายแง่มุมต้องพิจารณา ในแง่มุมของธาตุ ก็ต้องพิจารณาให้เห็นว่าร่างกายนี้ไม่มีตัวตน มีแต่เซลล์ มีแต่อะตอม มีแต่โมเลกุล ถ้าเราเป็นนักวิทยาศาสตร์ เราก็จะมองอย่างนี้ได้

ถาม : หนูมองเห็นเป็นอะตอม เป็นโมเลกุล แล้วท้ายสุดก็ไม่มีอะไรเลย

พระอาจารย์ : ก็มีไนโตรเจน ออกซิเจน คาร์บอนไดอ๊อกไซด์ก็มารวมกัน มันก็เป็นธาตุไม่ใช่เหรอ เรามันว่าธาตุไม่ใช่เหรอ อันนี้ก็ได้ เพื่อจะดูว่าไม่มีตัวตน เพราะเราไม่ได้อยู่ในร่างกายของเรา
 
ถาม : เหมือนมองร่างกายเรา ท้ายสุดก็คือความว่าง

พระอาจารย์ : ไม่ว่าง มันมีอยู่ มันว่างจากตัวตน ไม่มีตัวตน แต่มันมีออกซิเจน มันมีธาตุต่างๆ สักวันมันก็ต้องแยกออกจากกันไป

ถาม : งั้นเราก็มองทุกคนที่ผ่านมาเป็นอย่างนี้

พระอาจารย์ : ไม่ได้หรอก กามารมณ์มันไม่ได้ดับด้วยอย่างนี้ กามารมณ์ต้องมองส่วนที่ขยะแขยง

ถาม : เห็นอสุภะ ใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ : เออ ต้องดูอสุภะ ดูว่ากลิ่นมันเหม็น เห็นลำไส้กับตับไตอะไรอย่างนี้ มันถึงจะดับกามารมณ์ได้ ไอ้ที่พิจารณาเมื่อกี้มันดับการยึดถือว่าร่างกายเป็นตัวตน คนละเรื่องกัน แต่ก็ต้องพิจารณาเหมือนกัน ต้องเห็นไตรลักษณ์ เห็นว่ามันเป็นทุกข์เวลาหงุดหงิดใจ ไปเกิดมีกามารมณ์ขึ้นมา มันก็หงุดหงิดใจ ถ้าไปชอบร่างกายของใครเข้า มันก็หงุดหงิดใจ ทำให้เราหงุดหงิดใจขึ้นมา

ถาม : แล้วถ้าเรามองเห็นปุ๊บก็เห็นหนัง เห็นฟัน แล้วก็เห็นความแก่ของเขาละคะ พระอาจารย์

พระอาจารย์ : ก็เห็นแบบไหนก็ได้ ขอให้เห็นแล้ว มันทำให้กามารมณ์มันดับไปได้ก็แล้วกัน เห็นโครงกระดูกอย่างนี้ เห็นโครงกระดูกไหม ตัวเรานี่มีโครงกระดูกไหม มองเข้าไปให้เห็นโครงกระดูก มันมีอยู่ เพียงแต่เราไม่คิดถึงมันเอง ใช่ไหม มีหรือเปล่า ในร่างกายเรามีโครงกระดูกอยู่หรือเปล่า แต่ไม่เคยคิดถึงมันใช่ไหม ไม่เคยคิด ไม่เคยเห็นเลยใช่ไหม ต้องหัดมองมันมั่ง ถ้าเราเกิดกามารมณ์ ก็ต้องมองคนที่ทำให้เราเกิดความรู้สึก ส่วนถ้ามองตัวเรา ก็ต้องมองเพื่อดับความหลงว่าเราสวยเรางาม ถ้าชอบคิดว่าเราสวยเรางาม ก็ให้มองทะลุเข้าไปใต้ผิวหนังของเราเอง จะได้ไม่ต้องไปเสียเงินไปทำศัลยกรรมตกแต่งอะไร ให้เสียเวลา ไม่ต้องย้อมผมให้มันเสียเวลา ก็เพียงแต่ดูแลให้มันสะอาดและเรียบร้อยก็พอแล้ว ให้มันเป็นธรรมชาติ พูดง่ายๆ ดูแลแบบธรรมชาติ


ต้องเป็นมนุษย์ถึงจะบรรลุธรรมได้
ถาม : ต้องเป็นมนุษย์อย่างเดียวใช่ไหมครับ ถึงจะบรรลุธรรมได้

พระอาจารย์ : ก็เป็นเทวดาก็ได้ แต่ต้องมีคนสอน คนที่ติดต่อกับเทวดาได้ คือจิตที่เป็นเทวดาก็คือจิตระดับเทวดา พวกที่ทำบุญ รักษาศีล ๕ นี่ เวลาตายไปก็จะเป็นเทวดา แล้วพวกนี้ก็ถ้ามีพระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้าที่ติดต่อกับกายทิพย์ได้ ก็จะเรียนจากพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ได้ แต่ถ้าเป็นมนุษย์มันจะง่ายกว่า เพราะพระพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์ พระอรหันต์ก็เป็นมนุษย์ ดังนั้นก็มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังธรรมง่ายกว่าพวกเทวดา
ธรรมะหน้ากุฏิ


วิธีดับโกรธ ก็คือการให้อภัย
ถาม : ถ้าคิดอะไรไม่ดี พอเราเบรกแล้ว ตำหนิต่อ ก็เลยรู้สึกเครียดมาก

พระอาจารย์ : นั่นไม่ได้เป็นการเบรก เป็นการเหยียบคันเร่งโดยที่คิดว่าเป็นการเบรก ต้องเบรกด้วยเหตุผล เวลาคิดเรื่องไม่ดีก็ควรคิดว่า คิดแล้วทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา ไม่เกิดประโยชน์อะไร เช่นเวลาโกรธ ใครทุกข์ละ คนที่ถูกโกรธหรือคนที่กำลังโกรธ คนที่กำลังโกรธจะร้อนเป็นไฟ แต่คนที่ถูกโกรธไม่รู้เรื่องเลย นอนหลับสบาย โมโหสามีนอนไม่หลับทั้งคืน แต่สามีนอนหลับสบาย ต้องให้อภัยสามี จะได้นอนหลับ วิธีดับความโกรธก็คือการให้อภัย ไม่จองเวร ถ้ายังให้อภัยไม่ได้ ก็อย่าไปคิดเรื่องที่ทำให้โกรธ ให้คิดพุทโธๆไปเรื่อยๆจนหลับไป พอตื่นขึ้นมาก็จะลืม

ถาม : ถ้าเราวางมัน ก็ต้องทำให้เราเบา ไม่ใช่วางแล้วหนัก

พระอาจารย์ : ใช่  ถ้าวางแล้วหนัก ก็ไม่ได้วาง


แย่งความคิดมาใช้ทางธรรม
ถาม : ภาวนาอยู่ที่บ้าน ให้มีสติพิจารณา แต่ความคิดมันแวบไปเรื่อย มันแวบถี่ๆ ต้องอยู่กับพุทโธ แต่ก็ยังหลุดอยู่เรื่อย

พระอาจารย์ : บริกรรมพุทโธหรือพิจารณาเกิดแก่เจ็บตายไป ท่องไปก่อนก็ได้ ท่องว่าเกิดแก่เจ็บตาย อนิจจังทุกขังอนัตตา อย่าให้จิตคิดเรื่องอื่น กิเลสกับธรรมจะแย่งความคิดกัน แล้วแต่ว่าใครจะเอามาคิด ถ้ากิเลสเอามาคิดก็จะสร้างความทุกข์ขึ้นมา ถ้าเอาธรรมะมาคิด ก็จะทำให้จิตสงบ ถ้าท่องอนิจจังทุกขังอนัตตา เกิดแก่เจ็บตายไว้ ความคิดอยากในกาม อยากมีอยากเป็น ห่วงนั่นห่วงนี่ ก็จะไม่มีโอกาสได้คิด

ถาม : บางทีความคิดไหลมาอย่างไม่ปะติดปะต่อกัน

พระอาจารย์ : ถ้าเราไม่แย่งความคิดมาใช้ทางธรรม มันก็ไปคิดเรื่องอื่นทันที


เป็นปัญญาเฉพาะกิจ
ถาม : ปกติเวลานั่งสมาธิจะกำหนดลมหายใจ ถ้านิ่งดีก็จะสงบไปเลย แต่บางวันจิตฟุ้งมาก ก็จะดึงเอาศพคุณแม่มาดูบ้าง เอาศพคนอื่นมาดู แล้วก็พิจารณาไปเรื่อยๆ ใจก็จะสลดลง แล้วก็เข้าสู่สมาธิ เป็นปัญญาอบรมสมาธิ คือในคนๆเดียวกัน สามารถเลือกใช้ได้ใช่หรือไม่

พระอาจารย์ : ใช่ เลือกได้ วิธีไหนก็ได้ใน ๒ วิธีนี้ ปัญญาอบรมสมาธิ ก็คือการพิจารณาอริยสัจข้อแรกคือทุกขสัจ พิจารณาเกิดแก่เจ็บตาย พิจารณาอสุภะ หรือพิจารณาเวทนาความเจ็บปวดในขณะที่นั่งก็ได้ พิจารณาจนปล่อยวางเวทนาได้ จิตก็รวมลงสู่ความสงบได้ ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้เวทนาที่กำลังเกิดขึ้น ไม่ได้อยากให้มันหาย หรือกลัวมัน ปล่อยมันไปตามเรื่อง
 
ถาม : บางทีกำหนดลมหายใจแล้วเอาไม่อยู่ ก็เลยดึงศพคุณแม่มาดู

พระอาจารย์ : เป็นการทำสมาธิ พอได้สมาธิแล้วก็ต้องเจริญปัญญา เพื่อละอุปาทานความยึดติดในขันธ์ ๕ เช่นยึดติดในร่างกาย ตอนที่ทำปัญญาอบรมสมาธินี้ เป็นปัญญาเฉพาะกิจ ทำเพื่อให้จิตสงบ แต่มีผลพลอยได้ตามมาด้วย คือได้ปัญญาละอุปาทานในขันธ์ ถ้าพิจารณาร่างกายและเวทนา ยิงทีเดียวได้นกถึง ๒ ตัว ได้ทั้งสมาธิได้ทั้งปัญญา ปล่อยวางเวทนาได้ แต่ยังมีกิเลสที่ละเอียดกว่า ที่ต้องใช้ปัญญาเข้าไปขุดคุ้ย หลวงตาท่านเทศน์ว่า ตอนต้นกิเลสจะออกมาเพ่นพ่าน พวกนี้จับง่าย พอพวกที่ออกมาเพ่นพ่านหมดไปแล้ว เหลือพวกที่ซ่อนอยู่ ต้องขุดคุ้ย เหมือนไก่ขุดคุ้ยหาตัวไส้เดือนตัวหนอนที่ซ่อนอยู่ในดิน ต้องวิเคราะห์ดูความรู้สึกในใจ ถ้าเศร้าหมองแสดงว่าเป็นปัญหา ต้องแก้ด้วยปัญญา.


ไม่เห็นยากตรงไหนเลย
ถาม : ฝึกทำสมาธิ มีวิธีไหนที่ทำให้มันอยู่ นั่งแล้วจะลอยไปเรื่อย

พระอาจารย์ :  มีแต่เราไม่ทำกัน ไปอยู่วัดสิ อยู่คนเดียว ตัดทุกอย่าง ทนเอาปี สองปีก็ต้องได้อะไรแน่ๆ เราเองทนอยู่ปีหนึ่ง อยู่คนเดียว ลาออกจากงาน แล้วอยู่คนเดียวเพื่อเจริญสติสมาธิปัญญา ไม่เห็นยากตรงไหนเลย แค่นี้ทำไมจึงตัดไม่ได้กัน เพียงปีเดียวกับการเจริญสติ ให้เวลากับอย่างอื่นเป็นสิบๆปีได้ แต่ให้กับสิ่งที่มีสาระมีคุณมีประโยชน์กับใจไม่ได้ ถ้าให้ไม่ได้ก็จะไม่ได้มรรคผล

ถาม : เอาแบบเริ่มต้น ยังไม่ต้องถึงขนาดนั้น

พระอาจารย์ : พุทโธๆไปเรื่อยๆ อย่าคุยกับตัวเอง ให้รู้อยู่กับงานที่กำลังทำ อย่าไปคิดเรื่องอื่น แปรงฟันก็ให้อยู่กับแปรงฟัน พุทโธๆไปแปรงฟันไป กินข้าวไปพุทโธๆไป เท่านั้นพอ อย่าไปคุยกับคนอื่น


พ่อแม่เป็นเหมือนพระอรหันต์ของลูก
ถาม : พ่อป่วยไม่สบายมาเกือบ ๔ ปีแล้ว พี่ๆสามคนเขารวมหัวกันเกี่ยงให้เป็นหน้าที่ของผมคนเดียว เคยขอให้เปลี่ยนบ้างก็ไม่ได้ ให้ช่วยค่าใช้จ่ายบ้างก็ไม่ได้ พูดขออะไรก็ไม่ร่วมมือเลย จนรู้สึกรังเกียจแทบไม่อยากนับเป็นพี่น้อง บางครั้งเครียดมาก มีครอบครัวพี่อีกคนที่พึ่งพาได้ ไม่รู้จะทำอย่างไรครับ

พระอาจารย์ : เราควรจะคิดใหม่ เราควรจะคิดว่าการได้เลี้ยงดูตอบแทนคุณพ่อแม่นี้เป็นบุญอย่างมาก เพราะพ่อแม่ของเรานี้เป็นเหมือนพระอรหันต์ของลูกๆ การได้ตอบแทนบุญคุณกับพ่อแม่นี้ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมาก ได้บุญมาก ถ้าคนอื่นเขาไม่อยากจะได้บุญ เรามาเหมาหมดเลย ต้องคิดแบบนี้ แล้วเราจะมีความสุขจากการที่เราเลี้ยงดูพ่อแม่  เราไม่นึกถึงบุญคุณของพ่อแม่กัน เราเลยมาเกี่ยงกัน ทำไมเราไม่นึกถึงตอนที่เราเป็นเด็ก ตอนที่เราช่วยตัวเราเองไม่ได้ พ่อแม่ต้องทุกข์ยากลำบากกับเราขนาดไหน ช่วงคลอดออกมาใหม่ๆ นี้ เดี๋ยวก็ร้อง ดึกๆ ดื่นๆ ก็ร้อง พ่อแม่นอนหลับก็ต้องตื่นขึ้นมาดูว่า “มันเป็นอะไรนะ ปวดท้อง หิว หรืออะไร ต้องมาคอยบำบัดความทุกข์ให้อยู่ตลอดเวลา เพราะไม่คิดถึงบุญคุณของพ่อแม่ เราก็เลยเกี่ยงกัน   แต่ถ้าเราคิดถึงบุญคุณของพ่อแม่แล้ว เราอยากจะตอบแทนบุญคุณคนเดียว อยากจะเหมาเอาคนเดียว คนอื่นไม่เอาไม่เป็นไร เพราะว่าบุญคุณของพ่อแม่นี้ยิ่งใหญ่มหาศาล เพราะไม่มีพ่อแม่จะมีเราได้อย่างไร เราเกิดมาเป็นคนได้นี้ ถ้าไม่มีพ่อแม่จะมาเกิดเป็นคนได้อย่างไร พระพุทธเจ้าทรงบอกว่าบุญคุณของพ่อแม่นี้ ต่อให้เลี้ยงดูท่านดีขนาดไหนก็ตาม แบกท่านไว้บนบ่าบนไหล่ ให้ท่านอุจจาระปัสสาวะใส่เราไปจนถึงวันตาย บุญคุณของท่านก็ใช้ไม่หมด อันนี้แหละคือความยิ่งใหญ่ของพ่อแม่ของเราที่พวกเราไม่มีใครสอนกัน ไม่มีใครให้คิดกัน คิดแต่จะเอาประโยชน์จากพ่อแม่อย่างเดียว พ่อแม่มีสมบัติเท่าไหร่เดี๋ยวแย่งกันแล้ว ใช่ไหม นี่พ่อแม่ตายมาตีกันแล้ว มาตีมาแย่งสมบัติกัน แต่เวลาพ่อแม่ต้องการความช่วยเหลือของเรา ไม่มีใครมาแย่งช่วยเหลือกันเลย เพราะความโลภความหลงของเรา ความเห็นแก่ตัวของเรา อยากจะได้ประโยชน์ ไม่อยากจะรับภาระ


พร้อมที่จะเผชิญ
ถาม : เรื่องการเจ็บป่วย ไม่ทราบว่าวาระสุดท้ายของเรา จะทุกข์ทรมานขนาดไหน ถ้าจิตใจไม่มีความพร้อมแล้ว จะลำบากมาก

พระอาจารย์ : ถ้าไม่มีธรรมโอสถ ไม่มียารักษาใจ พอร่างกายเป็นอะไร ใจก็เป็นตามร่างกายไป ร่างกายยังพอมียารักษา แต่ใจไม่มี ถ้าไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้สร้างธรรมโอสถ ถ้ามีก็สบาย ไม่เดือดร้อน

ถาม : ตอนนี้ก็เลยกลัวว่า จะไม่พร้อมที่จะเผชิญกับภาวะนั้น

พระอาจารย์ : ทำไมปล่อยให้ไม่พร้อมละ

ถาม : ก็พยายามทำอยู่ แต่ก็อาจจะไม่กล้าหาญ อย่างที่พระอาจารย์พูด ความกลัวหลายอย่างมันยังมีอยู่ในใจ

พระอาจารย์ : มันเหมือนวงจรอุบาทว์นะ จะออกจากความทุกข์ได้ ก็ต้องเผชิญกับความทุกข์ พอกลัวความทุกข์ก็เลยออกไม่ได้ ก็ยังวนเวียนอยู่กับกองทุกข์นี้อยู่ ควรมองว่า เหมือนกับมีเสี้ยนมีหนามตำเท้าเรา เวลาเดินแต่ละครั้งมันก็เจ็บ ถ้าเราถอนผ่ามันออกมา อาจจะเจ็บหน่อย แต่เจ็บไม่นาน พอแผลหายแล้วก็สบาย เป็นความทุกข์ระยะสั้น ไม่ได้ทุกข์ไปตลอด เหมือนทุกข์ที่เราติดอยู่ ที่นานเป็นกัปเป็นกัลป์   แต่ความทุกข์ที่ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์นี้ แค่ ๗ วัน ๗ คืนเท่านั้น ในยุคที่มีคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่เกิน ๗ ปี ทนไม่ได้หรือแค่ ๗ ปีเท่านั้น หรือว่าจะยอมทุกข์ไปเป็นกัปเป็นกัลป์ ยอมปล่อยให้เสี้ยนหนามติดอยู่ในเท้า ถ้าคิดอย่างนี้ก็จะมีกำลังใจ  ความสุขของพวกเราเป็นแบบสุขๆดิบๆ สุขแล้วก็ทุกข์ ทุกข์แล้วก็สุข วนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้ สุขน้อยกว่าทุกข์ พอสุขแล้วก็จะมีความทุกข์ตามมาเสมอ ส่วนทางปฏิบัติจะทุกข์ก่อนแล้วค่อยสุขทีหลัง ดีกว่าสุขก่อนแล้วทุกข์ทีหลัง.


ภาชนะที่รองรับธรรม
ถาม : ในสภาวะที่เราฟังธรรมอยู่นี้ คือสภาวะที่จิตเราสงบเป็นสมาธิลงไป มันน่าจะรับอะไรได้มากกว่าภาวะธรรมดาๆ ถูกไหมครับ

พระอาจารย์ : ขึ้นอยู่กับภาชนะที่รองรับ ใหญ่หรือเล็ก ถ้าเล็กก็รับได้น้อย ถ้าภาชนะอยู่ในระดับทาน ก็จะรับได้ในระดับทาน ถ้าอยู่ในระดับสมาธิ ก็จะรับได้ในระดับสมาธิ ถ้าอยู่ในระดับทาน มีอะไรก็เอาไปแจกจ่ายหมดเลย อยู่แบบพระไปเลย แสดงว่ามีภาชนะรองรับคำสอนในระดับทานได้อย่างเต็มที่ บางคนฟังแล้วในระดับทานยังทำไม่ได้เลย ทำได้เพียงเล็กๆน้อยๆ พอหอมปากหอมคอ ยังหวงเก็บไว้ซื้อของส่วนตัวมาใช้ มาเที่ยวมากินมาเล่น นี่แสดงว่าขนาดระดับทานยังทำไม่ได้เลย ถ้าทำได้จริงๆจะให้หมดเลย จะเก็บไว้เท่าที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น
ถ้าในระดับศีล จะรักษาศีลได้โดยไม่มีข้ออ้างเลย ไม่มีข้อแม้อะไรทั้งสิ้น จะรักษาได้มากน้อยกี่ข้อกี่วัน ก็อยู่ที่ภาชนะของศีลที่ได้สร้างขึ้นมา ในระดับสมาธิระดับปัญญาก็เช่นเดียวกัน ถ้ามีภาชนะในระดับปัญญา พอแสดงธรรมปั๊บก็จะบรรลุได้ทันที อย่างพระปัญจวัคคีย์เป็นต้น ท่านมีแล้วทั้งทานทั้งศีลทั้งสมาธิ ทานท่านก็สละเรือนออกบวชแล้ว ศีลก็รักษาอยู่ตลอดเวลา สมาธิก็ได้ในระดับฌาน ที่ไม่ได้ก็คือปัญญา มีอยู่บ้างแต่ไม่พอสอนใจให้หลุดพ้นได้ ขาดเพียงอันเดียวคืออนัตตา ท่านเห็นอนิจจัง รู้ว่าเกิดแล้วต้องแก่เจ็บตาย แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดแก่เจ็บ ตายนี้เป็นอะไรกันแน่ ยังหลงคิดว่าเป็นตัวท่านอยู่ พอพระพุทธเจ้าทรงบอกว่า สิ่งที่เกิดแก่เจ็บตายนี้ไม่ใช่ท่าน เป็นตุ๊กตา ได้มาจากพ่อจากแม่ แล้วหลงคิดว่าตุ๊กตาตัวนี้เป็นท่าน มันไม่ใช่ท่าน ไม่ใช่ตัวท่าน พอทรงตรัสอย่างนี้ท่านก็เข้าใจ ก็ปล่อยวางได้.

 9 
 เมื่อ: 14 ชั่วโมงที่แล้ว 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
ครูร้องไห้ เคยซื้อ "รองเท้า" ให้นักเรียนยากจน 30 ปีต่อมา ได้สิ่งตอบแทนเหนือจินตนาการ
         


ครูร้องไห้ เคยซื้อ "รองเท้า" ให้นักเรียนยากจน 30 ปีต่อมา ได้สิ่งตอบแทนเหนือจินตนาการ" width="100" height="100  ครูกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เคยช่วยให้เด็กได้กลับมาเรียน แถมซื้อ "รองเท้า" ให้  ไม่คาดคิดผ่านมา 30 ปี จู่ๆ ได้สิ่งตอบแทนประเมินค่าไม่ได้
         

https://www.sanook.com/news/9390714/
         

 10 
 เมื่อ: 14 ชั่วโมงที่แล้ว 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
ครูร้องไห้ เคยซื้อ "รองเท้า" ให้นักเรียนยากจน 30 ปีต่อมา ได้สิ่งตอบแทนเหนือจินตนาการ
         


ครูร้องไห้ เคยซื้อ "รองเท้า" ให้นักเรียนยากจน 30 ปีต่อมา ได้สิ่งตอบแทนเหนือจินตนาการ" width="100" height="100  ครูกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เคยช่วยให้เด็กได้กลับมาเรียน แถมซื้อ "รองเท้า" ให้  ไม่คาดคิดผ่านมา 30 ปี จู่ๆ ได้สิ่งตอบแทนประเมินค่าไม่ได้
         

https://www.sanook.com/news/9390714/
         

หน้า:  [1] 2 3 ... 10
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.118 วินาที กับ 21 คำสั่ง

Google visited last this page 4 ชั่วโมงที่แล้ว