[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
06 พฤษภาคม 2567 02:53:59 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: การฝึกฝนอบรมจิตใจ : พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี  (อ่าน 754 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1021


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 77.0.3865.90 Chrome 77.0.3865.90


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 08 ตุลาคม 2562 16:35:13 »



การฝึกฝนอบรมจิตใจ
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ขลบุรี

จิตใจของพวกเราเหมือนม้าที่เราขี่ ม้าที่ขี่นี่ก็มี ๒ ชนิด ม้าป่ากับม้าที่ได้รับการฝึกฝนอบรมจะมีความแตกต่างกัน ม้าป่านี่ขี่ยาก มันมีแต่คอยจะพยศ คอยแต่จะทำให้คนขี่ตกจากหลังม้าอยู่เรื่อยๆ ส่วนม้าที่ได้รับการฝึกฝนอบรมแล้วนี้เป็นม้าที่เชื่อง ให้ทำอะไรก็ทำ ให้อยู่เฉยๆ ก็อยู่เฉยๆ ให้เดินไปข้างหน้าให้ถอยหลัง ให้เต้นระบำ เห็นไหมม้าในโรงละครสัตว์นี่ ให้เขาแสดงอะไร ม้าที่ทหารเอามาสวนสนาม ม้าพวกนี้เป็นม้าที่ได้รับการฝึกฝนอบรม ได้รับการทรมานแล้ว ม้าเวลาจะฝึกฝนอบรมมันนี้ ถ้าไม่ทรมานมัน มันไม่ยอม มันไม่เชื่อ มันจะดื้อ ต้องมีการทรมานมัน บังคับมัน มีบังเหียนคอยบังคับ ควบคุมมันที่ปาก เวลามันดื้อก็ดึงมัน มันก็เจ็บปาก มันก็ไม่กล้าดื้อ ฉะนั้น จิตของพวกเราก็เป็นเหมือนม้าที่เราขี่กันนี่ แต่จิตของพวกเรานี้ส่วนใหญ่จะเป็นเหมือนม้าที่ยังเป็นเหมือนม้าป่ากัน ม้าที่ยังไม่ได้รับการควบคุมบังคับอบรม จิตของพวกเราเป็นจิตป่า จิตของม้าป่า จิตของม้าที่ได้รับการอบรมเรียบร้อยแล้วนั้นก็คือจิตของพระอริยสาวก จิตของพระอริยสาวกนี้จะเป็นจิตที่เชื่อง จิตที่ไม่พยศ จะอยู่ภายใต้อำนาจคำสั่งของผู้ขี่ ลองถามตัวเราเองดู สังเกตตัวเราเองดูว่า จิตของเราเป็นจิตประเภทไหน เราสามารถควบคุมจิตใจของพวกเราได้ทุกวันทุกเวลาหรือไม่ หรือบางเวลามันก็เตะเรา เขี่ยเรา เวลาที่เราไม่ฝึกฝนอบรมมัน ไม่คอยควบคุมบังคับมัน ปล่อยให้มันเป็นไปตามอารมณ์ของมัน วันไหนอารมณ์ดีมันก็ดีแสนดี วันไหนอารมณ์ไม่ดีมันก็ดื้อ เพราะไม่มีใครที่จะมาเป็นผู้ฝึกมัน

ถ้าเราไม่รู้จักวิธีฝึกฝนอบรมจิตใจของพวกเรา เราก็ต้องไปหาผู้ที่รู้วิธี จิตมันดื้อเหลือเกิน ก็ต้องทำให้มันเชื่อง ให้มันไม่พยศ ให้รู้จักวิธีอบรมจิตใจให้หายพยศได้ ก็จะไม่มีคำว่าดื้อ ถ้าดูกันจริงๆแล้ว ดื้อด้วยกันทุกคน แต่ชอบไปว่าคนอื่นเขาดื้อ ไม่อยู่ในโอวาท มันไม่ยอมอยู่ในความสงบ ถ้าสงบแล้วก็จะสบาย มันก็จะไม่มีปัญหา แต่ถ้าสั่งแล้วมันดื้อ ก็วุ่นวายเดือดร้อน เพราะไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือมาอบรมจิตใจ ก็เลยวิตกกังวล ไม่สามารถควบคุมอารมณ์จิตใจของเราให้อยู่อย่างปกติสุข ถ้าเราได้พบคนที่ฉลาด คนที่รู้จักควบคุมอบรมจิตใจมาสอน เราก็จะฝึกฝนอบรมจิตใจเราได้ แต่ถ้าเรายังชอบขี่ม้าพยศ ก็ต้องโทษตัวเราเอง ที่ยังขอกั๊กไว้ก่อน ยังทำอย่างอื่น สร้างความวุ่นวายใจต่างๆ เรามาเกิดเป็นมนุษย์นี้ไม่รู้กี่ชาติแล้ว แล้วทุกครั้งที่เรามาเกิดก็มีความทุกข์ มีแต่พระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์เท่านั้นที่ท่านได้ฝึกฝนอบรมจิตใจของท่านได้อย่างดี จิตใจของท่านจึงมีแต่ความสุข ให้แต่ความสุข เมื่อก่อนท่านก็เป็นเหมือนเรา แต่ท่านมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะมีแต่ความสุข แต่เพราะไม่มีใครสอนให้ท่านได้ ท่านก็เลยไปค้นคว้าไปวิจัยด้วยตนเอง ทำการวิจัยไป ค้นคว้าไปเพื่อหาวิธีที่ถูกต้อง วิธีที่สามารถควบคุมอบรมจิตใจให้อยู่อย่างสงบไปตลอด ไม่ว่าจะเข้าไปในสมาธิหรือไม่เข้าไปในสมาธิ จิตใจก็ไม่พยศเหมือนเมื่อก่อน

เมื่อก่อนนี้ จิตใจเมื่อเข้าไปในสมาธิก็หายพยศ แต่พอออกจากสมาธิมา จิตใจก็เริ่มพยศขึ้นมาทันที ไม่มีใครรู้วิธีที่จะทำให้ใจไม่พยศ ตอนที่ไม่ได้อยู่ในสมาธิ รู้แต่วิธีตอนที่เข้าในสมาธิเท่านั้น ถ้าเวลาใดจิตพยศ อยากให้มันหายพยศก็ไปเข้าสมาธิกัน พอออกจากสมาธิมา เดี๋ยวก็กลับมาพยศใหม่ ไม่มีใครสามารถสอนพระพุทธเจ้าได้ เพราะไม่มีใครรู้วิธี ก็เลยต้องทรงค้นคว้าวิจัยหาสาเหตุ หาวิธีที่จะมารักษาความสงบเมื่ออกจากสมาธิ ทรงคิดหาวิธีโดยนั่งอยู่ที่โคนต้นโพธิ์ ทรงค้นพบวิธีให้ใจสงบโดยไม่ต้องเข้าสมาธิ พระธรรมคำสอนนี้ไม่ปรากฏในศาสนาอื่น ทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าคือเรียนรู้ด้วยตนเอง ถ้าไม่ตรัสรู้เองก็ไม่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตใจของพวกเรานี้เป็นเหมือนดอกเห็ดที่เกิดต่อเนื่องไม่ขาดตอนมา ๒,๕๐๐ กว่าปี ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าก็ตายไปนานแล้ว แต่คำสอนให้เป็นพระอรหันต์นี้ยังอยู่ต่อ อยู่ในคราบของหนังสือคือพระไตรปิฎก และอยู่ในคราบของพระอรหันตสาวก คำสอนที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนนี้ จะถ่ายทอดเข้าสู่ใจของพระอรหันตสาวกทุกๆ พระองค์ ใจของพระอรหันตสาวกทุกๆ พระองค์นี้มีคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ในใจทุกๆพระองค์ สามารถสอนแทนพระพุทธเจ้าได้ทุกๆพระองค์ สามารถสอนคนอื่นให้พัฒนาจิตใจได้ ถ้าฟังคำสอนและนำไปปฏิบัติ เอาไปอบรมจิตใจ จนจิตใจนี้หายพยศ จิตใจตั้งอยู่ในความสงบตลอดเวลา เพราะตัวที่มาสร้างความพยศให้กับจิตใจได้รับการกำจัดไปด้วยวิธีปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตัวที่มาสร้างความพยศให้จิตใจมีหลายช่องด้วยกัน เหมือนนักโทษ ผู้คุมนี้จะต้องรู้ทันมัน มันจะไปทางไหนก็รู้ทัน จะใช้เงินทองซื้อตามความอยากของกิเลสตัณหาก็เอาไปทำบุญให้มันหมด ที่ยังอยากใช้เงินตามกิเลสก็ไปหาเงินกันตอนนี้ คนไม่หาเงินก็มาวัดได้ คนที่หาเงินนี้เขาวุ่นวายไปหมด ๕ วันก็หาเงิน อีก ๒ วันก็ใช้เงิน ไม่มีวันที่จะมาควบคุมอบรมจิตใจให้อยู่ในความสงบได้ จิตใจมันก็จะแผลงฤทธิ์อยู่ ถ้าจะเอาเงินไปใช้ตามกิเลสตัณหานี้ เอาไปทำบุญให้หมดเลย อย่าไปซื้อของฟุ่มเฟือย นอกจากของจำเป็นซื้อได้

การฝึกฝนอบรมจิตใจนี่เหมือนล้อมคอกจับวัวควาย ขั้นต้นปิดมันไว้ก่อน เหมือนวัวควายนี้ ถ้าไม่มีคอกมันจะออกไป วิ่งไปตามทุ่งนาทุ่งไร่ เวลาจะจับมันนี่มันลำบาก มันอยู่ที่กว้างมากและวุ่นวายใจ ที่เกิดจากการกระทำบาปต่างๆ หรือการเสพอบายมุขนี่ ถ้าเราไม่มีเงินเราก็จะไปเสพอบายมุขไม่ได้ ไปดื่มสุราไม่ได้ ไปเล่นการพนันไม่ได้ ไปเที่ยวเตร่ไม่ได้ ไปคบกับพวกที่ชอบเล่นการพนัน ชอบดื่มสุราไม่ได้ เพราะถ้าคบกับพวกนี้ เดี๋ยวเขาก็จะชวนเราไปดื่มสุรา ไปเล่นการพนัน ไปเที่ยวเตร่ แต่ถ้าเรารักษาศีลก็จะทำให้เราสามารถละการกระทำบาปและเสพอบายมุขได้ เพราะถ้าเราอยากได้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง อยากทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วไม่สามารถทำได้โดยวิธีไม่ทำบาป ก็ต้องเลือกด้วยวิธีการทำบาป อย่าทำบาปเพราะทำแล้วจะทำให้จิตใจเราวุ่นวายใจ จิตใจเราจะทุกข์ จะกังวลจะหวาดกลัว จะไม่สบายใจเวลาที่เราทำบาป ลองสังเกตดูเวลาที่เราทำบาป กับเวลาที่เราไม่ทำบาปนี่ ความรู้สึกทางจิตใจมันต่างกันไหม ทำบาปแล้วใจจะร้อนใจจะวุ่นวาย ไม่สบายใจ แต่ถ้าไม่ได้ทำบาปนี้ ใจเย็นใจสบาย อันนี้ก็เป็นคอกที่ ๒ คอกแรกก็คือไม่ให้มันออกไปทางใช้เงินทอง แล้วคอกที่ ๒ ก็ไม่ให้มันออกไปในการทำบาป พอมันไม่ทำบาป ใจก็จะสงบมากกว่าเวลาทำบาป เวลาทำบาปใจจะไม่สบาย ใจจะวุ่นวาย

นี่คือวิธีกักขังตัวที่มาสร้างความวุ่นวายใจ ไม่ให้มันออกมาสร้างความวุ่นวายใจใน ๒ ระดับ ระดับแรกก็คือการใช้เงิน ไห้หาเงินโดยไม่ทำบาป ไปหางานทำ หรือไปเก็บผักหรือเก็บอะไรกิน โดยไม่ต้องทำบาปดีกว่า พอทำบาปแล้วมันจะทำให้เราต้องมาเสียใจ อย่าไปเสพอบายมุข แล้วความวุ่นวายใจต่างๆจะลดน้อยลง ความสงบใจจะเพิ่มมากขึ้น แต่ยังไม่สงบอย่างเต็มที่ อย่างตลอดเวลา เพราะตัวก่อเหตุคือกิเลสตัณหามันยังไม่ได้ตายไปจากการควบคุม จากการทำทาน หรือจากการรักษาศีล มันถูกควบคุมบังคับให้ไม่ให้ออกไปสร้างปัญหาให้กับเรา เท่านั้นเอง แต่มันจะถูกกักขังบริเวณให้อยู่ในบริเวณที่สามารถที่จะไปจับมันมาให้มันอยู่ในความสงบได้ พอเรามีศีลแล้ว เราก็สามารถทำกิเลสตัณหาที่มันใหญ่ให้มันเล็กลง ศีลนี้เป็นเหมือนคอก ศีล ๕ นี่มันยังเป็นคอกใหญ่อยู่ ถ้าอยากจะจับมันไปให้มันอยู่เฉยๆ นี่ ต้องใช้ศีล ๘ ต้องเพิ่มให้คอกนี่มันเล็กลง เพราะศีล ๘ นี่จะห้ามไม่ให้กิเลสตัณหาไปทำอะไรอีกหลายอย่าง ถ้าถือศีล ๕ ยังอนุญาตให้ไปร่วมหลับนอนกับแฟนได้อยู่ แต่พอถือศีล ๘ นี้ ไม่ให้หลับนอนกับใครแล้ว ให้นอนคนเดียว หมอนข้างก็ไม่ให้มี คนที่นอนคนเดียวแล้วยังมีหมอนข้างนี้ ยังถือว่ายังเป็นกิเลสอยู่ ทำไมต้องมีหมอนข้างด้วย มีไว้กอด ใช่ไหม กอดนี่ก็เป็นกิเลส เป็นกาม “กามราคะ” ถ้านอนคนเดียวก็อย่าไปมีหมอนข้าง ถ้าอยากจะกำจัดกิเลสตัณหาตัวที่มาก่อกวนสร้างความวุ่นวายใจให้กับเรา ก็ต้องนอนคนเดียว ถือศีล ๘ อาหารก็ไม่ให้กินมากจนเกินไป ให้กินตามความต้องการของร่างกาย ซึ่งกินครั้งเดียวหรือ ๒ ครั้งก็พอเพียง เหลือเฟือ ไม่ต้องกินแบบตามความอยาก อยากจะกินเมื่อไหร่ก็กิน อันนี้เป็นการกันกิเลสตัณหาไม่ให้ออกมาเผ่นพ่านอีกระดับหนึ่ง คือให้ถือศีล ๘ ไม่ให้กินข้าวเย็น ไม่ให้ออกไปเที่ยวตามสถานที่บันเทิงต่างๆ ไม่ให้ดูมหรสพ ไม่ให้ร้องรำทำเพลง เพื่อจะได้มีเวลามาควบคุมจิตใจ มาฆ่ากิเลสตัณหาให้มัน ตายอย่างถาวร ถ้าไม่มีเวลามันจะทำไม่ได้ ถ้าเราไม่รักษาศีล ๘ เดี๋ยวเราก็ไปโน่นมานี่ได้ ตอนเย็นถ้าใครมีงานเลี้ยง งานวันเกิด เขาเชิญไปก็ไปได้ วันนั้นก็จะไม่ได้ภาวนา ไม่ได้มาเดินจงกรม นั่งสมาธิ มาทำใจให้สงบ

คอกที่ ๓ ก็คือนี่ ศีล ๘ นี่ ถึงแม้จะอยู่ในคอก มันยังวิ่งหนีเราได้อยู่ ถ้าเราไม่มีเชือกมารัดมัน ก็ไล่มันไม่ทัน มันวิ่งไปวิ่งมา เราต้องเอาเชือกมารัดมัน เชือกที่จะมารัดกิเลสตัณหาก็คือสตินี่เอง สตินี้จะมาหยุดความคิด ถ้าเราหยุดความคิดได้ เราก็จะหยุดกิเลสตัณหาได้ เพราะกิเลสตัณหามันอาศัยความคิดเป็นเครื่องมือนั่นเอง ถ้าเราไม่คิดเราก็จะไม่เกิดกิเลสตัณหาขึ้นมา พอเราคิดถึงอะไร กิเลสตัณหาก็จะโผล่ขึ้นมาทันที คิดถึงขนมก็อยากกินขึ้นมาทันที คิดถึงเกมก็อยากเล่นขึ้นมาทันที คิดถึงสถานที่ท่องเที่ยวก็อยากจะไปทันที คิดถึงแฟนก็อยากจะไปหาแฟนทันที แต่ถ้าเราไม่คิดถึงสิ่งเหล่านี้ได้ ความอยากก็จะไม่เกิด กิเลสความโลภ ความอยากก็จะไม่เกิด นี่คือวิธีที่เราจะจับกิเลสตัณหา ที่เป็นเหมือนวัวควายนี้ให้มันอยู่เฉยๆ วัวควายที่เราต้องการให้มันอยู่เฉยๆ เราก็ต้องเอาเชือกไปมัดมัน มัดเท้าทั้ง ๔ จับมันนอนลง แล้วก็มัดเท้าทั้ง ๔ ทีนี้ มันก็ดิ้นไปไหนไม่ได้แล้ว ทีนี้ ต้องการจะฆ่ามันก็ง่ายละซิ สตินี้เป็นเหมือนเชือกที่จะใช้เอามามัดกิเลสตัณหา ไม่ให้มันดิ้น แต่มันยังไม่ตาย กิเลสตัณหาจะตายนี่ต้องอาศัยมีด คือปัญญา ต้องเอาปัญญามาตัดมาเชือดมัน กิเลสตัณหาถึงจะตาย ตอนต้นเรามีสติ เรานั่งสมาธิจิตสงบนี้ เท่ากับเราจับวัวควายมามัดให้มันนอนอยู่เฉยๆ เราจับให้กิเลสตัณหาหยุดทำงาน เวลาเราทำสมาธิ แต่กิเลสตัณหายังไม่ตาย ถ้าออกจากสมาธิมา ปล่อยเชือกออกเท่านั้น เดี๋ยวมันก็วิ่งใหม่อีกแล้ว เดี๋ยวมันก็ไปวิ่งเต้นใหม่

พอออกจากสมาธิมา ถ้าไม่ควบคุมด้วยสติตลอด เดี๋ยวไปแล้ว เดี๋ยวคิดถึงขนม คิดถึงกาแฟ คิดถึงคนนั้นคิดถึงคนนี้ ก็อยากขึ้นมาทันที ถ้าต้องการที่จะควบคุมมัน ก็ต้องใช้ปัญญา ถ้าไม่มีปัญญา ก็ต้องใช้สติไปก่อน ไปเอาเชือกกลับมามัดมันใหม่ แต่ก็จะหยุดมันได้เป็นพักๆ เป็นชั่วครั้งชั่วคราวไป ถ้าอยากจะทำให้มันตายเลยนี่ ต้องเอามีดมาแทงมันเลย พอมันออกจากสมาธิมา มันจะดิ้นก็แทงมันเลย พอปล่อยเชือกออกปั๊บ มันจะดิ้นก็แทงมันเลย คือ ปัญญา ปัญญาจะสอนให้เรารู้ว่า สิ่งที่ให้ความสุขกับเรานั้น เดี๋ยวมันจะเปลี่ยนไป หรือมันจะจากเราไปนั่นเอง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ที่จะให้ความสุขกับเรานี้ มันเป็นของชั่วคราว ท่านเรียกว่าเป็น “อนิจจัง” ไม่เที่ยง แล้วเราไปสั่งให้มันเที่ยงไม่ได้ “อนัตตา” ควบคุมบังคับ สั่งให้มันให้ความสุขกับเราไปตลอดเวลาไม่ได้ สั่งให้มันไม่เปลี่ยนไม่ได้ ให้มันดีเหมือนตอนที่เราเจอกันใหม่ๆไม่ได้ ตอนต้นเจอกันใหม่ๆก็ดีแสนดี พออยู่กันไปสักพักหนึ่ง เดี๋ยวมันเริ่มกลายพันธุ์แล้ว จากดีก็ค่อยๆไม่ดีแล้ว ไม่ค่อยดีทีละนิดทีละหน่อย เดี๋ยวกลายเป็นร้ายกาจขึ้นมาเลย ไอ้นี่คือสิ่งต่างๆในโลกนี้เป็นอย่างนี้ จะต้องมีการเปลี่ยนไป หรือมีการหมดไป พอหมดไป ความสุขที่ได้จากมันก็หมดไป ความทุกข์ก็จะกลับโผล่ขึ้นมาแทนที่ ถ้ามีปัญญาก็จะคิดว่า สู้อย่าไปหามันดีกว่า อย่าไปเอามันดีกว่า กลับไปสู่ความสงบดีกว่า อยู่เฉยๆ ดีกว่า ห้ามใจไม่ให้อยากดีกว่า พอเราห้ามใจได้ ต่อไปความอยากมันก็จะหมดกำลัง แล้วพอมันหมดกำลัง มันก็จะไม่โผล่มารบกวนใจเราอีกต่อไป

ตัวที่เป็นเหตุทำให้ใจเราวุ่นวายไม่ใช่ใครที่ไหน ไม่มีใครในโลกนี้จะทำให้เราวุ่นวายใจได้ ใจของเรานั่นแหละไปวุ่นวายกับเขาเอง ถ้าเราไม่ไปยุ่งกับเขาแล้ว เขาไม่สามารถจะมาทำให้เราวุ่นวายใจได้ ใช่ไหม คนที่เราไม่รู้จัก เขามาทำให้เราวุ่นวายใจได้หรือเปล่า คนในโลกนี้มีตั้งกี่ล้านคน เราวุ่นวายใจไปกับเขาหรือเปล่า แต่ถ้าเรามาวุ่นวายใจกับเขา ก็เพราะว่าเขาไม่เป็นไปตามใจของเราก็เสียใจ โกรธขึ้นมา น้อยใจ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขา อยู่ที่เรา อยู่ที่กิเลสของเรา ถ้าเราจะฆ่า ให้มาฆ่ากิเลส อย่าไปฆ่าร่างกาย เวลาใช้ปืนฆ่า ปืนเขาก็ยังเอาไปใช้ประโยชน์ได้ แต่คนที่ฆ่านั่นแหละที่เขาจะเอาไปทำลาย นี่แหละคือตัวที่เป็นปัญหาก็คือตัวกิเลสตัณหาความอยาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง โมหะอวิชชา ความไม่รู้ว่าอะไรผิดถูกดีชั่วนี่เอง คือโมหะอวิชชา ไม่รู้ว่าอะไรเป็นตัวปัญหา นี่อวิชชา คือไม่รู้ว่าตัวที่เป็นปัญหาของพวกเราคือกิเลสตัณหา ไม่รู้เลยว่ากำลังรับใช้กิเลสตัณหา แล้วมันก็กลับมาบีบคั้นจิตใจของเราให้เครียดให้ทุกข์ คิดว่าต้องได้ถึงจะดี ความจริงไม่ได้แหละดี การไม่ได้นี่แหละเป็นสุขมากกว่าเป็นทุกข์ การได้นี่เป็นทุกข์มากกว่าเป็นสุข กลับมองไม่เห็นกัน นี่เรียกว่า “อวิชชา” เข้าใจไหม ไปทุกข์กับสิ่งที่เราไม่มี อย่างสมัยนี้ พระมีทั้งรถ มีทั้งเครื่องบิน พระที่ไม่ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วนี่ จะมีแต่ปัญหาตามมาทั้งนั้น แต่พระที่เชื่อฟังคำสอนของพระพุทธเจ้านี่ ท่านอยู่อย่างสมถะ มีสมบัติ ๘ ชิ้น มีบาตร ผ้า ๓ ผืน ที่โกนหนวด เข็มกับด้าย เข็มขัดรัดเอว มีที่กรองน้ำ พระพุทธเจ้าทรงบอกว่ามีแค่นี้พอแล้ว สมบัติของนักบวช มีมากกว่านี้ก็มีแต่จะมีทุกข์มากขึ้นไปเท่านั้นเอง

นี่คือปัญญา ที่เราจะต้องฝึกฝนอบรมสอนใจ เอามาใช้ควบคู่กับสมาธิ ถ้าไม่มีสมาธิ พอกิเลสมาก็จะทำตามกิเลส ต้องใช้สมาธิหยุดมัน พอกิเลสหยุดแล้วก็ใช้ปัญญา เอามีดทิ่มมันเข้าไปเลย พอออกจากสมาธิมา พอความอยากโผล่มาก็ใช้ปัญญาซัดเข้าไปเลย แต่ถ้าขณะที่ยังไม่เข้าสมาธิ ความอยากมันมาเร็วยิ่งกว่ารถยนต์วิ่ง ๑๒๐ กิโลต่อชั่วโมง หยุดมันไม่ทัน ความอยากมันมากันเป็นพวง เหมือนกระสุนมากันเป็นชุด มันมาแต่ไม่มีกำลังหยุดมัน ถ้ามีสมาธิมันไม่มาหรอก ดังนั้น จึงต้องฝึกฝนจิตใจ ฝึกสติ สมาธิ ปัญญา ซึ่งจะนำความสุขมาให้เพียงอย่างเดียว ฝึกฝนอบรมควบคุมจิตใจ ท่านถึงพลิกจิตใจที่เป็นเหมือนม้าป่า มาเป็นม้าที่เชื่องได้ จิตใจของพวกเราก็เหมือนกัน ตอนนี้เป็นเหมือนม้าป่าที่เราสามารถจะพลิกให้มาเป็นม้าเชื่องได้ ถ้าเราเอาเครื่องมือที่พระพุทธเจ้าได้ทรงฝึกฝนอบรมจิตใจของพระองค์ มาใช้กับจิตใจของพวกเรา จิตใจของพวกเราต่อไปก็จะสงบอย่างถาวร


สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ.๒๕๖๑
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
สร้างธรรมะให้เป็นที่พึ่งกับใจ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
Maintenence 0 957 กระทู้ล่าสุด 02 กันยายน 2562 16:17:35
โดย Maintenence
“ทำใจให้สงบ” พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
Maintenence 0 872 กระทู้ล่าสุด 07 กันยายน 2562 12:56:44
โดย Maintenence
“กระบวนการของการชำระจิตใจ” พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
Maintenence 0 1055 กระทู้ล่าสุด 08 กันยายน 2562 11:10:15
โดย Maintenence
การทำบุญไม่ได้เป็นการสูญเปล่า พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
Maintenence 0 916 กระทู้ล่าสุด 14 กันยายน 2562 09:54:00
โดย Maintenence
เจริญมรรคให้สมบูรณ์ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
Maintenence 0 812 กระทู้ล่าสุด 18 กันยายน 2562 18:32:14
โดย Maintenence
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.023 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 11 พฤศจิกายน 2566 00:14:32