หัวข้อ: การบนบานเทพ-เจ้า เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 06 กันยายน 2557 17:34:14 .
(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2009/08/13/images/news_img_68599_1.jpg) การบนเทพ-เจ้า กระบวนการสื่อสารกับเทพหรือเจ้า คนที่นับถือมักใช้หลักเลือกสิ่งของที่เทพหรือเจ้าถูกใจ ในกรณีที่ไม่รู้ว่าเทพ–เจ้าชอบอะไร ก็ค้นเอาวันเกิด ในกรณีที่รู้หรือมีวันเกิด ท่านเกิดวันอังคาร ก็หาดอกไม้ หรือเสื้อผ้าสีชมพูไปถวาย การแก้บน หรือบูชาด้วยสิ่งของที่มีสีสัน ที่เพิ่งเห็นกันในวันสองวันนี้ ก็คือการบูชาพระราหู มีผู้คิดค้นสรรหาของบูชาได้ถึง ๘ สิ่ง (จำนวน ๘ ใช้หลักกำลังวัน ตามคติโหราศาสตร์) นับแต่ เฉาก๊วย ไก่ดำ ดอกไม้ (ประดิษฐ์) สีดำ ถั่วดำ ข้าวเหนียวดำ ขนมเปียกปูน เหล้าเซี่ยงชุน ขนมน้ำตาลดำ ปลาดุกย่าง และไข่เยี่ยวม้า ฯลฯ แม้แต่ธูปที่กำหนดว่าต้องใช้ถึง ๘ ดอก ก็ต้องเป็นธูปสีดำ หนังสือชื่อหมื่นร้อยพันผสาน เล่ม ๒ (กรมศิลปากรจัดพิมพ์) เรื่องบนบานศาลกล่าว เล่าถึงการบนบาน พระพิฆเนศวรว่า ไม่มีคัมภีร์ฉบับใดในโลกระบุเอาไว้ คนนับถือก็ต้องกางประวัติ และกำหนดของแก้บนเอาเอง บางคนเริ่มจากการเห็นว่าพระคเณศมีเศียรเป็นช้าง ก็เดาเอาว่าท่านคงโปรดของเสวยแบบช้าง จึงมักบนบานกันด้วย กล้วย อ้อย มะพร้าวอ่อน ประวัติพระคเณศบางตอน เล่าว่าท่านโปรดเสวยขนมต้ม วันหนึ่งเสวยจนอิ่มก็ทรงขี่หนูที่เป็นพาหนะเหาะไป ระหว่างมีงูเลื้อยตัดหน้า หนูตกใจหยุดกะทันหัน พระคเณศตกลงจากหลังหนูลงมา ท้องแตกขนมต้มหกเรี่ยราด พระคเณศโกรธหนูฆ่าหนูตาย โกยขนมต้มใส่ท้อง แล้วเอาตัวหนูมาพันรอบเอวมัดท้องเอาไว้ ประวัติตอนนี้เหล่านักบนก็เข้าใจว่าโปรดขนมต้ม จึงจัดขนมต้ม ทั้งต้มแดง ต้มขาว ใส่ชามสำรับแก้บน เรียกว่าคาดเดากันเพื่อเอาใจเจ้าให้เต็มท่ี เหมือนที่โบราณเขียนเป็นกลอนไว้ว่า เจ้าว่างามก็ว่างามไปตามเจ้า มีข้อสังเกต ของถวายพระคเณศ มักจะเป็นเครื่องกระยาบวช คือของกินที่ไม่เจือปนด้วยของสดคาว แต่ก็มีบางตำรับที่แปลก เชื่อว่าท่านโปรดกัญชา จึงบนบานกันด้วยกัญชา ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าไปเอาตำราพิลึกพิลั่นเสี่ยงคุกนี้มาแต่ไหน ด้วยวิธีคิดเดียวกัน มีผู้หอบไข่ต้ม ปลาร้าหลน ปลาร้าสับ และข้าวเหนียว ไปถวายพระแก้วมรกต โดยคิดกันว่า ท่านมาจากเวียงจันทน์ คนที่คิดอย่างนี้ อ่านประวัติแค่ว่า สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกอัญเชิญท่านมาจากเวียงจันทน์ ถ้าอ่านให้ลึกต่อไป ก็จะได้รู้ว่า พระแก้วมรกตเดิมอยู่ในเจดีย์วัดพระแก้ว อำเภอเชียงแสน เชียงราย จน พ.ศ.๑๙๗๙ ฟ้าผ่าเจดีย์พัง ชาวบ้านอัญเชิญเป็นพระประธานในโบสถ์ ต่อมาพระเจ้าสามฝั่งแกน ผู้ครองอาณาจักรล้านนา โปรดให้จัดขบวนช้างอัญเชิญมาเชียงใหม่ แต่ช้างไม่ยอมไป มุ่งหน้าไปลำปาง จึงไปอยู่ที่ลำปาง จนถึงสมัยพระเจ้าติโลกราช จึงได้อัญเชิญมาเชียงใหม่ พ.ศ.๒๐๙๑ พระเจ้าไชยเชษฐา จากหลวงพระบางมาครองเชียงใหม่ พ.ศ.๒๐๙๓ เสด็จกลับไปจัดการพระบรมศพพระบิดาที่หลวงพระบาง ก็อัญเชิญพระแก้วมรกตไปด้วย หากถือตามประวัติชุดนี้ พระแก้วมรกตท่านเป็นชาวเหนือ ของที่ถวายควรเป็นน้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง ข้าวซอย มากกว่า หลักการจัดของแก้บนต่อมา ก็คือใช้ข้อมูลส่วนตัวแบบง่ายๆ เช่น ดูเพศ วัย เชื้อชาติ สถานะ ยุคสมัย เทพ-เจ้าที่ต้องการถวายเป็นหญิง เช่น แม่โพสพ ในพิธีแรกนา หรือทำขวัญข้าว ก็มักถวายเครื่องแต่งกาย เช่น ผ้าสไบ ผ้าซิ่น แป้ง หวี กระจก น้ำอบไทย หากเป็นเทพ–เจ้าชาย ก็มักเป็น หมาก พลู บุหรี่ และเหล้า ถ้าเทพเจ้าเป็นเด็ก ก็มักถวายของเล่นเด็ก เช่น ว่าว ฟุตบอล รถจักรยาน หรือถวายขนมนมเนย และเสื้อผ้าเด็ก บางคนก็ดูที่เชื้อชาติ เช่น พระอิศวร เป็นอินเดีย ก็ต้องถวายโค นม รู้จักถวายของที่ชอบแล้ว จำเป็นต้องรู้ของที่ท่านไม่ชอบด้วย ใครขืนถวายของที่เทพ-เจ้า ไม่ชอบ ไม่เพียงจะไม่ได้คุณ ยังจะเกิดเป็นโทษ ผู้เขียนเรื่องบนบานศาลกล่าว ให้แง่คิดว่า แม้จะมีการมองเรื่องเหล่านี้ว่าเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ เพราะไม่แน่ใจว่าจะได้ผลจริง แต่แนวคิดและความเชื่อนี้ ก็ยังดำรงคงอยู่คู่สังคมไทย ตราบใดที่จิตใจผู้คนยังว้าเหว่ การบนบานศาลกล่าว อย่างน้อยก็ช่วยเสริมกำลังใจ ต่อลมหายใจ ให้มีความหวังต่อไปได้อีก แต่กระนั้น การหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยที่ตัวเองไม่ยอมช่วยเหลือตัวเอง เป็นสิ่งที่น่าสมเพชเวทนาและไร้สาระเป็นอย่างยิ่ง....บาราย ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ |