(23/05/2008 Midnight Cell) เหตุการณ์ในปัจจุบัน พบว่ามีภัยพิบัติอันตรายมากมาย อาทิเช่น พายุไซโคลนนากีส ถล่มพม่า ซึ่งมีผู้เสียชีวิตมากมายร่วมแสน และ แผ่นดินไหวในประเทศจีน ที่รุนแรงมากจนมีผู้เสียชีวิตเป็นหลายหมื่น สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ จะพบว่ารุนแรงมากเป็นประวัติการณ์ ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะมีความเสียหายมากมายเช่นนี้ นอกจากที่ เหตุการณ์ที่ผ่านมา เช่น สึนามิ ได้เคยเกิดขึ้นแล้ว และมีการตื่นตัวกันระยะเวลาหนึ่ง อีกไม่นานก็ลืมสิ่งที่เกิดขึ้น จนเกิดเหตุการณ์ใหม่ขึ้นมา สิ่งเหล่านี้ ทำให้เราจะต้องพิจารณาพระธรรมวิวรณ์ให้ดีจากพระคัมภีร์วิวรณ์บทที่ 6 ขอให้เรามาพิจารณาร่วมกัน (เนื่องจากมีผู้ที่ผมเคารพท่านหนึ่ง ได้ให้ความเห็นว่า การตีความพระธรรมตอนนี้ อาจจะมีความเห็นแตกต่างกันไป อยากให้เสนอมุมมองต่าง ๆ ดังนั้นผมจึงขออนุญาตเสริมคำอธิบายจาก อมตธรรมร่วมสมัย ฉบับอธิบาย ร่วมด้วยครับ เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจมากขึ้น โดยจะใช้เป็นตัวหนังสือสีน้ำเงินตัวเอียงครับ แต่ผมขออยากหนุนใจนะครับ ไม่ว่าจะตีความแบบใดก็ตาม เราก็อย่าลืมเป้าหมายหลักของผู้เขียนพระธรรมวิวรณ์นี้นะครับ โดยสำหรับวิวรณ์ตั้งแต่บทที่ 4 เป็นต้นไป จะเป็นข่าวสารสำหรับคริสตจักร ซึ่งท่านยอห์นได้เขียนขึ้น เพื่อเป็นการเตือนสติคริสเตียนที่เฉื่อยชา และหนุนใจผู้ที่อดทนต่อสู้ในโลกนี้อย่างสัตย์ซื่อ โดยท่านยอห์นได้เขียนหลักของพระธรรมวิวรณ์ ไว้ในตอนต้นของพระธรรมวิวรณ์ คือ"ความสุขมีแก่ผู้ที่อ่านและแก่บรรดาผู้ที่ฟังคำเผยพระวจนะ แล้วประพฤติตามสิ่งต่างๆที่เขียนไว้ในนั้น เพราะว่าเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว" (วิวรณ์ 1:3 ThaiTSV2002)และ ผมก็อยากจะหนุนใจนะครับ ว่า "เวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว" จริง ๆ ครับผมจะขอยกข้อความเกี่ยวกับการตีความพระธรรมวิวรณ์ จากหนังสือ อมตธรรมร่วมสมัย ฉบับอธิบาย มาให้พิจารณากันก่อนนะครับ)ตลอดหลายศตวรรษมานี้ การตีความพระธรรมวิวรณ์พัฒนาขึ้นมาเป็นสี่แนวทางด้ายกัน (ได้แก่ ทัศนะที่ถือว่าเป็นเรื่องอดีต ทัศนะที่ถือว่าเป็นเรื่องอนาคต ทัศนะที่ถือว่าเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ และ ทัศนะแบบอุดมคติ) แต่ละแนวทางก็มีผู้สนับสนุนที่ทรงความสามารถ แต่ก็ไม่มีแนวทางใดสามารถพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้องแนวทางเดียวที่จะอ่านพระธรรมเล่มนี้ อย่างไรก็ตาม โดยสรุปแล้ว คำถามนำไปใช้ขั้นพื้นฐานที่สุดของแต่ละแนวทาง ก็คือ ถามตัวคุณเองว่า "การตีความอย่างนี้ จะช่วยให้ฉันเป็นสาวกที่ดี่ขึ้นของพระเยซูคริสต์ในวันนี้หรือไม่ ?" "วิวรณ์ของพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าประทานแก่พระองค์ เพื่อสำแดงต่อบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์เกี่ยวกับสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ และพระองค์ทรงใช้ทูตสวรรค์ไปแจ้งกับยอห์นผู้รับใช้ของพระองค์" (วิวรณ์ 6:1 ThaiTSV2002)
ตั้งแต่ วิวรณ์ 6:1 เป็นต้นไป เป็นการพิพากษาชุดแรกจากทั้งหมด 3 ชุด แต่ละชุดมี 7 อย่าง โดยอีก 2 ชุด คือ แตร และขัน ขณะที่ตราแต่ละดวงถูกเปิดออก พระคริสต์ผู้เป็นองค์พระเมษโปดก ก็เคลื่อนเหตุการณ์ ซึ่งจะนำไปสู่บั้นปลายของประวัติศาสตร์มนุษย์ หนังสือม้วนนี้จะยังเปิดไม่ครบถ้วนจนกว่าจะแกะตราดวงที่เจ็ด เนื้อหาสาระในหนังสือม้วนเผยให้เห็นถึงความเสื่อมทรามของมนุษย์ และแสดงให้เห็นสิทธิอำนาจของพระเจ้าเหนือเหตุการณ์แห่งประวัติศาสตร์ของมนุษย์ "ข้าพเจ้าก็เห็น และนี่แน่ะ ม้าสีขาวตัวหนึ่งออกมา ผู้ที่ขี่ม้าตัวนั้นถือธนู และได้รับมอบมงกุฎ แล้วท่านก็ออกไปอย่างมีชัย และเพื่อจะได้ชัยชนะ" (วิวรณ์ 6:2 ThaiTSV2002)
ตราดวงที่หนึ่ง พบว่า สอดคล้องกับการเสด็จมาครั้งแรกของพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระองค์ทรงมีชัยชนะเรียบร้อยแล้ว และสำเร็จเรียบร้อยแล้ว(มีความเห็นแตกต่างกัน ว่าผู้ที่ขี่คือใคร ส่วนใหญ่ จะตีความว่าเป็นพระเยซูคริสต์ แต่มีท่านแย้งว่าน่าจะไม่ใช่พระคริสต์ ดังเช่นในคำอธิบายของ อมตธรรมร่วมสมัย ฉบับอธิบาย มีความเห็นว่าไม่น่าจะใช่พระคริสต์ กรุณาอ่านข้างล่าง ที่คำอธิบายของ วิวรณ์ 6:7-8) "3 เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่สอง ข้าพเจ้าก็ได้ยินสิ่งมีชีวิตที่สองร้องว่า 'มาเถอะ'
4 และม้าอีกตัวหนึ่งเข้ามา เป็นม้าสีแดงสด ผู้ที่ขี่ม้าตัวนี้ได้รับมอบหมายให้เอาสันติภาพไปจากแผ่นดินโลก เพื่อให้คนรบราฆ่าฟันกัน และท่านผู้นี้ได้รับมอบดาบใหญ่เล่มหนึ่ง" (วิวรณ์ 6:3-4 ThaiTSV2002)
จากปัจจุบัน พบว่าเกิดการรบราฆ่าฟันกันมากมาย สันติภาพที่แท้จริงหาได้ยากมากในยุคปัจจุบัน ดังนั้น ตราดวงที่สองน่าจะเป็นสิ่งที่สำเร็จแล้ว "5 เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่สาม ข้าพเจ้าก็ได้ยินสิ่งมีชีวิตที่สามร้องว่า 'มาเถอะ' แล้วข้าพเจ้าเห็น และนี่แน่ะ ม้าดำตัวหนึ่งเข้ามา และผู้ที่ขี่ม้าตัวนี้ถือตราชู
6 แล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินเหมือนอย่างเสียงพูดดังออกมาจากท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทั้งสี่นั้นว่า 'ข้าวสาลีราคาลิตรละหนึ่งเดนาริอัน(หนึ่งเดนาริอัน เท่ากับค่าแรงของคนทำงาน ในหนึ่งวัน) ข้าวบาร์เลย์สามลิตรต่อหนึ่งเดนาริอัน แต่เจ้าอย่าทำอันตรายน้ำมันและน้ำองุ่น' " (วิวรณ์ 6:5-6 ThaiTSV2002)
ผู้ขี่ม้า ถือตราชู เพื่อให้เราพิจารณาให้ดีถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหนึ่งทะนานเท่ากับหนึ่งลิตร โดยปกติหนึ่งเดนาริอันเป็นจำนวนเงินที่จ้างคนงานให้ทำงานวันหนึ่งและจะสามารถซื้อข้าวสาลีได้มากถึง 8 ทะนาน ()ในปัจจุบัน พบว่า ประเทศไทย ราคาของข้าวแพงมากขึ้นเรื่อย ๆ และจากพระคัมภีร์ได้บอกแก่เราว่า ต่อไป ข้าวสาลีจะราคาแพงมาก และขาดแคลน แต่ว่าน้ำมันและน้ำองุ่นจะไม่ขาดแคลนเท่าข้าวสาลี แม้ในการคาดการณ์ของมนุษย์จะพบว่าน้ำมันน่าจะขาดแคลน แต่พระคัมภีร์ได้บอกแก่เราอย่างชัดเจนว่า แม้ว่าน้ำมันจะแพง แต่จะไม่หมดแน่นอน ขอให้เรามีสติปัญญาในการณ์มองอนาคตต่อไป "7 เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่สี่ ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงสิ่งมีชีวิตตัวที่สี่ร้องว่า 'มาเถอะ'
8 แล้วข้าพเจ้าเห็น และนี่แน่ะ ม้าสีกะเลียวตัวหนึ่ง ผู้ที่ขี่ม้าตัวนี้มีชื่อว่ามัจจุราช และแดนคนตายก็ติดตามมาด้วย พระองค์ทรงให้ทั้งสองนี้มีอำนาจเหนือแผ่นดินโลกหนึ่งในสี่ส่วน ที่จะทำลายได้ด้วยคมดาบ ด้วยความอดอยาก ด้วยโรคระบาด และด้วยสัตว์ร้ายแห่งแผ่นดิน" (วิวรณ์ 6:7-8 ThaiTSV2002)
ตราดวงที่ 4 นี้ จะพบว่า เริ่มมีความเกี่ยวข้องกับความตายโดยตรง โดยมัจจุราช และแดนคนตาย จะทำลายชีวิตของคน 1 ใน 4 ของโลก จากนี้ไป เราจะเห็นตัวเลขของคนตายมากขึ้นเรื่อย ๆ จากเหตุการณ์ 4 อย่างด้วยกัน ได้แก่ คมดาบ (สงคราม การฆ่าฟันกัน) อดอยาก โรคระบาด และสัตว์ร้ายแห่งแผ่นดินเมื่อตีความ สัตว์ร้ายแห่งแผ่นดิน อาจจะสามารถแปลว่าเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติต่าง ๆ ซึ่งจากเหตุการณ์พายุนากีส และแผ่นดินไหวในประเทศจีน พบว่า มีผู้คนตายเป็นจำนวนมากในระยะเวลาเพียงไม่นาน และเป็นสิ่งที่ป้องกันไม่ได้ จึงอาจจะรวมอยู่ในกรณีนี้นอกจากนี้ จากข่าวได้ระบุว่า สถานที่เกิดเหตุในพม่าและจีน ล้วนเป็นดินแดนที่เป็นแหล่งของการเพาะปลูกข้าว ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้การกันดานอาหาร ความอดอยากมากขึ้นเรื่อย ๆเมื่อศึกษาพระธรรมวิวรณ์ต่อไป เรื่อง ตราดวงที่ 5-7 แตร และขัณฑ์ ซึ่งเป็นพระพิโรธของพระเจ้า จะรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ตลอด ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ตั้งแต่ วิวรณ์ 6:2 เป็นต้นไป เมิ่อแกะตราสี่ดวงแรก ม้าสี่ตัวก็ปรากฎขึ้น ม้าเหล่านี้หมายถึงการพิพากษาของพระเจ้า ในความบาปและการขบถของประชาชน พระเจ้าเป็นผู้นำทิศทางประวัติศาสตร์มนุษย์ ทรงใช้แม้กระทั่งศัตรูของพระองค์ทำให้น้ำพระทัยสำเร็จ ม้าสี่ตัวเป็นการชิมลางของการพิพากษาขั้นสุดท้ายที่จะมาถึง บางคนมองว่าบทนี้คู่ขนานกับคำตรัสบนภูเขามะกอกเทศ (มัทธิว 24) ภาพของม้าสี่ตัวพบในเศคาริยาห์ 6:1-8 ด้วยวิวรณ์ 6:2-8 จะพบว่า ม้าแต่ละตัวมีสีต่าง ๆ กัน บางคนกล่าวว่า ม้าขาวคือชัยชนะ และผู้ขับขี่ ก็คือพระคริสต์ (เพราะต่อมาพระคริสต์ทรงม้าขาวสู่ชัยชนะ ในวิวรณ์ 19:11) แต่ในเมื่อม้าอีก 3 ตัวเกี่ยวข้องกับการพิพากษาและการทำลาย ม้าขาวกับผู้ขับขี่จึงไม่น่าเป็นพระคริสต์ ม้าทั้งสี่เป็นส่วนหนึ่งของการพิพากษาของพระคริสต์ที่ทรงเปิดเผยให้รู้ จึงเป็นการเร่งไป หากพระคริสต์จะทรงม้าขาวออกมาในตอนนี้ในฐานะผู้พิชิต ม้าสีอื่นเป็นสัญลักษณ์ของการพิพากษาต่าง ๆ กัน คือ สีแดงหมายถึงการสงคราม การนองเลือด สีดำหมายถึงการกันดารอาหาร และม้าสีหม่น คือ ความตาย ข้าวสาลีและข้าวบาร์เล่ย์มีราคาสูง หมายถึงสภาพการกันดารอาหาร แต่สภาพเลวร้ายที่สุดยังมาไม่ถึง "9 เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่ห้า ข้าพเจ้าก็เห็นดวงวิญญาณทั้งหลายที่ใต้แท่นบูชา ซึ่งเป็นวิญญาณของคนทั้งหลายที่ถูกฆ่าเพราะพระวจนะของพระเจ้า และเพราะคำพยานที่เขายึดถือนั้น
10 เขาทั้งหลายร้องเสียงดังว่า 'ข้าแต่องค์เจ้านาย ผู้บริสุทธิ์และสัตย์จริง อีกนานเท่าใดพระองค์จึงจะทรงพิพากษา และแก้แค้นต่อคนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลกซึ่งหลั่งเลือดของเรา'
11 แล้วพระองค์ประทานเสื้อคลุมสีขาวแก่พวกเขาแต่ละคน และทรงบอกให้พักต่อไปอีกหน่อยหนึ่ง จนกว่าผู้ร่วมรับใช้และพี่น้องของเขาจะถูกฆ่าเหมือนอย่างพวกเขาครบจำนวน" (วิวรณ์ 6:9-11 ThaiTSV2002)
เมื่อพิจารณา ตราดวงที่ห้าอาจจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว เพราะในปัจจุบัน มีผู้รับใช้ ต้องถูกข่มเหงเพราะข่าวประเสริฐมากมาย เพียงแต่ยังไม่ควบจำนวน วิวรณ์ 6:9 แท่นบูชานั้น หมายถึง แท่นบูชาในพระวิหารที่สัตว์ถูกนำมาถวายบูชาลบล้างบาปที่เชิงแท่นบูชา แทนที่จะเป็นเลือดของสัตว์ ยอห์นกลับมองเป็นวิญญาณของผู้พลีชีพ เพื่อการประกาศข่าวประเสริฐ ซึ่งคนเหล่านี้ได้รับคำบอกเล่าว่าจะมีคนสูญเสียชีวิตเพราะความเชื่อในพระคริสต์อีก (วิวรณ์ 6:11) ในท่ามกลางสงครามการกันดารอาหาร การกดขี่ข่มเหงและความตาย คริสเตียนจะได้รับการเรียกร้องให้ยืนหยัดมั่นคงในสิ่งที่เขาเชื่อ ผู้ที่อดทนจนถึงที่สุดเท่านั้นจึงจะได้รับรางวัลจากพระเจ้า (มาระโก 13:13)วิวรณ์ 6:9-11 ผู้พลีชีพเพื่อความเชื่อ ต้องการให้พระเจ้านำความยุติธรรมมาสู่โลก แต่เขาได้รับคำบอกกล่าวให้รอคอย พระเจ้าไม่ได้ทรงรอคอยให้ถึงจำนวนที่แน่นอนจำนวนหนึ่ง แต่พระองค์ทรงสัญญาว่าคนที่ทนทุกข์และตายเพื่อความเชื่อจะไม่ถูกลืม พระเจ้าจะให้เกียรติยศแก่เขาเป็นรายบุคคล เราอาจจะอยากได้รับความยุติธรรมทันที เช่นเดียวกับผู้พลีชีพเพื่อความเชื่อเหล่านี้ แต่เราต้องอดทน พระเจ้าทรงกระทำสิ่งต่าง ๆ ตามเวลาของพระองค์ และพระองค์ทรงสัญญาว่าจะให้ความยุติธรรม การทนทุกข์เพื่ออาณาจักรของพระเจ้าจะไม่เสียเปล่า "12 เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่หก ข้าพเจ้าเห็นแผ่นดินไหวยิ่งใหญ่ ดวงอาทิตย์กลายเป็นสีดำมืด เหมือนกับเสื้อผ้าขนสัตว์ที่ใช้ไว้ทุกข์ และดวงจันทร์วันเพ็ญก็กลายเป็นเหมือนกับสีเลือด
13 และดวงดาวทั้งหลายในท้องฟ้าก็ตกลงมาบนพื้นดิน เหมือนกับต้นมะเดื่อที่ถูกลมแรงพัดจนผลที่ยังไม่สุกหล่นลงมา
14 ท้องฟ้าก็หายไปเหมือนกับหนังสือที่ถูกม้วนเก็บ และภูเขาทุกลูกและเกาะทุกเกาะก็ถูกเคลื่อนไปจากที่เดิม
15 แล้วกษัตริย์ทั้งหลายในโลก พวกคนใหญ่คนโต บรรดานายทหารใหญ่ พวกเศรษฐี พวกผู้มีอำนาจ และทุกคนทั้งที่เป็นทาสหรือเสรีชน ต่างซ่อนตัวอยู่ในถ้ำและโขดหินตามภูเขา
16 พวกเขาร้องบอกกับภูเขาและโขดหินว่า 'จงล้มทับเราเถิด จงซ่อนเราไว้ ให้พ้นจากพระพักตร์ของพระองค์ผู้ประทับอยู่บนพระที่นั่ง และจากพระพิโรธของพระเมษโปดก
17 เพราะว่าวันสำคัญแห่งพระพิโรธของพระองค์มาถึงแล้ว และใครจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้เล่า' " (วิวรณ์ 6:1-17 ThaiTSV2002)
ตราดวงที่ 6 น่าจะยังไม่เกิดขึ้น แต่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน วิวรณ์ 6:12 ดวงตราดวงที่หก เปลี่ยนฉากกลับมาเป็นภาพบนโลกนี้ การพิพากษาทั้งห้าตอนแรกมุ่งไปที่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งโดยเฉพาะ แต่การพิพากษาครั้งนี้เป็นสากล ทุกคนจะหวาดกลัวเมื่อโลกนี้สะเทือนสะท้านวิวรณ์ 6:15-17 เมื่อได้เห็นพระเจ้าประทับเหนือพระที่นั่ง มนุษย์ทุกคนทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยต่างพากันตกใจกลัว ต่างร้องให้ภูเขาพังลงมาทับตน เพื่อจะได้ไม่ต้องเผชิญการพิพากษาของพระเมษโปดก ภาพอันแจ่มชัดนี้มิได้มุ่งให้ผู้เชื่อตกใจ เพราะสำหรับผู้เชื่อ พระเมษโปดก คือ พระผู้ช่วยผู้อ่อนสุภาพ แต่สำหรับขุนพล จักรพรรดิ หรือกษัตริย์ซึ่งแต่ก่อนไม่ยำเกรงพระเจ้า และหยิ่งผยอง ไม่เชื่อในพระเจ้า จะต้องเผชิญกับพระพิโรธของพระองค์ ไม่มีใครที่ปฏิเสธพระเจ้าจะอยู่รอดในวันแห่งพระพิโรธ แต่ผู้ที่เป็นของพระคริสต์จะได้รับรางวัลแทนการลงโทษ คุณเป็นของพระคริสต์หรือไม่ ? ถ้าเป็น คุณก็ไม่จำเป็นต้องกลัววาระสุดท้ายนี้ "ความสุขมีแก่ผู้ที่อ่านและแก่บรรดาผู้ที่ฟังคำเผยพระวจนะ แล้วประพฤติตามสิ่งต่างๆที่เขียนไว้ในนั้น เพราะว่าเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว" (วิวรณ์ 1:3 ThaiTSV2002)อยากให้เราพิจารณาตัวเราเองให้ดีว่า เราควรจะให้ความสำคัญแก่สิ่งใด เราพร้อมที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ หรือไม่ เพราะว่าเราไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นเมื่อใด พระคัมภีร์ไม่ได้บอกเราเพื่อให้เรากลัว แต่พระเจ้าได้ทรงสำแดง เพื่อให้เราเตรียมพร้อม ให้เราพิจารณาให้ดีว่าเราพร้อมแล้วหรือยัง !!!!!!! อ.ประดิษฐ์ พรกีรติกุล
คำแบ่งปัน Midnight Cell เมื่อวันที่ 23/05/2008
เรื่อง สัญญาณเตือนภัย (วิวรณ์ บทที่ 6)
สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์
เอกสารอ้างอิง อมตธรรมร่วมสมัย ฉบับอธิบาย (Life Application Study Bible - New Testament, Thai Edition.) http://www.followhissteps.com/web_christianstories/Sermons/revelation6.html