[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน => ข้อความที่เริ่มโดย: ใบบุญ ที่ 16 พฤศจิกายน 2563 15:59:12



หัวข้อ: สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (สนั่น จันทปัชโชโต) วัดนรนาถสุนทริการาม เขตพระนคร กรุงเทพฯ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 16 พฤศจิกายน 2563 15:59:12

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/85630048728651_bud06080963p1A_1_640x480_.jpg)

สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (สนั่น จันทปัชโชโต)
วัดนรนาถสุนทริการาม เขตพระนคร กรุงเทพฯ

สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (สนั่น จันทปัชโชโต) อดีตกรรมการมหาเถรสมาคม และอดีตเจ้าอาวาสวัดนรนาถสุนทริการาม เขตพระนคร กรุงเทพฯ

มีนามเดิม สนั่น สรรพสาร เกิดเมื่อวันอังคารที่ 8 ก.ย.2451 ที่บ้านหนองบ่อ ต.หนองบ่อ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี

อายุ 9 ขวบ บรรพชาที่วัดบูรพาภิสัย มีพระเคน วัดบ้านจานตะโนน เป็นพระอุปัชฌาย์

เริ่มเรียนบาลีไวยากรณ์ที่วัดสุปัฏนาราม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ปี พ.ศ.2467 ถัดมาอีกปีจึงเข้ามาศึกษายังกรุงเทพฯ ณ สำนักเรียนวัดบรมนิวาสราชวรวิหาร

พ.ศ.2469-2484 สอบไล่ได้เป็นลำดับในสำนักเรียนวัดบรมนิวาส จากนักธรรมชั้นตรี ถึงเปรียญธรรม 8 ประโยค ต่อมา พ.ศ.2486 สอบไล่ได้เปรียญธรรม 9 ประโยค สำนักเรียนวัดพระศรีมหาธาตุฯ กรุงเทพฯ

อายุ 21 ปี เข้าพิธีอุปสมบท ที่พระอุโบสถวัดบรมนิวาสมีพระเทพวรคุณ เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระครูศีลวรคุณ(อ่ำ ภทฺทาวุโธ) วัดมณีชลขัณฑ์ จ.ลพบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์พระอมราภิรักขิต (ชัย ชิตมาโร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ได้รับนามฉายาว่า จันทปัชโชโต

ช่วงชีวิตระหว่างอยู่วัดบรมนิวาส เป็นทั้งนักเรียนและครู เริ่มเป็นครูตั้งแต่ พ.ศ.2472 เป็นต้นมา จากนั้นระหว่างปี พ.ศ.2474-2476 ย้ายไปอยู่สัตตนาถปริวัตร อ.เมือง จ.ราชบุรี เป็นครูสอนพระปริยัติธรรม

พ.ศ.2477 กลับสู่วัดบรมนิวาส เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมจนถึง พ.ศ.2484 จากนั้นย้ายไปวัดพระศรีมหาธาตุฯบางเขน เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2485 อันเป็นระยะที่สร้างวัดเสร็จใหม่

วันที่ 2 ม.ค.2490 ย้ายมาที่วัดนรนาถสุนทริการาม ยังปฏิบัติหน้าที่ครูสอนพระปริยัติธรรมสม่ำเสมอตลอดมา จนเลิกสอนเมื่อปี พ.ศ.2524 ขณะอายุ 73 ปี

ลำดับงานปกครอง พ.ศ.2500 เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ.2501 เป็นเจ้าอาวาสวัดนรนาถสุนทริการาม พ.ศ.2510 เป็นเจ้าคณะภาค 8 และภาค 10 (ธ) พ.ศ.2512 เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม

ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2501 รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพวราภรณ์

พ.ศ.2506 รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมวราภรณ์

พ.ศ.2519 เป็นชั้นรองสมเด็จพระราชาคณะที่ พระพรหมมุนี

วันที่ 5 ธ.ค.2532 โปรดเกล้าฯ พระราชทานสถาปนาเป็น สมเด็จพระมหามุนีวงศ์

อุปนิสัย เป็นคนมักน้อย สันโดษ ชอบชีวิตธรรมดาสามัญแบบเรียบง่าย แม้จะเป็นพระเถระที่มีชื่อเสียง แต่ไม่เคยลืมภาษาถิ่น ชอบพูดภาษาไทยอีสานในชีวิตประจำวัน และพูดภาษาอีสานเป็นธรรมดาด้วยสำเนียงท้องถิ่นเมืองอุบลชัดเจน

เอกลักษณ์เด่นอีกส่วนหนึ่ง คือ น้ำเสียงในการแสดงพระธรรมเทศนาที่แฝงด้วยอำนาจ ดังกังวาน ทุ้ม นุ่มนวลมีจังหวะจะโคน ทอดน้ำเสียงลงวรรคตอนอย่างสละสลวยฟังไพเราะรื่นหู

นอกจากนี้ยังเป็นผู้มีความจำเป็นเลิศ พุทธภาษิตและหัวข้อธรรมต่างๆ ที่เล่าเรียนมาสามารถบอกกล่าวแก่ศิษย์ได้อย่างไม่ผิดพลาด แม้กระทั่งเรื่องราวประวัติศาสตร์ เรื่องเก่าเรื่องหลังแต่ครั้งเป็นพระหนุ่ม จะจดจำได้แม่นยำด้วยลีลาและศิลปะเฉพาะตัวในการเล่า

ด้านการครองตนและวัตรปฏิบัตินั้นเป็นที่เลื่องลือ ในความเคร่งครัด เช้ามืดของทุกวัน ตั้งแต่ตี 4 ถึง 6 โมงเช้าจะเจริญสมณธรรม บำเพ็ญความเพียรภายในกุฏิ โดยปฏิบัติติดต่อกันมากว่า 20 ปี ไม่มีว่างเว้น

ความสามารถอันเอกอุนั้น มีทั้งสถานะนักศึกษา, นักวิชาการ, นักการศาสนา, นักอนุรักษ์, นักปราชญ์ และผู้มองการณ์ไกล

ในบรรดางานต่างๆ ที่ดำเนินไปภายใต้นโยบายเผยแผ่นั้น มุ่งเน้นเป็นพิเศษอยู่ 3 งานคือ งานปาฐกถาและ อบรม, งานฝึกฝนอบรมนักเผยแผ่ธรรม, งานปฏิบัติธรรมทางสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน

ปณิธานอันแรงกล้า เน้นให้การศึกษาพระปริยัติธรรมเจริญงอกงาม โดยเฉพาะการศึกษาแผนกบาลี ด้วยการลงมือสอนด้วยตนเองอย่างมิเห็นแก่เหน็ดเหนื่อย

ไม่เพียงเท่านั้น ในฐานะเจ้าคณะภาค 8-9-10-11 (ธ) ยังสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรมทางภาคอีสานเป็นกรณีพิเศษ ปรากฏผลเด่นชัดใน 4 จังหวัดคือ อุดรธานี, ขอนแก่น, ร้อยเอ็ด และหนองคาย

ด้วยอายุขัยที่ล่วงเลยเข้าสู่วัยชราภาพ บ่อยครั้งทำให้ท่านอ่อนแรง สุขภาพไม่แข็งแรงดังเดิม กระทั่งเกิดล้มอาพาธเป็นประจำ

มรณภาพในวันที่ 2 พ.ย.2541
    ข่าวสดออนไลน์