ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๑๐๒
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเราเมื่อครั้งเป็น(สุเมธดาบส)ได้คิดว่า{เป็นข้อความที่
ท่านสุเมธดาบสสอนตนเอง}
ธรรมดาว่า{น้ำ}ย่อมแผ่ความเย็นไปให้คนดีและคนเลวโดยเสมอกันชะล้างมลทิน
คือธุลี(สิ่งสกปรก)ออกได้แม้ฉันใดแม้ท่านก็ฉันนั้นเหมือนกันพึงเจริญเมตตาบารมี
เจริญเมตตาไปสม่ำเสมอในชนผู้ทำประโยชน์และผู้ไม่ทำประโยชน์แล้วท่านจัก
บรรลุสัมโพธิญาณข้อความบางตอนจาก......พระอภิธรรมปิฎก ธัมมสังคณีปกรณ์
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๕๓๐
อุเบกขามีการเป็นไปโดยอาการเป็นกลางในสัตว์ทั้งหลายเป็นลักษณะมีความเห็น
สัตว์ทั้งหลายโดยความเสมอกันเป็นรสะ(เป็นกิจ)มีการเข้าไปสงบความโกรธและ
ความรักเป็นปัจจุปัฏฐาน(อาการปรากฏ)มีความเห็นสัตว์มีกรรมเป็นของตน อย่างนี้ว่า
สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของ ๆ ตนสัตว์เหล่านั้นจักมีความสุขหรือจักพ้นจากทุกข์
หรือจักไม่เสื่อมจากสมบัติตามความพอใจของใครดังนี้..........เป็นปทัฏฐาน{เหตุใกล้ให้เกิด}
ข้อความบางตอนจาก พระอภิธรรมปิฎก ธัมมสังคณีปกรณ์
ธรรมดาของบุคคลผู้ที่ยังมีกิเลสนั้นอกุศลย่อมเกิดขึ้นมากมักจะไหลไปเป็นไป
ด้วยอำนาจของอกุศลเป็นส่วนใหญ่ และบางครั้ง - บางคราวก็ล่วงออกมาเป็นทุจริตกรรม
ทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อนซึ่ง(อาจจะ)มีได้ทั้งหมด
ทั้งปวงก็เป็นธรรมเป็นความเป็นไปของ{จิตเจตสิก}เท่านั้นไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล
ไม่ใช่ตัวตน
สิ่งที่ควรพิจารณา คือ ไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิดย่อมมีแน่นอนสำหรับบุคคลผู้ที่
กระทำความผิดจะมากหรือน้อยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งตัวเราเองก็เช่นเดียวกันเวลาที่
ตนเองทำความผิดได้ผิดพลาดพลั้งไปก็อยากจะให้คนอื่นเขาเข้าใจและเห็นใจ
คนอื่น ๆ ที่เป็นแบบเราก็มีความต้องการอย่างนี้เช่นเดียวกันแต่เวลาคนอื่นทำความ
ผิดได้ผิดพลาดพลั้งไปนั้นเรามักจะลืมให้อภัยเขาลืมเข้าใจเขา
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเป็นเครื่องเตือนที่ดีอยู่เสมอเพราะพระองค์
ไม่เคยสอนให้เกิดอกุศลเลยแม้แต่น้อยแม้ในบุคคลผู้กระทำความผิดก็ไม่ควรโกรธ
เพราะเหตุว่า.............................บุคคลผู้ควรแก่การโกรธไม่มี
และอีกประการหนึ่งที่ควรพิจารณา คือ ในขณะที่คนอื่นได้กระทำความผิดไปก็
อย่าพึ่งโทษหรือโจทก์เขาควรที่จะสอบสวนพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อนถ้าเขา
ผิดจริงควรที่จะมีเมตตาคอยอนุเคราะห์เกื้อกูลให้เขาสละคืน คือ ละซึ่งการปฏิบัติอัน
ไม่ถูกต้องไม่เหมาะสมนั้นเสียถ้าเขารับฟัง นั่นเป็นการดีแต่ถ้าเขาเป็นผู้ว่ายาก
ไม่ยอมรับฟังในคำแนะนำอันถูกต้องนั้นก็ควรจะเป็นผู้มี{อุเบกขา}คือ ความเป็นกลาง
ไม่หวั่นไหวไปด้วยอำนาจของอกุศล คือ โทสะพร้อมกับพิจารณาเห็นว่าสัตว์โลกมี
กรรมเป็นของของตน ใครทำกรรมอะไรไว้ ก็ต้องได้รับผลของกรรมนั้น ๆ แต่การจะมี
อุเบกขา{อุเบกขาพรหมวิหาร ได้แก่ ตัตรมัชฌัตตตาเจตสิก}ได้นั้น พื้นฐานของจิตใจ
ต้องเป็นผู้มีเมตตา
เพราะฉะนั้นแล้ว ควรมองข้ามความผิดของผู้อื่นไปเสียและอย่ากระทำให้เขาหมด
กำลังใจด้วยการพิพากษาโทษของเขาอย่างรุนแรงและประการที่สำคัญอย่างยิ่งที่
ขาดไม่ได้เลย คือ อย่าได้มองข้ามความผิดของตนเองเพราะปุถุชนก็คือปุถุชนไม่ใช่ -
พระอริยบุคคลย่อมมีอกุศลเกิดมากเป็นธรรมดามีกุศลเกิดแทรกสลับกับอกุศลเท่า
นั้นเองดีเท่าไหร่ก็ยังไม่พอจนกว่าจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ซึ่งก็จะต้องอาศัยกาล
เวลาอันยาวนานในการอบรมเจริญปัญญาเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองต่อไป
ความเข้าใจพระธรรม{ปัญญา}เท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับทุกคนความ
เข้าใจพระธรรมนอกจากจะเป็นประโยชน์สำหรับตนเองโดยตรงแล้วยังสามารถ
เกื้อกูลให้เกิดประโยชน์แก่บุคคลอื่นได้ด้วยด้วยการแนะนำให้เจริญในหนทางข้อ
ปฏิบัติที่ถูกต้องตรงตามพระธรรมคำสอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงตามกำลัง
ปัญญาของตนเอง.......................................แนวทางเจริญวิปัสนา ณ.มูลนิธิบ้านธรรมมะ บุคโล ธนบุรี คณะวิทยากร อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์