.คุณพุ่ม – บุษบาท่าเรือจ้างกวีหญิงผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในยุคต้นแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในบรรดานักกวีไทยนับแต่สมัยอดีตเรื่อยมาทุกยุคทุกสมัย ส่วนมากจะเป็นฝ่ายชายเท่านั้นที่มีชื่อเสียงอันเฟื่องฟุ้ง มีบทบาทสร้างสรรค์ผลงานวรรณกรรม ทั้งกาพย์ ฉันท์ โคลง กลอน อันลือเลื่องในความไพเราะ คมกริบด้วยชั้นเชิงกวี แฝงคติธรรมและแบบแผนจารีตประเพณีไว้ในท้องเรื่อง สามารถทำให้ผู้อ่านเพลิดเพลิน เกิดมโนภาพไปตามจินตนาการของผู้แต่ง เร้าให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจ ดีใจ เสียใจ ชนิดได้รับการยกย่องและจารึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ อย่างพระอภัยมณี รามเกียรติ์ สังข์ศิลป์ชัย อิเหนา ขุนช้างขุนแผน ฯลฯ
กวีหญิงมีอยู่น้อยมาก เกือบจะเรียกว่าควานหาตัวได้ยากยิ่งเหลือเกิน ที่พอมีผลงานอันโดดเด่นก็แทบจะเรียกว่านับตัวได้ อย่างในสมัยรัชกาลที่ ๓ อันเป็นยุคแห่งความนิยมในการเล่นเพลงยาว และกลอนดอกสร้อยสักวากันอย่างกว้างขวาง ก็มี คุณสุวรรณ และคุณพุ่ม หรือ บุษบาท่าเรือจ้าง กล่าวสำหรับคุณสุวรรณ เป็นกวีหญิงผู้มีผลงานแต่งบทละครเรื่องพระมะเหลเถไถ ซึ่งคุณสุวรรณแต่งเป็นภาษาบ้าง ไม่เป็นภาษาบ้างปะปนกันไปแต่ต้นจนปลาย และบทละครเรื่องอุณรุทร้อยเรื่อง ซึ่งคุณสุวรรณเกณฑ์ให้ตัวบทในละครเรื่องต่างๆ มารวมกันอยู่ในเรื่องนี้เรื่องเดียว ถ้าดูโดยกระบวนความค่อนข้างจะเลอะ แต่ไปได้ดีทางสำนวนกลอน
อีกท่านคือ คุณพุ่ม หรือบุษบาท่าเรือจ้าง ที่จะนำเสนอประวัติต่อไปนี้ เป็นกวีหญิงฝีปากกล้าที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ คุณพุ่มได้มีโอกาสเล่นสักวาถวายหน้าพระที่นั่งเนื่องในโอกาสต่าง ๆ หลายครั้ง ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ คุณพุ่มเป็นผู้มีปฏิภาณแต่งกลอนสด คารมแรงกล้า กล่าวกันว่ากล้าทั้งปากและมือ ไม่เกรงกลัวผู้ใด แม้บางครั้งผู้ร่วมเล่นกลอนสักวาเป็นผู้มีบรรดาศักดิ์หรือฐานันดรศักดิ์สูงกว่ามากมาย
มีประวัติว่า คุณพุ่ม เป็นธิดาของพระยาราชมนตรี (ภู่) ข้าหลวงในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เดิมได้ถวายตัวรับราชการฝ่ายใน และได้รับพระราชทานตำแหน่งเป็นพนักงานพระแสง แต่ต่อมามีปัญหาด้านสุขภาพจึงได้กราบทูลลากลับออกไปอยู่บ้านกับบิดา ขณะนั้นท่านกำลังอยู่ในวัยสาว
คุณพุ่มเป็นผู้มีใจนิยมชมชอบเกี่ยวกับเรื่องโคลงกลอนเป็นอย่างมากมาตั้งแต่สมัยอยู่ในรั้วในวัง แต่ก็ไม่ค่อยจะสู้มีใครกล่าวถึงกันมากนัก เพราะนักเลงกลอนสมัยนั้นมีจำนวนมากมาย จนกระทั่งได้ออกมาอยู่ภายนอกราชสำนักแล้ว และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงโปรดการเล่นเพลงยาวกับดอกสร้อยสักวา จึงทำให้ความความนิยมขยายตัวออกไปอย่างแพร่หลายสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)เมื่อคุณพุ่ม ออกจากพระราชวังก็ได้มาอาศัยอยู่แพที่หน้าบ้านบิดาข้างเหนือท่าพระ และตามปกติมักจะมีบรรดาเจ้านายเสด็จไปชุมนุมเล่นสักวากันที่แพของคุณพุ่มมิได้ขาดอยู่หลายองค์ อาทิ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ข้าราชการที่สูงศักดิ์ เช่น นายหลวงสิทธิ ภายหลังต่อมาเป็น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ผู้มีบทบาทสำคัญในการเมืองการปกครองในยุคต้นรัชกาลที่ ๕ จนกระทั่งทำให้คุณพุ่มได้รับการขนานนามขึ้นว่า “บุษบาท่าเรือจ้าง”
ในยุคนั้น ท่าเรือจ้างหน้าแพของ บุษบาท่าเรือจ้าง หรือคุณพุ่ม ก็น่าจะรุ่งเรือง คึกคักไปด้วยลมหายใจของบรรดานักกวี ที่สนุกสนานกับการโต้ตอบบทสักวา บทดอกสร้อย เพลงกลอน เพลงยาว และส่วนมากเป็นการเกี้ยวพาราสี เปรียบเปรยด้วยภาษา ลีลา และสำนวนกลอนอันไพเราะเพราะพริ้ง ดังนี้
“โฉมสวรรค์สรรทรงประเสริฐศรี
พี่รักคอยแต่ยังน้อยดรุณี ให้เห็นดีสารพัดจะพึงชม
ทุกค่ำเช้าเฝ้าพินิจด้วยพิสมัย เพราะอยู่ใกล้กันกับนางแต่ปางปฐม
แต่ตรอมใจด้วยมิได้สมาคม กรรมระดมดลพรากให้จากกัน”
พระนิพนธ์ พระเจ้าราชวงศ์เธอ กรมหมื่นสถิตย์ธำรงสวัสดิ์
บทเกี้ยว พระนิพนธ์ของเชื้อพระวงศ์ จากการวิสาสะกันพร้อมหน้าในกลุ่มนักกวี โดยมีคุณพุ่ม หญิงปากกล้าแต่เพียงคนเดียว ที่ยืนหยัดอยู่ในท่ามกลางกวีหนุ่มๆ และข้าราชการผู้สูงศักดิ์ จึงไม่เป็นที่น่าสงสัยแต่อย่างใด เมื่อได้ประจักษ์ความกล้าทั้งโวหารและกล้าทั้งมือของคุณพุ่ม เช่นว่าครั้งหนึ่ง คุณพุ่มเข้ายื้อแย่งเอาพระแสงดาบของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวไว้เสีย ดังนี้เป็นต้น
นอกจากมือกล้า ความปากกล้าของคุณพุ่ม ยังปรากฏในคำอธิษฐาน ๑๒ ข้อ “ขออย่าให้เป็น” ที่คุณพุ่มแต่งขึ้นด้วยความคะนองปาก เมื่อเห็นว่าอะไรมัน “มากเกินไป” กว่าที่ควรจะเป็น และได้รับการจดจำไว้เป็นหลักฐาน โดย กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ดังนี้
๑. ขออย่าให้เป็นคนชิดของเจ้าคุณผู้ใหญ่ คือคนชิดของเจ้าพระยาบดินเดชา (สิงห์เสนี) อธิบายว่าเพราะมักถูกเฆี่ยนหลังลายไม่เว้นตัว
๒. ขออย่าให้เป็นคนใช้ของพระยานคร คือ คนใช้ของเจ้าพระยานครน้อย อธิบายว่าเพราะถูกทำโทษนอกรีตต่างๆ นาๆ ดังเช่นเรือช้าไปก็ให้ฝีพายถองเรือ เป็นต้น
๓. ขออย่าให้เป็นคนต้มน้ำร้อนของพระยาศรี คือ คนต้มน้ำร้อนของพระยาศรีสหเทพ (เพ็ง) เพราะ พระยาศรีฯ มักมีแขกเหรื่อไปมาหาสู่ไม่ขาด จนคนต้มน้ำร้อนเลี้ยงแขกแทบจะหาเวลาพักมิได้เลย
๔. ขออย่าให้เป็นมโหรีของพระยาโคราช คือ ครั้งหนึ่งพระยานครราชสีมา ครั้งหนึ่งอยากเล่นมโหรีให้เหมือนพวกขุนนางผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ แต่พระยานครราชสีมามีแต่พวกข่าและชาวเชลย ก็นำเอามาหัดเป็นมโหรีไปตามแกน
๕. ขออย่าให้เป็นสวาสดิ์ของพระองค์ชุมสาย คือ มหาดเล็กตัวโปรดของกรมขุนราชสีหวิกรม อธิบายว่าถ้าชอบทรงใช้มหาดเล็กคนไหนแล้ว คนนั้นแหละมักจะโดนจำโซ่ตรวจในเวลาที่เกิดใช้ไม่ได้ดังพระทัย
๖. ขออย่าให้เป็นฝีพายเจ้าฟ้าอาภรณ์ คือ ฝีพายเรือพระที่นั่งของเจ้าฟ้าอาภรณ์นั้นต้องขานยาวยิ่งกว่าเรือลำใดๆ ทั้งหมด
๗. ขออย่าให้เป็นละครของแม่น้อยบ้า คือ ละครของน้อยธิดาเจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) อธิบายว่าละครโรงอื่นๆ เขาเล่นก็เพื่อเอาเงินเข้าโรง แต่ละครคณะนี้หาได้มุ่งประโยชน์เช่นว่านั้นไม่ เป็นละครคณะเดียวที่ใครจะศรัทธาให้อะไรตอบแทนก็ได้ แม้จะเพียงหัวปลาหรือที่สุดจนกะปิหอมกระเทียมก็รับเล่น แปลว่าได้อะไรก็เอาสิ่งเหล่านั้นมาแจกเป็นบำเหน็จแก่พวกตัวละคร
๘. ขออย่าให้รู้ชะตาเหมือนอาจารย์เซ่ง แปลว่าความว่า นายเซ่งเป็นหมอดู ใครไปให้ดูดวงชะตาอาจารย์เซ่งก็มักจะทายว่าดวงดีเสมอ บางทีหนักข้อถึงขนาดจะได้เป็นกษัตริย์บ้าง ได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่บ้าง เป็นเศรษฐีบ้าง ผู้คนต่างพากันไปหลงไปจ้างให้นายเซ่งดูชะตากันเนืองแน่น ผลสุดท้ายอาจารย์เซ่งต้องถูกลงพระราชอาญา
๙. ขออย่าให้เป็นนักเลงอย่างท่านผู้หญิงฟัก ท่านผู้หญิงฟักนี้ชอบเล่นเบี้ย มีอุบายสำคัญอยู่อย่างหนึ่งค่อนข้างจะวิตถาร คือเวลาเข้าไปอยู่ในบ่อนเบี้ย ท่านผู้หญิงฟักมักจะทำกิริยานั่งลับๆ ล่อๆ ให้นายบ่อนมัวพะวงมองดูที่ตัวท่านผู้หญิงฟักจนตาค้าง เป็นเหตุให้พรรคพวกลักเปิดโปดู ได้กล่าวกันว่าเลยเป็นนักเลงร่ำรวยด้วยอุบายอันนั้น
๑๐. ขออย่าให้เป็นสมปักของพระนายไวย คือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริวงศ์ เวลานั้นยังเป็นหัวหมื่นมหาดเล็ก อธิบายว่าเวลาเข้าเฝ้าจะนุ่งผ้าสมปักพื้นเขียวผืนเดียวไม่ยอมเปลี่ยน
๑๑. ขออย่าให้เป็นดอกไม้ของเจ้าคุณวัง คือ เจ้าจอมมารดาตานีในรัชกาลที่ ๑ ซึ่งเป็นธิดาเจ้าพระยามหาเสนาฯ บุนนาค และเป็นเจ้าจอมมารดากรมหมื่นสุรินทรรักษ์ เพราะว่าเจ้าคุณวังเป็นช่างร้อยดอกไม้ฝีมือดีอย่างยิ่งในสมัยนั้น ไม่ว่าใครจะมีการงานก็มักจะไปขอดอกไม้ที่เจ้าคุณวัง ท่านก็ต้องร้อยดอกไม้ไปช่วยงานเขามิได้ขาด จนดอกไม้ในสวนของเจ้าคุณวังถูกเด็ดนำไปร้อยดอกไม้ จนไม่มีโอกาสจะได้บานทัน
๑๒. ขออย่าให้เป็นระฆังวัดบวรนิเวศ อธิบายว่าระฆังวัดอื่นๆ ตามปกติจะตีกันเมื่อเวลาจวนรุ่งกับจวนค่ำวันละ ๒ เวลาเท่านั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศ ทรงโปรดให้ใช้ตีระฆังเป็นสัญญาณอาณัติสงฆ์ในการอื่นอีก เช่น ตีเรียกสงฆ์ลงโบสถ์เวลาเช้า-เย็น เป็นต้น ระฆังวัดบวรนิเวศน์ในสมัยนั้นจึงต้องตีมากกว่าระฆังวัดอื่นๆ
ด้านผลงาน : วรรณกรรมชิ้นเด่นของกวีหญิงท่านนี้ ปรากฏใน เพลงยาวเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เพลงยาวเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพลงยาวบวงสรวงฉลองสระ กลอนเล่าเรื่องประวัติส่วนตัวของคุณพุ่มเอง
ความในเพลงยาวเฉลิมพระเกียรติยศพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว นั้น คุณพุ่มก็ได้รำพันไว้อย่างซาบซึ้ง ปรากฏดังนี้
ข้าพเจ้าเล่าเป็นข้าฝ่าพระบาท
ธรรมิกราชบพิตรอดิศร คือพระนั่งเกล้ากษัตริย์ฉัตรนคร
โปรดบิดรลือดังทั้งแผ่นดิน ทรงเลี้ยงเราเข้าระยะที่พระแสง
ต้องจัดแจงจดพระเดชเทวศถวิล เอากตัญญูปัญญาทาแผ่นดิน
ช่วยเพิ่มภิญโญพระบารมี สมุดแทนแผ่นเพ็ชรเจ็ดกะหรัด
ประจงจัดจดกลอนอักษรศรี สมเด็จพระนั่งเกล้ากษัตริย์ปัถพี
ไว้เป็นที่โสมนัสมัสการ ด้วยพระองค์ทรงเลี้ยงไว้เพียงบุตร
เป็นสุขสุดสมบัติพัสถาน ฯ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตแล้ว ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คุณพุ่มมีอายุล่วงเข้าวัยกลางคน ฐานะก็ไม่บริบูรณ์พูนสุขเหมือนเมื่อบิดายังมีชีวิตอยู่ คุณพุ่มได้อาศัยพึ่งพิงอยู่ในกรมหมื่นมเหศวรศิวิลาศ และกรมหมื่นวิศณุนารถนิภาธร ทั้งสองพระองค์ทรงรับอุปการะคุณพุ่ม และได้ไปขุดสระหนทางขึ้นพระพุทธบาทให้เป็นสาธารณประโยชน์ เมื่อขุดสระเสร็จเป็นที่เรียบร้อย คุณพุ่มได้แต่งเพลงยาวด้วยภาษาอันกลมกลืนไพเราะน่าฟัง เขียนปิดไว้ที่ริมสระนั้น มีผู้คัดลอกมาไว้ดังนี้
“ยอกรประนมก้มเกษ
อภิวันทเทเวศร์ทุกสถาน เสวยสุขในรุกขพิมาน
ห้วยละหานชลธีที่ใกล้ไกล ทั้งเทพาอารักษ์ศักดาฤทธิ์
สิงสถิตโขดเขินเนินไศล ตั้งแต่พื้นภูมานภาไลย
อีกพระไพรเจ้าป่าพนาลี ทุกพระองค์จงรับส่วนกุศล
ซึ่งมาฉลองมงคลสระสรี ขออาศัยในทิวาแลราตรี
อย่าให้มีโรคันอันตราย”
“เชิญเสด็จมาสดับรับบวงสรวง เอานามพุ่มแทนพวงทิพย์บุบผา
ด้วยจากแดนแสนกันดารดวงมาลา ไม่ทันหาบายศรีพลีสังเวย
ส่วนกุศลต่างสุคนธรสรื่น อันหอมชื่นไม่สิ้นกลิ่นระเหย
ไมตรีจิตต์อุทิศแทนนมเนย บูชาเชยอารักษ์ด้วยภักดี
หลังจากนั้นไม่นานนัก กรมหมื่นมเหศวรฯ กับกรมหมื่นวิศนุนารถฯ สิ้นพระชนม์ลงทั้งสองพระองค์ ในปลายสมัยรัชกาลที่ ๔ คุณพุ่มต้องตกอยู่ในความแร้นแค้นเป็นอย่างมากเพราะขาดที่พึ่ง อาชีพที่พอจะยังชีวิตก็ได้แต่อาศัยเพียงการเขียนกลอนขายแต่อย่างเดียว ซึ่งไม่ค่อยจะพอกินพอใช้เหมือนกาลก่อน ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เสด็จสวรรคต เจ้าจอมมารดาในรัชกาลที่ ๔ ท่านหนึ่งซึ่งรู้จักคุณพุ่มดี ได้แนะนำให้คุณพุ่มแต่งกลอนยอพระเกียรติยศ ซึ่งอาจทำให้พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้รู้จักตัวและอาจมีหวังได้เข้าไปรับราชการฝ่ายในดีกว่ามานั่งแต่งกลอนขายแลกกับรายได้เพียงเล็กน้อย
คุณพุ่มจึงเริ่มประจงร้อยกรองเขียนเพลงยาวเฉลิมพระเกียรติยศ ด้วยความหวังว่าจะช่วยให้ตัวเองก้าวไปสู่ฐานะดีกว่าที่เป็นอยู่ โดยแทรกชีวิตส่วนตัวลงไว้ในบทเพลงยาวนั้นด้วย คงจะเป็นด้วยอำนาจกุศลประการหนึ่ง ที่บันดาลให้คุณพุ่มได้พบชีวิตใหม่อันอบอุ่นขึ้น เพราะในยุครัชกาลที่ ๕ เริ่มมีการเล่นสักวาอีก คุณพุ่มจึงได้มีโอกาสเข้าไปรับราชการอยู่ในสมเด็จกรมพระยาสุดารัตนราชประยูร โดยเป็นผู้บอกสักวาและทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงให้กลับมีความสุขสืบมาจนตลอดอายุขัยพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงดำรงตำแหน่ง "พระราชชายา" พระองค์เดียวของแผ่นดินสยาม
พระราชชายาเจ้าดารารัศมีการเมือง หรือเรื่องความรัก?เป็นที่กล่าวกันว่า...
มูลเหตุที่พระราชชายาเจ้าดารารัศมี พระธิดาของเจ้านครเชียงใหม่
เข้าไปเป็นบาทบริจาริกา ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นั้น
เป็นหนึ่งในพระราโชบาย ที่จะรวบรวมหัวเมืองล้านนาและราชอาณาจักรไทย
ให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง โดยอาศัยวิธีการแบบโบราณนิยม
คือการผูกความสัมพันธ์ฉันท์เครือญาติด้วยการสมรส ซึ่งเป็นวิธีการที่แยบยล...
ดังมีเรื่องราวความเป็นมาดังนี้ ในอดีต เชียงใหม่เป็นนครหนึ่งในอาณาจักรล้านนา มีเจ้าผู้ครองนครปกครอง มีเมืองต่างๆ ได้แก่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา แม่ฮ่องสอน เป็นเมืองร่วมอยู่ในอาณาจักรเดียวกัน ในราวสมัยอยุธยาตอนกลาง อาณาจักรล้านนาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า จนถึงรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เจ้าเจ็ดตน เชื้อสายพระยาสุลวะฦๅไชยสงคราม ได้ขอให้ไทยช่วยเหลือล้านนาให้พ้นจากอำนาจการปกครองของพม่า ครั้นพ้นจากอำนาจของพม่าแล้ว เจ้าเจ็ดตนจึงได้นำล้านนาเข้าสวามิภักดิ์ต่อรัฐสยามในฐานะประเทศราช ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการเพื่อแสดงความจงรักภักดีไปถวายพระเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพฯ ตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันสืบมา
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมืองเชียงใหม่ยังคงเป็นเมืองประเทศราชขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ มิใช่มีฐานะเป็นจังหวัดดังเช่นในปัจจุบัน มีพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เป็นเจ้าหลวงปกครอง ในระยะนั้นประเทศมหาอำนาจทางตะวันตก พยายามแสดงลัทธิจักรวรรดินิยมเข้าครอบคลุมประเทศภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หัวเมืองประเทศราชของไทย เช่น ลาว เขมร มลายู บางส่วนต้องตกเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจทางตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษ เมื่อเข้ายึดพม่าเป็นเมืองขึ้นได้แสวงหาผลประโยชน์จากกิจการป่าไม้ซึ่งเป็นทรัพยากรทางธรรมชาติที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ และได้แผ่ขยายอิทธิพลเข้าสู่อาณาจักรล้านนา โดยเริ่มจากการค้าขายเล็กๆ น้อยๆ จนถึงธุรกิจสำคัญ คือ กิจการสัมปทานป่าไม้ ซึ่งหัวเมืองประเทศราชฝ่ายเหนือของไทยก็มีทรัพยากรธรรมชาติป่าไม้อย่างอุดมสมบูรณ์ และทางเมืองหลวงจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ปล่อยให้เป็นสิทธ์ขาดของเจ้านายฝ่ายเหนือในการดำเนินกิจการป่าไม้ เพราะถือเป็นทรัพย์สินของเมืองล้านนา
แต่กิจการป่าไม้ได้สร้างปัญหาด้านการเมืองอันเนื่องมาจากการให้เช่าทำสัมปทาน ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีกฎระเบียบที่ชัดเจนแน่นอน เป็นสาเหตุให้เกิดข้อขัดแย้งทะเลาะวิวาทระหว่างคนอังกฤษ คนในบังคับอังกฤษ (พม่า) กับชาวเมืองล้านนาบ่อยครั้ง ทำให้เมืองหลวงหรือทางกรุงเทพฯ ต้องเข้าไปแทรกแซงระงับกรณีพิพาทอยู่เนืองๆ ด้วยเกรงว่าท้ายที่สุดอาณาจักรล้านนาจะตกเป็นเมืองขึ้นของตะวันตก ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์สำคัญของการแสวงหาอาณานิคมในภูมิภาคนี้ ด้วยข้ออ้างว่าเพื่อระงับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจึงต้องเข้ามามีส่วนในการบริหารประเทศ • การทอนอำนาจของเจ้านายฝ่ายเหนือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชวิเทโศบายรวมอาณาจักรล้านนาซึ่งเคยเป็นเมืองเอกราช ต่างปกครองตนเอง ให้ผนวกเข้าเป็นมณฑลหนึ่งในการปกครองของไทยด้วยวิธีการนุ่มนวลรอบคอบเพื่อมิให้เกิดการกระทบกระเทือนกระด้างกระเดื่อง กระทั่งประสบผลสำเร็จในตอนปลายรัชสมัย โดยชั้นแรกโปรดฯ ให้รวมเข้าเป็นกลุ่มเรียก มณฑลลาวเฉียง ต่อมาเปลี่ยนเป็น มณฑลพายัพ ให้อำนาจการปกครองเข้าสู่ศูนย์กลางคือเมืองหลวง และส่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยให้ออกไปเป็นข้าหลวงปกครอง
ในท้ายที่สุดแผ่นดินล้านนาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทยสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน พระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่
พระราชบิดาในพระราชชายา เจ้าดารารัศมี
คนดัง อะราวนด์เดอะเวิลด์
พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ที่ฝ่ายในต่างเรียกขานพระนามของพระองค์อย่างสนิทสนมว่า "เจ้าน้อย"
ทรงเป็นพระมเหสีองค์แรกในประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์ ที่เป็นเจ้าหญิงจากต่างแคว้น
และถวายตัวเข้ารับราชการฝ่ายใน ภายใต้กฏมณเฑียรบาลอันคร่งครัดของราชสำนักสยาม
ในปี พ.ศ.๒๔๒๕ เป็นรัชสมัยของสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย พระบรมราชินีนาถแห่งอังกฤษ ขณะนั้นประเทศอังกฤษและฝรั่งเศสเป็นประเทศมหาอำนาจทางตะวันตก พยายามแสดงลัทธิจักรวรรดินิยมเข้าครอบคลุมพื้นที่ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศพม่า อินเดีย และประเทศในอินโดจีนต่างก็ตกเป็นเมืองขึ้นของสองประเทศเกือบหมดสิ้น มีทูตอังกฤษมาจากพม่าตอนใต้มาเจรจาทาบทามพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ว่า สมเด็จพระบรมราชินีนาถแห่งประเทศอังกฤษ ทรงมีพระราชประสงค์ขอรับเจ้าดารารัศมีไว้ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และจะสถาปนาให้เป็นเจ้าในพระราชวงศ์อังกฤษเป็นพิเศษ
เรื่องนี้อาจเป็นสาเหตุให้ ในราวพุทธศักราช ๒๔๒๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นพิชิตปรีชากร ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเทียบได้กับผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในมณฑลพายัพ อัญเชิญพระกุณฑลและพระธำมรงค์ประดับเพชร ไปพระราชทานเป็นของขวัญแด่เจ้าดารารัศมี และมีการระบุด้วยว่าเป็นการทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ หมั้นหมาย และในปีถัดไปเจ้าดารารัศมีมีชันษาครบโสกันต์ จึงทรงพระราชทานเครื่องโสกันต์ชั้นเจ้าฟ้าให้เป็นเครื่องทรงอีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทยและมิใช่แบบอย่างประเพณีของเจ้านายฝ่ายเหนือ
พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ทรงเป็นพระธิดาของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ ผู้สืบเชื้อสายมาจากพระยาสุลวะฦๅไชยสงคราม (หนานทิพย์ช้าง) ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มรวบรวมล้านนาให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง ประสูติแต่แม่เจ้าเทพไกรสร เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๑๖ ณ คุ้มหลวงกลางเวียง นครเชียงใหม่ ทรงเข้าถวายตัวรับราชการในพระราชสำนักฝ่ายใน ในตำแหน่งเจ้าจอมเมื่อพระชนมายุ ๑๔ พรรษา ในคราวตามเสด็จพระบิดามาในพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร (พระองค์แรกแห่งราชวงศ์จักรี) ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๒๙ ได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นพระราชชายา
ทรงมีพระราชธิดาพระองค์หนึ่ง พระนาม พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าวิมลนาคนพีสี แต่ก็ทรงประชวรสิ้นพระชนม์ เมื่อพระชนมายุเพียง ๓ พรรษา ยังความโทมนัสต่อพระราชบิดาและพระมารดา
เกี่ยวกับเรื่องนี้มีบันทึกไว้ว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระชนกาธิราช มีพระราชดำรัสแก่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ว่า “ฉันผิดเอง ลูกเขาควรเป็นเจ้าฟ้า แต่ฉันลืมตั้ง จึงตาย” พระตำหนักครึงตึกครึ่งไม้แบบตะวันตก ของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี
ในบริเวณราชฐานชั้นใน พระบรมมหาราชวัง ซึ่งพระบิดาได้ถวายเงินในการสร้าง
เมื่อครั้งพระองค์ประทับอยู่ ณ ตำหนักแห่งนี้ ทรงรักษาขนบประเพณีตามแบบล้านนา
ข้าราชบริพารที่ตามเสด็จมาจากนครเชียงใหม่ ต่างนุ่งซิ่น เกล้ามวย และพูดภาษาล้านนา
พ.ศ. ๒๔๕๑ เจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ผู้เป็นพระเชษฐาเจ้าดารารัศมี เดินทางมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ณ กรุงเทพฯ เจ้าดารารัศมีจึงทรงกราบบังคมทูลลาเสด็จติดตามพระเชษฐาเพื่อเยี่ยมเยือนแผ่นดินมาตุภูมิและพระประยูรญาติที่ได้จากไกลเป็นเวลานานถึง ๒๒ ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชานุญาตทั้งยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระอิสริยยศเจ้าดารารัศมี จากเจ้าจอมมารดา ขึ้นเป็น พระราชชายา ทรงดำรงตำแหน่งนี้เป็นพระองค์แรกและพระองค์เดียวในแผ่นดินสยาม ตราบจนปัจจุบันนี้
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว เจ้านายฝ่ายในทั้งหลายรวมพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ก็เสด็จไปประทับภายในพระราชวังสวนดุสิต ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗ พระราชชายาเจ้าดารารัศมีได้กราบถวายบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จกลับไปประทับ ณ เมืองเชียงใหม่ บ้านเกิดเมืองนอน ในชั้นแรกโปรดประทับ ณ คุ้มท่าเจดีย์กิ่วริมแม่น้ำปิง ของเจ้าแก้วนวรัฐผู้เป็นพระเชษฐา
จนถึง พ.ศ. ๒๔๗๒ พระชนมายุประมาณ ๕๖ พรรษา ย่างเข้าปัจฉิมวัย ทรงมีพระประสงค์ประทับอยู่ในที่ซึ่งสงบเงียบ จึงทรงซื้อที่นาเนื้อที่ประมาณ ๗ ไร่เศษ อยู่อำเภอแม่ริม ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ ๑๔ กิโลเมตร และสร้างพระตำหนักเล็กครึ่งตึกครึ่งไม้หลังคาทรงปั้นหยา ประทานนามว่า ตำหนักดาราภิรมย์ และบริเวณทั้งหมดเรียก สวนเจ้าสบาย ทรงโปรดให้นำพืชพันธุ์ไม้เมืองหนาวจากต่างประเทศมาปลูกในพระตำหนัก เช่น เชอรี่ บีทรูท แครอท กะหล่ำปลีสีม่วง ข้าวโพดพันธุ์ฝรั่ง นอกจากพันธุ์พืชดังกล่าวแล้วยังมีพันธุ์ไม้ดอกต่างๆ ที่โปรดมากที่สุดคือ ดอกกุหลาบ ทรงเป็นสมาชิกสมาคมกุหลาบแห่งประเทศอังกฤษ ทรงผสมพันธุ์กุหลาบด้วยพระองค์เอง จนได้กุหลาบพันธุ์ใหม่ดอกใหญ่สีชมพู กลิ่นหอมเย็น ทรงตั้งชื่อกุหลาบพันธุ์นี้ว่า จุฬาลงกรณ์ เป็นพระบรมราชานุสรณ์ในพระบรมราชสวามี
พระราชชายาเจ้าดารารัศมีทรงดำเนินพระชนมชีพในบั้นปลายอย่างสงบสุข ณ ตำหนักดาราภิรมย์ สวนเจ้าสบาย จนถึง พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงเริ่มประชวรพระโรคปัปผาสะพิการ เมื่อพระอาการทรุดหนักลง เจ้าหลวงแก้วนวรัฐ พระเชษฐา จึงเชิญเสด็จให้ทรงย้ายจากตำหนักดาราภิรมย์ มาประทับ ณ คุ้มรินแก้ว ในตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อรักษาพระอาการพระโรคได้สะดวก แต่พระอาการมีแต่ทรงกับทรุด จนสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ รวมพระชนมายุ ๖๐ พรรษา