น้อง บก. ขอบคุณการแบ่งปันจากอาจารย์ค่ะ ตอนนี้อยากเปิดให้ทุกคนได้ถามคำถามหรือแลกเปลี่ยนค่ะถาม ผมมีความเห็นว่าความเป็นมิตรเป็นสิ่งที่สำคัญ พอคนไหนเป็นมิตรกับเรา ความกลัวของเราจะหายไป เช่น ถ้าเราเดินทางไปต่างจังหวัด แล้วเราต้องเดินทางกับคนที่ไม่รู้จัก ใจเราจะเต็มไปด้วยความวิตกกังวล แต่ถ้าเป็นคนที่เรารู้จัก เราจะสนิทใจ สบายใจ เวลาที่เราได้สวดบทแผ่เมตตาที่ว่า "สรรพสัตว์ผู้เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น" ความรู้สึกวิตกกังวลก็ค่อยๆ คลายลง อยากจะถามอาจารย์ว่าความอึดอัดที่เห็นว่าเราแตกต่างกับเขา มันจะสลายหรือทำให้นุ่มนวลลงได้อย่างไรอาจารย์ คำถามนี้คือคำตอบอยู่แล้วละครับ คำว่า "มิตร" คือคำว่าเมตตาและความรัก มันคือคำเดียวกัน เพียงแต่ถูกปรุงให้ใช้ในแต่ละสถานการณ์เท่านั้น คนที่เป็นมิตรคือคนที่มีจิตประกอบด้วยความเมตตาต่อกัน เมื่อมีจิตเมตตาต่อกันและกัน เราก็เป็นมิตรของกันและกัน ทันทีที่เรามีความเป็นมิตร เราก็มีความเมตตา มีอยู่ครั้งหนึ่งผมได้ฟังบทแผ่เมตตาของภาคเหนือ ความหมายของบทนั้นคือการแผ่เมตตาให้หมดสิ้นทั้งสากลจักรวาล ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะไม่ได้รับความเมตตาจากเรา เมื่อเรามีความเมตตาต่อทุกสิ่ง ผมเชื่อว่าเราไม่มีอะไรต้องกลัวหรือวิตกกังวลอีกต่อไปแล้ว เมื่อใดก็ตามที่เราสามารถแผ่เมตตาในลักษณะนี้ได้ แม้ชีวิตของเราจะจบลง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวเลย ความกลัวของคนเรา หมายถึง เราคิดว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่ตัวเรา แต่เป็นอย่างอื่นดำรงอยู่ แต่พอเราแผ่เมตตาไปทั่วทั้งจักรวาลแล้ว ผมเข้าใจว่าแม้เราจะไม่มีชีวิตแล้ว แต่ความรักความเมตตานั้นยังคงอยู่เสมอเวลาเราพูดถึงความรัก ผมจะคิดถึงคุณแม่ เรารักแม่อย่างมาก แม้แม่จากไปแล้ว แต่ยังมีความหมายของบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่หล่อเลี้ยงผมอยู่ ผมยังสัมผัสได้ว่า อะไรที่แม่ไม่อยากให้ผมทำ จนถึงปัจจุบันนี้ผมก็จะไม่ทำ อะไรที่แม่อยากให้ผมทำ ผมก็ยังทำอยู่จวบจนทุกวันนี้ คำสั่งคำสอนและความปรารถนาของแม่ที่มีอยู่ในใจผมไม่เคยตายจากไปกับผู้หญิงคนหนึ่งที่จบชีวิตลงเลย และความรักความเมตตาที่แม่มีอยู่ในตัวผมยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน ผมมีความรู้สึกคล้ายๆ กันว่า เมื่อถึงวันหนึ่งที่แต่ละคนต้องล้มหายตายจากไป แต่ความมิตรนั้นยังคงอยู่ มันช่วยเอื้อเฟื้อเกื้อกูลบุคคลอื่นจำนวนมากที่หมู่บ้านพลัม หลวงปู่ท่านจะพูดถึงสังฆะอยู่เสมอ คำว่าสังฆะคือสภาวะที่ตรงกันข้ามกับปัจเจก มันหมายถึงการหลอมรวมชีวิตของปัจเจกจำนวนมากให้มาเป็นหนึ่งเดียวและเกื้อกูลซึ่งกันและกัน พระพุทธองค์ถึงกับตรัสเลยนะครับว่า “สงฆ์หรือสังฆะนั้นเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของชีวิตพรหมจรรย์” นั่นแสดงว่า ชีวิตที่ประเสริฐคือชีวิตที่เป็นสังฆะ ผมเข้าใจว่าหลายคนไม่มีสังฆะแม้แต่ในครอบครัวที่อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ เรารู้สึกอยากแยกตัวเองออกจากพ่อแม่ ความปรารถนาของพ่อแม่ไม่ใช่ความปรารถนาของเรา นี่คือการสูญเสียความเป็นสังฆะ เมื่อเราสูญเสียความเป็นสังฆะ เราจะเป็นตัวตนที่โดดเดี่ยวและว้าเหว่ เราโหยหาบางสิ่งบางอย่าง และความโหยหานี้ก็ปรากฏขึ้นมาเป็นความกลัว ฉะนั้นพวกเราที่มีโอกาสฝึกภาวนาตามแนวทางของหลวงปู่ สิ่งนี้จึงเป็นที่สำคัญและวิเศษมาก เมื่อใดก็ตามที่เราสามารถสำนึกได้ถึงความเป็นสังฆะ ชีวิตเราที่เคยบอกว่าน่ากลัว มันก็จะไม่น่ากลัวมากนัก เคยสังเกตไหมครับว่า ท่ามกลางความมืดพอมีคนอีกคนมาอยู่ด้วยกัน ความกลัวก็จางหายไป คนสองคนที่เคยกลัวกันทั้งคู่ แต่มาอยู่ด้วยกันความกลัวก็ลดน้อยถอยลง นั่นไงครับ สังฆะได้เกิดแล้ว ความเป็นปัจเจกหายไปแล้ว ถาม ผมมักมีเสียงที่ตัดสินตัวเอง คอยตำหนิติเตียนตัวเองอยู่เสมอ ทำให้ผมเกิดความเครียดได้ง่าย เมื่อเราตัดสินตัวเองก็ทำให้ตัดสินคนอื่นไปด้วย เราจึงรู้สึกแปลกแยกและกลัวคนรอบข้างอยู่เสมอ แต่พอมองลึกๆ แล้ว ผมต้องการให้คนอื่นมารักและเข้าใจเรา เมื่อเขารัก เขาชม เราก็รู้สึกดีมาก แต่พอเขาไม่รัก ไม่ชม เราก็เสียใจ นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในใจผมเสมอ ผมคิดว่าสิ่งที่ทำให้ผมเป็นทุกข์ คือ ความคิดว่ามีตัวเรา มีตัวเราที่อยากให้เขามารัก มีตัวเราที่ไม่อยากให้เขาไม่ชอบ ผมจึงผึกปฏิบัติอยู่เสมอเมื่อมีความคิดแบบนี้ แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่า วิธีที่ผมมองอยู่นั้นถูกหรือเปล่าจึงอยากถามอาจารย์ครับอาจารย์ ผมว่า ถ้าเราตัดสินตัวเองในความหมายของการพินิจใคร่ครวญ มันจะไม่ใช่เป็นการตำหนิประณาม แต่มันคือความเห็นใจ เวลาที่ตัวเองทำอะไรผิด เราก็เกิดความเห็นใจในตัวเอง เวลาที่เราตัดสินคนอื่น เราอาจเคยใช้ความหมายถูกผิดไปกำกับเขา แต่ถ้าเราเห็นใจเขา เราจะเข้าใจว่าทำไมเขาจึงต้องทำสิ่งนั้น ถ้าเราเห็นใจเขา เราก็จะเกิดความเข้าใจ ความเข้าใจนี้จะช่วยให้ความโกรธความแค้นชิงชังในตัวเราน้อยลง ผมเข้าใจว่าเวลาที่เราตัดสินตัวเองและรู้สึกกดดัน จริงๆแล้ว เราไม่ได้ตัดสินตัวเองด้วยตัวเองหรอก เราใช้เกณฑ์บางอย่างมากดดันตัวเรา แต่ถ้าเราพินิจใคร่ครวญตัดสินตัวเราเองในความหมายที่เราเข้าใจตัวเอง เข้าใจข้อจำกัด เงื่อนไข และสถานการณ์ของเรา เราจะไม่สามารถใช้เกณฑ์มาตรฐานมาเป็นตัวกำหนดว่า เราสามารถทำสิ่งนี้ได้ในทุกสถานการณ์ เราอาจทำสิ่งนี้ได้ในสถานการณ์หนึ่ง และเราอาจทำสิ่งนี้ไม่ได้ในอีกสถานการณ์หนึ่ง เรารู้ว่าในสถานการณ์ที่แตกต่างกันเป็นปัจจัยที่ทำให้เราทำสิ่งนี้ไม่ได้ เมื่อเราเห็นความโยงใยของสถานการณ์ซึ่งเป็นตัวกำหนดสิ่งต่างๆ เราก็จะเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และช่วยให้เราเข้าใจสถานการณ์ของคนอื่นด้วยเช่นเดียวกัน เราจะเห็นใจเขามากขึ้น พอเราเห็นใจเขา เราก็จะเกิดความรู้สึกว่า เราจะมีส่วนช่วยเหลือเกื้อกูลอะไรเขาได้บ้าง เราจะเป็นสังฆะที่คอยโอบอุ้มสนับสนุนส่งเสริมให้เขาได้อย่างไร สิ่งที่เราเรียกว่าความรักความเมตตานั้นไม่ใช่สิ่งที่จะผุดปรากฎขึ้นมาได้ง่ายๆ กับทุกคน มันจะปรากฏขึ้นกับคนใกล้ชิดที่เกื้อกูลกันมาพอสมควร ถ้าจะให้เรารักศัตรูก็ค่อนข้างยาก จะให้เมตตาคู่แข่งก็ค่อนข้างยาก แต่ถ้าเราเข้าใจความหมายของการยึดโยงโลกภายนอกกับเรื่องราวในจิตใจคนๆ หนึ่ง เราจะเห็นโอกาสเลยครับ โอกาสที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลคนๆ นั้นให้เกิดความรู้สึกที่ดีๆ เกิดความรัก เกิดพลังภายในใจ เพราะความรักจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากขาดการเกื้อกูล ฉะนั้นหากวันหนึ่งเพื่อนที่เคยยิ้มแย้มแจ่มใสให้เรา เขาไม่ยิ้มให้เรา เราจะไม่เสียใจ เพราะเรารู้ว่าสถานการณ์ในวันนั้นเป็นสถานการณ์ที่บีบคั้นและทำให้เขายิ้มได้ยาก เราต่างหากที่ต้องช่วยสร้างสถานการณ์ที่เอื้อให้เขายิ้มได้ ความรู้สึกแบบนี้คือความเห็นใจ ซึ่งทำให้เรามองเห็นข้อจำกัดในตัวเรา และมองเห็นข้อจำกัดในใจคนอื่น การมองแบบนี้จะทำให้เราเกิดพลังที่จะเห็นใจและเข้าใจ เมื่อการสนทนาธรรมจบลง เราไหว้ขอบคุณซึ่งกันและกัน น้องๆ ช่วยกันม้วนเก็บเสื่อที่หยิบยืมมาใช้ ด้านอาจารย์ประมวลและหลวงพี่พิทยาก็สนทนาธรรมย่อยอย่างเป็นกันเองด้วยสำเนียงใต้ จนแดดเริ่มแรงแยงตาพวกเราจึงยกมือไหว้ล่ำลากันด้วยหัวใจที่เบิกบานและพองโต ...๐ เจริญ ตรงวรานนท์ - จิตตปัญญา : ถอดความ
พรรัตน์ วชิราชัย – วรจิตตรา : เรียบเรียง
สหรัฐ เจตมโนรมย์ – จิตต์จิตบุณย์ : ภาพ
http://www.thaiplumvillage.org/dharma_shared_002_01.html