สุรพศ ทวีศักดิ์: ปากท้องกับอุดมการณ์ไม่เคยแยกขาดจากกันได้จริง
<span class="submitted-by">Submitted on Mon, 2023-10-02 23:48</span><div class="field field-name-field-byline field-type-text-long field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><p>สุรพศ ทวีศักดิ์</p>
<p> </p>
</div></div></div><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><p>เกือบ 1 ศตวรรษ หรือกว่า 91 ปี จากการปฏิวัติสยาม 2475 ถึงปัจจุบัน ปัญหา “ปากท้อง” กับ “อุดมการณ์ทางการเมือง” ไม่เคยแยกขาดจากกันได้จริง เริ่มจากคำอธิบายที่มาของ “หลัก 6 ประการ” ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎรที่ว่า</p>
<p>
1. เศรษฐกิจตกต่ำ ในระหว่าง พ.ศ. 2472 - 2474 เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก สินค้าไทยโดยเฉพาะข้าวราคาตกต่ำ เกิดภาวะขาดแคลนทั่วประเทศ ประกอบกับประเทศไทยมีรายจ่ายเกินกว่ารายได้ต่อเนื่องมาหลายปี ทำให้ฐานะการเงินการคลังของรัฐบาลอยู่ในสภาพคลอนแคลน ซึ่งรัฐบาลในสมัยรัชกาลที่ 7 พยายามแก้ไขสถานะการคลังหลายวิธี เช่น ลาออกจากองค์การมาตรฐานทองคำ กำหนดค่าเงินบาทขึ้นใหม่ แต่ที่สำคัญซึ่งได้รับความเดือดร้อนกันทั่วไป คือ การเพิ่มภาษีราษฎรและการปลดข้าราชการออก เพื่อรักษาดุลยภาพทางการเงิน ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่ข้าราชการเป็นอันมาก</p>
<p>
2. ความขัดแย้งระหว่างสามัญชนกับพระราชวงศ์ สามัญชนมีการศึกษาสูงขึ้นเนื่องจากจบจากต่างประเทศและกลับเข้ามารับราชการกันมาก แต่บรรดาเจ้านายพระราชวงศ์บางพระองค์ทรงไม่สามารถปรับพระองค์ได้ ยังทรงถือเป็นข้าหรือบ่าวอยู่ตามเดิม ทำให้สามัญชนที่มีความรู้ความสามารถเกิดน้อยเนื้อต่ำใจ</p>
<p>
3. แนวคิดที่ได้รับจากตะวันตก ข้าราชการที่ได้รับการศึกษาตามแบบตะวันตกต้องการให้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย</p>
<p>
4. การประวิงเวลาพระราชทานรัฐธรรมนูญในวันที่ 6 เมษายน 2475 การที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 มิอาจพระราชทานรัฐธรรมนูญในโอกาสสมโภชกรุงครบรอบ 150 ปี ในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2475 เพราะได้รับการทัดทานจากคณะอภิรัฐมนตรี เป็นการเร่งรัดให้มีการปฏิวัติโดยเร็วยิ่งขึ้น เพราะข้าราชการที่มีความคิดก้าวหน้าเห็นว่า หนทางที่จะได้รับพระราชทานรัฐธรรมนูญ โดยไม่ใช้กำลังบังคับนั้นไม่มีแล้ว (ดู http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=หลัก_6_ประการของคณะราษฎร)</p>
<p>เห็นได้ว่าที่มาของหลัก 6 ประการของคณะราษฎร ตามข้อ 1 เป็นเรื่อง “ปัญหาปากท้อง” ข้อ 2 และ 4 เป็นปัญหาขัดแย้งระหว่าง “ตัวละครทางการเมือง” สองฝ่าย คือ ฝ่ายศักดินากับฝ่ายสามัญชน โดยมี “อุดมการณ์ทางการเมือง” ในข้อ 3 เป็นพลังในการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อไปดูรายละเอียดของหลัก 6 ประการ ยิ่งชัดเจนว่าปากท้องกับอุดมการณ์ไม่แยกขาดจากกัน </p>
<p>
1. จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง</p>
<p>
2. จะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก</p>
<p>
3. ต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก</p>
<p>
4. จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน (ไม่ใช่พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรเช่นที่เป็นอยู่ในเวลานี้)</p>
<p>
5. จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการ ดังกล่าวข้างต้น</p>
<p>
6. จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร (ที่มา https://www.nat.go.th/คลังความรู้/รายละเอียด/ArticleId/846/-6)</p>
<p>ชัดเจนว่าปัญหาปากท้อง (ข้อ 3) กับอุดมการณ์เรื่องสิทธิเสมอภาคกัน (ข้อ 4) และเสรีภาพ (ข้อ 5) ไม่แยกขาดจากกัน โดยเฉพาะเมื่อมีการจัดทำ “โครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ” ตามหลักข้อ 3 ออกมาเป็น “เค้าโครงเศรษฐกิจ” ในสมุดปกเหลืองของปรีดี พนมยงค์ ยิ่งชัดเจนว่าการแก้ปัญหาปากท้องในเชิงโครงสร้างยึดโยงกับอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่เน้นความเสมอภาคทางสังคมและเศรษฐกิจ (social democracy) เพื่อต้องการให้ประชาชนมีสิทธิเสมอภาคทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ พร้อมกับมีเสรีภาพทางการเมืองและเสรีภาพปัจเจกบุคคล อันเป็น “มาตรฐานขั้นต่ำสุด” ที่ขาดไม่ได้ของระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่นั่นเอง </p>
<p>พูดให้ชัดคือ อุดมการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของคณะราษฎรไม่ได้แยกขาดจากกัน สิทธิเสมอภาคกันทางการเมืองและเศรษฐกิจจึงต้องสอดคล้องไปด้วยกัน และชัดเจนว่าอุดมการณ์ทางเศรษฐกิจและอุดมการณ์ทางการเมืองของฝ่ายสามัญชนกับฝ่ายศักดินาขัดแย้งกัน เห็นได้จาก ร.7 ออก “สมุดปกขาว” โต้แย้งเค้าโครงเศรษฐกิจใน “สมุดปกเหลือง” ของปรีดีเป็นต้น จากนั้นการต่อรองต่อสู้เพื่อครอง “อำนาจนำทางการเมือง” (political hegemony) ระหว่างฝ่ายศักดินากับสามัญชนก็ดำเนินต่อมาผ่าน “การร่างรัฐธรรมนูญ” ฉบับ 10 ธันวาคม 2475, กบฏบวรเดช 2476, การทำรัฐประหารครั้งต่างๆ และในด้านกลับก็คือการขยายตัวของแนวคิดปฏิวัติทางชนชั้นแบบมาร์กซิสต์ และแนวคิดเสรีนิยมประชาธิปไตยเรื่อยมาถึงปัจจุบัน ผ่านบริบททางสังคมที่ซับซ้อนแตกต่างกันไปในแต่ละยุค โดยเฉพาะก็ชัดเจนว่าอำนาจฝ่ายศักดินาถูกสถาปนาให้เข้มข้นมากขึ้น ในรัฐธรรมนูญ 2560 และกฎหมายอื่นๆ อันเป็นผลพวงของรัฐประหาร 2549 และ 2557 </p>
<p><strong>ถ้าถามว่าความจริงของปัญหาบ้านเราปัจจุบันคืออะไร คำตอบตรงไปตรงมาคือ บ้านเรามีปัญหาใหญ่หลักๆ 2 เรื่อง คือ 1) ปัญหาการไม่สามารถจะมีสิทธิทางการเมืองครบถ้วนตามหลักสิทธิมนุษยชน หรือระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ได้จริง และ 2) ปัญหาปากท้อง</strong></p>
<p>ปัญหาแรก คือปัญหาระดับ "รากฐาน" ของความเป็นประชาธิปไตย เพราะการต่อสู้ต่อรองระหว่างฝ่ายศักดินากับสามัญชนหลัง 2475 เป็นต้นมา ทำให้มี "อำนาจรัฐทับซ้อนกัน" 2 แบบ คือ “อำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง” กับ "อำนาจนอกระบบการเลือกตั้ง" (ที่คุมกองทัพ ตำรวจ ศาล ศาสนจักร ระบบการศึกษา ฯลฯ ได้มากกว่ารัฐบาลจากเลือกตั้ง?) ที่เรียกว่า "รัฐซ้อนรัฐ" อย่างที่พูดกันมานาน</p>
<p>การมีอำนาจนอกระบบเลือกตั้งที่ไม่มีกลไกตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นๆ จำกัดอำนาจไว้ชัดเจนและวิจารณ์ตรวจสอบไม่ได้ ทำให้ไม่สามารถจะมี "สิทธิทางการเมือง" ครบถ้วนตามหลักสิทธิมนุษยชนได้จริง เช่น ไม่สามารถจะมีสิทธิเลือกตั้งในกระบวนการที่ "เสรีและเป็นธรรม" ไม่มีเสรีภาพทางความคิดเห็น การพูด การแสดงออก การอภิปรายสาธารณะทางการเมืองได้ "ทุกเรื่อง" ไม่มีความเสมอภาคทางกฎหมาย หรือไม่สามารถจะมี "ความยุติธรรม" ตามหลัก rule of law ได้ (เพราะไม่มี rule of law อยู่ในระบบการปกครองแบบไทย) โดยเฉพาะคดีการเมืองและคดี 112 </p>
<p>เมื่อไม่มี "สิทธิทางการเมือง" ได้ครบถ้วนจริง มันจึง "ไม่เป็นประชาธิปไตย" จริง (เป็นครึ่งๆ กลางๆ กระท่อนกระแท่น สามวันดีสี่วันไข้) แม้จะมีรัฐธรรมนูญที่ดี อย่างฉบับ 2540 เป็นต้นก็ตาม แต่รัฐธรรมนูญก็ไม่เคยสร้างกลไกจำกัดและตรวจสอบอำนาจนอกระบบเลือกตั้งไว้อย่างชัดเจน แล้วในที่สุดเครือข่ายอำนาจนอกระบบเลือกตั้งก็ทำลายอำนาจรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ด้วยรัฐประหาร 2549 และ 2557 พร้อมกับเขียนรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นๆ เพิ่มอำนาจนอกระบบเลือกตั้งให้เข้มแข็งมากขึ้น ขณะที่ทำให้รัฐบาลจากการเลือกตั้งอ่อนแอและจำต้องสยบยอมเป็นข้ารับใช้อำนาจนอกระบบเลือกตั้งมากขึ้น สร้างกลไกยุบพรรคการเมือง และตัดสิทธิทางการเมืองของพรรคการเมืองและนักการเมืองได้อย่างง่ายดาย </p>
<p>การทำลายอำนาจรัฐบาลจากการเลือกตั้งด้วยรัฐประหาร ก็คือ “การทำให้การแก้ปัญหาปากท้องไม่สามารถดำเนินการอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพได้” หรือไม่สามารถแก้ปัญหาปากท้องในระดับโครงสร้างได้จริง ขณะเดียวกัน อำนาจจากรัฐประหาร ก็ใช้ 112 กดปราบประชาชนหนักขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ปัญหาสิทธิทางการเมืองวิกฤตมากขึ้นๆ ความไม่เป็นประชาธิปไตยเด่นชัดมากขึ้นๆ และทำให้ปัญหาปากท้องขยายมากขึ้นๆ ตามมา</p>
<p><strong>ดังนั้น มันจึงไม่ใช่จะมาแยก "ปัญหาปากท้องออกจากปัญหาสิทธิทางการเมือง" หรือจะแยก "ปากท้องออกจากความเป็นประชาธิปไตยที่มีสิทธิทางการเมืองครบถ้วน" ไม่ได้ การพยายามเช่นนั้น พธม. และ กปปส. เคยทำกันมาแล้ว ก็อย่าเดินตามรอยพวกเขาโดยไม่รู้ตัว</strong></p>
<p>การแยกปัญหาปากท้องออกจากความเป็นประชาธิปไตยที่มีสิทธิทางการเมืองครบถ้วนแบบที่ พธม.และ กปปส. ทำกันมาแล้ว ก็คือการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อปกป้องสถานะและอำนาจที่วิจารณ์ตรวจสอบไม่ได้ของสถาบันกษัตริย์ ควบคู่ไปกับข้อเสนอแก้ปัญหาความเหลื่อมลำทางเศรษฐกิจ แต่ตามหลัก 6 ประการของคณะราษฎร การแก้ปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจจะต้องทำควบคู่กันไปกับการสร้างสิทธิเสมอภาคทางการเมืองและเศรษฐกิจด้วย ไม่ปล่อยให้พวกเจ้าหรือชนชั้นไหนมีสิทธิพิเศษเหนือกว่าคนอื่นๆ และต้องประกันหลักเสรีภาพทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยให้ชัดเจน ไม่มีอำนาจใดๆ อยู่เหนือเสรีภาพในการวิจารณ์ตรวจสอบ </p>
<p>การต่อสู้ของคนเสื้อแดงที่ยืนยันการ “โค่นระบบอำมาตยาธิปไตย” และสร้าง “ระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง” ก็เคยเป็นปรากฏการณ์เปรียบเทียบให้เห็น “ความขัดแย้งทางอุดมารณ์” กับฝ่าย พธม. และ กปปส. ในระดับที่แน่นอนหนึ่งมาก่อน แต่ครั้นเพื่อไทยจับมือกับฝ่ายทำรัฐประหารตั้งรัฐบาล ก็ออกแถลงการณ์และยืนยันซ้ำๆ ว่า “จะไม่แตะ 112 ไม่นิรโทษกรรมคดี 112 ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ก็ไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 หรือหมวดเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์” ซึ่งการยืนยันเช่นนั้น ก็ไม่ต่างจากการยืนยันของ “ระบบประยุทธ์” หรือการยึดอุดมการณ์ทางการเมืองแบบ พธม. และ กปปส. เหลือเพียงอย่างเดียวที่เพื่อไทยขาย “ความแตกต่าง” ก็คือความเก่งเรื่องแก้ปัญหาปากท้อง</p>
<p><strong>การแก้ปัญหาปากท้องตามแนวทางของรัฐบาลเพื่อไทย จึงไม่ได้แยกขาดจาก “อุดมการณ์ทางการเมือง” แต่อย่างใด เพราะเป็นการแก้ปัญหาปากท้องภายใต้ “อุดมการณ์ประชาธิปไตยแบบไทย” มี่ไม่ต้องมีสิทธิทางการเมืองครบถ้วนตามหลักสิทธิมนุษยชน หรือตามหลักเสรีนิยมประชาธิปไตย ส่วนในทางเศรษฐกิจก็ดูเหมือนจะยึดอุดมการณ์ “ทุนนิยมที่มีหัวใจ” ตามคำอธิบายของฝ่ายที่เชียร์เพื่อไทยนั่นเอง </strong></p>
<p>ขณะที่แนวทางของก้าวไกลก็ไม่ใช่ละเลยปัญหาปากท้องและมุ่งแต่อุดมการณ์สูงส่งอะไรเลย เพราะเมื่อพิจารณาจาก “นโยบาย” จริงๆ ก็มีเรื่องแก้ปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเมืองให้ประชาชนมี “สิทธิเสมอภาคกัน” ทางเศรษฐกิจและทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น ซึ่งก็เป็นความคิดที่สอดคล้องหรือเป็น “ส่วนขยาย” จากหลัก 6 ประการ ของคณะราฎรที่เริ่มลงหลักปักฐานระบบการปกครองที่มุ่งตอบสนองปัญหาของสามัญชนนั่นเอง</p>
<p>การพยายาม “ทำให้เข้าใจผิด” ว่า การเมืองแบบก้าวไกลยึดอุดมการณ์สูงส่ง บริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นเทวดาไม่ต่างจาก พธม. และ กปปส. ในอดีตเป็นเรื่องตลกร้าย เพราะการยืนยัน “สิทธิทางการเมืองที่ครบถ้วน” ตามหลักสิทธิมนุษยชน เช่น สิทธิการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม อำนาจอธิปไตยของประชาชนทุกคนในฐานะที่เป็นเจ้าของเสรีภาพทางความคิดเห็น การพูด การแสดงออก การชุมนุม การได้รับการปฏิบัติจากรัฐอย่างยุติธรรมบนหลักความเสมอภาคทางกฎหมาย หรือหลัก rule of law เป็นต้น ไม่ใช่ “อุดมการณ์สูงส่ง” อะไรเลย แต่เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่จำเป็นต้องมีในระบอบประชาธิปไตย การไม่ยืนยันหรือไม่เรียกร้องสิ่งปกติธรรมดาพวกนี้ต่างหากที่สะท้อนถึงการยึด “อุดมการณ์สูงส่ง” เหนืออุดมการณ์ประชาธิปไตย อย่างที่ พธม., กปปส. และระบบประยุทธ์ใช้ต่อสู้หรือใช้สร้างความชอบธรรมทางการเมืองมาตลอด</p>
<p>อีกอย่าง การตั้งคำถามว่า “ประชาชนมีแต่ฝ่ายที่เลือกก้าวไกลและต้องการประชาธิปไตยแบบก้าวไกลเท่านั้นหรือ ฝ่ายที่เลือกเพื่อไทยและพรรคฝ่ายรัฐบาลเดิมไม่ใช่ประชาชนหรือ?” ก็เป็นการตั้ง “ปัญหาปลอม” (pseudo problem) ขึ้นมาหลอกตัวเองและคนอื่นๆ ให้เข้าใจผิด เพราะเวลาเราพูดถึง “ประชาชน” ในระบอบประชาธิปไตย ย่อมหมายถึงประชาชนทุกคนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และสิทธิทางการเมือง สิทธิพลเมือง สิทธิทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมตามหลักสิทธิมนุษยชนเท่าเทียมกัน </p>
<p><strong>ยิ่งเมื่อมองตาม “ความเป็นจริง” คนที่เลือกเพื่อไทยและฝ่ายรัฐบาลเดิมก็ไม่ได้ถูกอำนาจรัฐกดปราบราวกับว่า “ไม่ใช่ประชาชน” เหมือนฝ่ายที่เลือกก้าวไกล (และเสื้อแดงปัจจุบันบางคน) ที่ถูกอำนาจรัฐใช้ 112 กดปราบ และขังคุก อันเป็นการละเมิดสิทธิเท่าเทียมทางการเมืองหรือเสรีภาพทางความคิดเห็น การพูด การแสดงออก และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเหล่านั้นอย่างรุนแรง</strong></p>
<p>พูดให้ชัด ประชาชนที่มีความคิดทางการเมืองต่างกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นแดง เป็นเหลือง หรือเป็นส้มต่างก็เป็น “สิทธิ” ที่จะเลือกได้ แต่การอ้างคำว่า “สิทธิ” โดยไม่แยแสว่าจะมีประชาอีกฝ่ายถูกกดปราบและขังคุกด้วย 112 และคดีการเมืองมากเพียงใด ซ้ำยังกล่าวหาเย้ยหยันว่าเขาเหล่านั้น “แกว่งเท้าหาเสี้ยน” กันเอง การพูดเรื่อง “สิทธิ” ของคุณก็แค่คำเพ้อเจ้อ เพราะการพูดเรื่องสิทธิจะมีความหมายก็ต่อเมื่อเรายืนยันว่าทุกคนทุกฝ่ายที่มีความคิดต่างกันต้องมี “สิทธิเสมอภาคกัน” เท่านั้น ไม่ว่าสิทธิทางการเมืองหรือทางเศรษฐกิจ </p>
<p>ยิ่งถ้าพูดถึง “นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย” อย่าง <strong>อานนท์ นำภา </strong>และผองเพื่อนที่ติดคุกด้วย 112 พวกเขาก็ไม่ใช่ชนชั้นกลางที่มีฐานะดีทางเศรษฐกิจ หากแต่เป็นลูกชาวนา เป็นคนต่างจังหวัดที่มาใช้ชีวิตดิ้นรนต่อสู้ในสังคมเมือง หรือเป็นคนกรุงเทพฯ ที่ส่วนใหญ่แล้วต่างต่อสู้ดิ้นรนเพื่อปากท้องหรือมีรายได้เดือนชนเดือน พวกเขาเหล่านี้คือคนที่สู้เพื่อเสรีภาพ อุดมการณ์ประชาธิปไตยและเพื่อแก้ปัญหาปากท้องไปด้วยกัน ไม่ใช่เป็นชนชั้นกลางฐานะดี ไม่มีปัญหาปากท้อง จึงโหยหาเสรีภาพอย่างที่วิจารณ์กัน </p>
<p>ล่าสุดอานนท์ถูกศาลตัดสินคดี 112 (คดีแรก) ให้จำคุก 4 ปี และปรับ 20,000 บาท โดยไม่รอลงอาญา ต่อมาศาลอุทธรณ์ไม่ให้ประกันตัว ด้วยข้ออ้างที่ว่า<strong> “การกระทำของจำเลยกระทบกระเทือนและสร้างความเสียหายต่อการปกปครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”</strong> อันเป็นการตอกย้ำว่า ระบอบประชาธิปไตยเช่นนี้ไม่อนุญาตให้มีเสรีภาพทางความคิดเห็น การพูด การแสดงออก และการอภิปรายสาธารณะทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้อยู่ใต้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตยที่สถาบันกษัตริย์ต้องถูกวิจารณ์ตรวจสอบได้เหมือนประเทศญี่ปุ่น อังกฤษ หรือประเทศประชาธิปไตยที่มีสถาบันกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (constitutional monarchy) โดยทั่วไป</p>
<p><strong>ดังนั้น ประเด็นที่ถกเถียงกันว่า รัฐบาลเพื่อไทยเป็นหรือไม่เป็นประชาธิปไตย ก็ไม่ขึ้นกับคำวิจารณ์หรือการโจมตีของใครหรือฝ่ายใด แต่ขึ้นอยู่กับนโยบายและการปฏิบัติของรัฐบาลเพื่อไทยเองว่าเป็นไปตาม “หลักเกณฑ์” ของรัฐบาลประชาธิปไตยหรือไม่ </strong></p>
<p>เช่น โดยทั่วไปแล้วรัฐบาลประชาธิปไตยในโลกปัจจุบันย่อมไม่ปล่อยให้มีนักโทษการเมือง หรือนักโทษทางความคิด (prisoner of conscience) แต่รัฐบาลเพื่อไทยก็แสดงจุดยืนไปแล้วว่าไม่นิรโทษกรรมคดี 112 และไม่แก้กฎหมายมาตรา 112 รวมทั้งกฎหมายใดๆ เกี่ยวกับสถานะและอำนาจที่วิจารณ์ตรวจสอบไม่ได้ของสถาบันกษัตริย์</p>
<p>ด้วยจุดยืนดังกล่าว รัฐบาลเพื่อไทยก็ย่อมไม่ผ่านเกณฑ์ความเป็นเสรีนิยมประชาธิปไตยที่ให้หลักประกันสิทธิทางการเมือง หรือเสรีภาพทางความคิดเห็น การพูด การแสดงออก รวมทั้งความยุติธรรมบนหลักนิติรัฐเป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องของ “ข้อเท็จจริง” ที่ไม่เกี่ยวกับใครจะวิจารณ์ หรือโจมตีอย่างไร</p>
<p>สุดท้ายแล้ว ข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ การถือว่าปากท้องกับอุดมการณ์ไม่แยกขาดจากกัน หรือการแก้ปัญหาปากท้องกับการปัญหาเสรีภาพเป็นเรื่องเดียวกันเริ่มขึ้นตั้งแต่หลัก 6 ประการใน “ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1” แล้ว กินเวลายาวนานมากว่า 91 ปีแล้ว</p>
<p><strong>การพยายามแยกเรื่องปากท้องกับอุดมการณ์ออกจากกันในปัจจุบัน จึงเป็นเรื่องของการพยายามทำให้เกิดความเข้าใจผิด หรือเป็นการตั้งปัญหาปลอมๆ เพื่อกลบเกลื่อนความเป็นจริงของการยึด “อุดมการณ์ประชาธิปไตยแบบไทย” ที่รัฐบาลมีบทบาทหลักในการรับใช้ศักดินาเป็นอันดับแรก รับใช้ประชาชนเป็นอันดับรองลงมา และปฏิบัติต่อประชาชนที่สู้เพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยเสมือนว่าพวกเขา “ไม่ใช่ประชาชน” ด้วยการไม่นิรโทษกรรมคดีการเมือง/112 และปล่อยให้มีการใช้ 112 กดปราบ และขังคุกประชาชนมากขึ้น ไม่ต่างจากยุครัฐบาลจากรัฐประหารแต่อย่างใด</strong></p>
</div></div></div><div class="field field-name-field-variety field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">บทค
https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์
https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai</div></div></div>
https://prachatai.com/journal/2023/10/106180