"ผู่ผู่อ่อง"ตำนานบรมครูผู้วิเศษแห่งเมืองมอญ ชาวพม่าให้ความเคารพเทียบ คนไทยเคารพ "หลวงปู่เทพโลกอุดร"ผู่ผู่อ่องตำนานผู้วิเศษแห่งเมืองมอญ ถ้าในเมืองไทยรู้จักตำนานเรื่องราวของ
“หลวงปู่โลกอุดร” เป็นอย่างดีแล้ว ในเมืองพม่า มอญและไทยใหญ่เขาก็มีตำนานผู้วิเศษคล้ายๆกับเรื่องหลวงปู่เทพโลกอุดรในบ้าน เราเหมือนกัน แต่ทางเขาคือ
“ผู่ผู่อ่อง” บุคคลท่านนี้เป็นผู้วิเศษที่มีชีวิตเป็นอมตะ เหาะเหิรเดินอากาศได้ ปรากฏตัวมาหลายยุคหลายสมัย ผู่ผู่อ่องเป็นบุคคลที่บุเรงนองนับถือมาก ครั้งหนึ่งผุ่ผู่อ่องแสดงฤทธิ์เหาะขึ้นไปบนยอดเจดีย์ชะเวดากอง จารอักขระยันต์
“สะตะปะวะ” เอาไว้กันภัยพิบัติทั้งปวง
ตามประวัติเล่าไว้ว่าผู่ผู่อ่อง ออกปฏิบัติบำเพ็ญพรตคราวแรกบรรพชาเป็นพระภิกษุ ต่อมาเห็นว่ามีข้อศีลสิกขามากทำให้เกิดความกังวลจึงลาสิกขาออกมา แล้วออกบวชเป็นผ้าขาว บำเพ็ญตนเป็นนักพรตฝ่ายฤๅษีชีไพร ธุดงค์รอนแรมไปเรื่อยจนพบ
“ยอดเขาโป๊ปป้า” ภูเขา เขานี้อยู่ระหว่างเส้นทางจาก
“พุกาม” จะไป
“มันฑะเลย์” จะมียอดภูเขาไฟอยู่ยอดหนึ่ง เป็นสถานที่เหมาะสมสำหรับทำพวกพรรค์นี้มาก
“ภูเขาโป๊ปป้า” เขาแห่งนี้เป็นภูเขาไฟเก่ามาก่อน เมื่อผู่ผู่อ่องเห็นชัยภูมิดีเป็นที่สัปปายะจึงใช้เป็นที่บำเพ็ญพรตพร้อมๆ กับใช้เป็นสถานที่ศึกษาเรื่องปรอทสำเร็จ ผู่ผู่อ่องร่ำเรียนทางไตรเพทย์วิทยามาเจนจบ ศึกษาเรื่องว่านยาและกายสิทธิ์จนล่วงรู้ความเร้นลับของธรรมชาติอย่างเหล็กไหลและปรอทเป็นอย่างดี จึงทดลองดักปรอทหมอกจากยอดเขาแล้วนำมาฆ่าด้วยว่านยาอันมีฤทธิ์ จากนั้นหุงด้วยวิทยาอาคมผสมผสานพลังจิตขั้นฌานชั้นสูง ผลออกมาก็ได้ปรอทวิเศษ เมื่ออมแล้วสามารถเหาะลอยไปยังสถานที่ใดก็ได้ การสำเร็จปรอทนั้นผู่ผู่อ่องคงบรรลุธรรมไปพร้อมๆ กัน คือสำเร็จซึ่งสมาบัติสูงสุด ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู่ผู่อ่องกลายเป็น
“นักสิทธิวิทยา” ผู้มีชีวิตเป็นอมตะ ตามตำรานั้นกล่าวว่ามีอายุได้ยาวนานนับล้านปีหรือเป็นเวลา ๑ กัปล์
ผู่ผู่อ่องสำเร็จปรอทจนถึงขั้นสูงสุดสำเร็จเป็นแก้วจักรพรรดิ์เรียกว่า
“สำเร็จปรอท” พวกที่สำเร็จปรอทนี้พอถึงทำเป็นแก้วแล้ว เรื่องทำทองเป็นเรื่องเล็ก เขาก็จะทำแผ่นทองจารึกชื่อตัวเอง พร้อมกับวันเดือนปีที่สำเร็จปรอท แล้วก็เอาไปถวายบูชาตามเจดีย์ต่าง ๆ โดยเฉพาะ
“เจดีย์ชะเวดากอง” ถ้าอยากดูก็ต้องปีนขึ้นไปดู ที่เมืองไทยมีอยู่ องค์หนึ่ง แต่ว่าท่านอยู่ในป่า สำเร็จปรอทแล้วท่านก็อมเอาไว้ เวลาธาตุปรอทมันเรืองแสงออกมา จะเห็นแก้มด้านที่อมปรอทสำเร็จไว้เป็นสีแดงๆ ก็เลยเรียกท่านว่า “หลวงพ่อแก้มแดง” เหลือเชื่อไหมว่าธาตุอย่างหนึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นอีกอย่างได้
ในปัจจุบันครูเวทย์หมอธรรมของทางกระเหรี่ยง ไทยใหญ่ พม่าและมอญ ต่างยังคงนับถือผู่ผู่อ่อง เชื่อกันว่าท่านยังคงดำรงสังขารธรรมของท่าน คอยสอดส่องด้วยอำนาจหูทิพย์ ตาทิพย์ ดูว่าใครเหมาะสมที่จะรับเป็นศิษย์ เมื่อพบแล้วก็จะมาโปรดแบบเดียวกันกับเรื่อง
หลวงปู่โลกอุดรในไทยเรา
จาก
http://panyayan.tnews.co.th/contents/206909/ เรื่องราวของ
พ่อครูโพมินข่องเป็นที่นับถือในหมู่ชาวไทยใหญ่ พม่าและมอญ และนับเอาดพครูโพมินข่องเป็นหนึ่งในสิบของพ่อครูทั้ง ๑๐ แห่งสายวิชายาแดงอีกด้วย
รายนามพ่อครูทั้ง ๑๐ นั้นมีดังนี้คือ
๑ พ่อครูพู่พู่อ่อง ๒ พ่อครูโพมินข่อง ๓ พ่อครูบูดออี ๔ พ่อครูบูดอบิวหรือสะยาปิ๋ว ๕ พ่อครูบูดอป๋วย ๖ พ่อครูอุเมี๊ยะขิ่น ๗ พ่อครูสัจจะยามิน ๘ พระมหาโอสถวิชา ๙ เส่วิชา ๑๐ ต่อวิชา ทั้ง ๑๐ ท่านนับเป็นยอดบรมครูแห่งการสักสายยาแดง รวมไปถึงวิชาการเล่นแร่แปรธาตุเพื่อสำเร็จความเป็นอมตะ ธรรมของพ่อครุทั้ง ๑ๆ นั้นล้ำลึกพิสดาร สมบูรณ์ด้วยธรรมและอิทธิฤทธิ์ พลังเหนือโลก ที่สามัญชนคนธรรมดายากจะเข้าถึง ตามคติความเชื่อนั้นแม้ผู้ใดมีบารมีของพ่อครูท่านใดเพียงท่านเดียวสถิตย์อยู่กับตัว ด้วยลายสักยันต์ยาแดงก็ดี หรือด้วยคาถาที่ท่องจำไว้ในใจก็ดีหรือเพียงระลึกถึงท่านด้วยใจเคารพศรัทธาอันมั่นคงก็ดี คนผู้นั้นไม่มีโดนทำร้ายด้วยคุณไสย คุณคน หรือแม้แต่พิษร้าย สัตว์ร้ายต่างๆก็ไม่สามารถทำอันตรายใดๆได้
พ่อครูโพมินข่อง คือหนึ่งในผู้บรรลุอภิญญาฤทธิ์แห่งเมืองพุกาม มีผู้คนบูชาท่านมากมาย ขนาดที่เขาโปปาอันเป็นสิงสถิตของมังมหาคีรีนัต ยังได้จัดห้องของท่าน จำลองที่อยู่ของท่านไว้บนเขาโปปา เพื่อให้คนได้มีโอกาสไปสักการะ ไประลึกถึงอยู่เป็นประจำ
รูปของพ่อครูโพมินข่อง มักเห็นในรูปของครูที่ปล่อยผมสยาย นั่งไขว้เท้าในท่าขัดสมาธิ และที่เป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่งคือท่านมักถือถ้วยน้ำชาในท่ากำลังจิบอยู่เสมอ
ในบรรดาครูทั้ง ๑๐ นั้นเป็นที่เชื่อกันว่า มีอย่างน้อย ๒ ท่านที่มีชีวิตเป็นอมตะ คือพ่อ
ครูพู่พู่อ่อง และพ่อครูโพมินข่อง กล่าวกันว่าพ่อครูพู่พู่อ่อง ท่านใช้วิธีฝึกวิชาไปตามขั้นจนสำเร็จ ส่วนพ่อครูโพมินข่องใช้เคล็ดฝึกวิชาย้อนกลับ หมายความว่าพ่อครูพู่พู่อ่องนั้นฝึกตามลำดับจากขั้นวิชา ๑ ๒ ๓ ๔ ไปจนสำเร็จขั้นสูงสุด ส่วนพ่อครโพมินข่องนั้นเมื่อเรียนวิชาท่านเริ่มจากวิชาที่ยากที่สุดก่อนและไล่ไปจนถึงวิชาขั้นพื้นฐาน ทั้งสองท่านสำเร็จแล้วอธิษฐานรักษาคุ้มครองพระพุทธศาสนา มีชีวิตยืนยาวเป็นกัปล์ รอรับเสด็จพระศรีอาริยะเมตรตรัย เมื่อฟังธรรมจากพระองค์จิตก็จะบรรลุสู่นิพพานธรรมและดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานในทันที การสำเร็จวิชาของท่านพู่พู่อ่องและโพมินข่องนั้น คือสำเร็จทั้งด้านสมาธิจิต คือการเข้าฌานสมาบัติ กสิณ การเพ่งดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ จนเข้าอรูปฌานได้ การสำเร็จพระเวทย์คือการท่องมนตราและการตั้งพิธี การสำเร็จวิชาเล่นแร่แปรธาตุ ทั้งปรอทสำเร็จและเหล็กไหลวิเศษ รวมทั้งการปรุงยาอมตะจากสมุนไพรที่หาได้จากเขาโปปา ด้วยความสามารถความสำเร็จทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงเป็นคุณวิเศษเหนือโลก ที่ทำให้ท่านทั้งสองสมบูรณ์ด้วยฤทธิ์ยิ่งกว่าผู้ใดในปฐพี ทุกวันนี้ยังเชื่อกันว่า
ทั้งพู่พู่อ่องและโพมินข่องบรมครูผู้วิเศษศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองนั้นยังคงดำรงสังขารอยู่ ผู้ที่ระลึกถึงนามท่านจะได้รับพรอันวิเศษ ผู้ที่ภาวนาถึงท่านจะได้รับความเมตตา และทุกวันนี้ชาวพม่ายังเชื่อกันว่าท่านทั้งสองยังสถิตย์อยู่ในเขาโปปา ในส่วนของแดนทิพย์อันเป็นภพภูมิที่เหลื่อมซ้อนกับตัวเขาอย่างลี้ลับ คนธรรมดามองไปจะเห็นเพียงแท่งหินทึบ แต่ผู้บรรลุจตุถฌานหรือได้ฌาน ๔ จะสามารถเห็นถ้ำลี้ลับซ้อนอยู่ภายใน อันเป็นที่สถิตย์ของเหล่าบรมครูทั้งหลายผู้เป็นอมตะ
จาก
http://www.suriyanchantra.net/product/8/