เครดิตภาพจากหนังสือ “อยุธยา” ของ ศ. ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ล่วงมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ หลังจากเก็บกิน “อากรโสเภณี” สืบเนื่องต่อจากสมัยอยุธยากันจนเป็นล่ำเป็นสันแล้ว
นโยบายเกี่ยวกับการค้าประเวณีของไทยก็เพิ่งจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ตามรูปแบบที่รับอิทธิพล
มาจากสังคมตะวันตก ภายใต้ชื่อ “พระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค รัตนโกสินทร์ศก 127” มีสาระสำคัญอยู่ 5 ข้อหลักๆ คือ
1) หญิงนครโสเภณีให้เป็นได้แต่โดยใจสมัคร ใครจะบังคับหรือล่อลวงมามิได้
2) ต้องเสียค่าธรรมเนียมสำหรับใบอนุญาตราคาสิบสองบาท มีอายุสามเดือนต่อใบ (ถือว่าแพงลิบลิ่วมากในสมัยนั้น)
3) นายโรงหญิงนครโสเภณี (ที่ต่อมานิยมเรียกว่า “แม่เล้า”) ต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้น เพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการดูแลกันเอง
4) หญิงนครโสเภณีต้องไม่สร้างความรำคาญวุ่นวายแก่บุคคลภายนอก เช่น ฉุดลาก ยื้อแย่ง ล้อเลียน เป็นต้น
5) เจ้าพนักงานมีอำนาจเข้าไป เพื่อนำสมาชิกมาตรวจ ถ้าพบโรคก็ให้ส่งไปรักษาจนกว่าจะหาย แลอาจเพิกถอน
หรือสั่งพักใช้ใบอนุญาต (น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของแมงดา?)
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งแต่ พ.ศ. 2492 ยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นต้นมา รัฐบาลไทยได้ประกาศห้ามจัดตั้งสำนักโสเภณี
อย่างเด็ดขาด ตามแนวคิด “คืนคนดีศรีสังคม” เดินตามรอยองค์การสหประชาชาติ ซึ่งไทยก็เป็นรัฐภาคีแห่งอนุสัญญานี้
สุดท้าย นครโสเภณี ซึ่งแปลตรงตัวว่าหญิงงามเมือง หรือหญิงผู้ทำเมืองให้งาม แต่นิยมเรียกสั้นๆ ว่า “โสเภณี” นั้น
ได้สูญหายไปจากสังคมไทยเพราะเป็นอาชีพที่ผิดกฎหมาย
จาก “หญิงงามเมือง” ปัจจุบัน ได้มีการปรับเปลี่ยนคำเรียกตามสมัยนิยม ในยุคที่มีการเรียกร้องสิทธิมนุษยชน ให้ทุกๆ อาชีพนั้น
มีศักดิ์ศรีทัดเทียมกันจนกลายเป็น “ผู้ประกอบอาชีพขายบริการ” แม้ต้องอยู่ในสภาพแบบลับๆ ล่อๆ ก็ตามที
แต่วันดีคืนดี ก็ยังมีคนชอบแอบเกาะชายประโปรงของพวกเธอ ด้วยการขุดเอาสรรพนามที่ีแฝงไว้ซึ่งอาการเสียดเย้ย
แสร้งมาตีวัวกระทบคราด เปรียบเปรยว่าพวกเธอยังมีคุณค่าสูงส่งกว่่านักการเมืองที่เร่ขายตัว ดังที่เรียกว่า “กะหรี่การเมือง”…โคมเขียว กะหรี่ อีตัว อีหนู ดอกทอง ชื่อเรียกแต่ละคำ
ล้วนเป็นภาพสะท้อนถึง “ระดับจิต” ของผู้เปล่งถ้อยเหล่านั้นชนิดล่อนจ้อน ว่าเขาเป็นคนระดับไหนที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 สิงหาคม 2561
คอลัมน์ : ปริศนาโบราณคดี
ผู้เขียน : เพ็ญสุภา สุขคตะ
เผยแพร่ : วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ.2561