[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
14 พฤษภาคม 2567 06:10:14 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: วัดหน้าพระเมรุ สถานที่เจรจาสงบศึกพม่าครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี  (อ่าน 4173 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5482


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2556 13:12:34 »

.



พระพุทธนิมิตรวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์ บรมไตรโลกนาถ
พระประธานประดิษฐานในพระอุโบสถ ซึ่งสร้างในสมัยที่สร้างวัด
พระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมือง

วัดหน้าพระเมรุ
• ประวัติวัดหน้าพระเมรุ วัดหน้าพระเมรุ  มีฐานะเป็นพระอารามหลวง ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนครนครศรีอยุธยา หมู่ที่ ๕  ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา   ริมคลองสระบัว ด้านเหนือของคูเมือง (แม่น้ำลพบุรีเก่า) ตรงข้ามกับพระราชวังหลวง มีชื่อเดิมว่า "วัดพระเมรุราชิการาม"

วัดนี้มีเนื้อที่ประมาณ ๙๐๒๑ ตารางวา หรือ ๒๒ ไร่ ๒ งาน ๒๑ วา ตามโฉนดเลขที่ ๓๑๒๒ เล่ม ๗๙ หน้า ๒๒ ระวาง ๑๒ ต. ๑๓ อ.๘-๔   พระองค์อินทร์ในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ (องค์ที่ ๑๐) แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงสร้างเมื่อจุลศักราช ๘๖๔ (พ.ศ. ๒๐๔๖) ประทานนามว่า “วัดพระเมรุราชิการาม”  แต่ชาวบ้านนิยมเรียกว่า “วัดพระเมรุ”  ซึ่งเป็นนามของวัดที่เรียกขานมาจนตราบทุกวันนี้  นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าผู้สร้างเอานามวัดพระเมรุ ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลสวนนันทอุทยาน ในจังหวัดนครปฐม มาตั้งชื่อปรากฏตามจารึกบนหินขาวติดไว้ที่ฟากพนักใกล้ประตูเข้าวิหารน้อยตอนหนึ่งว่า “พระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาทศิลาสมัยทวาราวดี หน้าตักกว้าง ๑.๗๐ เมตร สูง ๕.๒๐ เมตร พระยาไชยวิชิต ได้ย้ายมาจากวัดมหาธาตุ ในเกาะเมืองอยุธยา และว่ามาจากเมืองลังกา”  ต่อมาในรัชกาลที่ ๕ ขุดพบศิลาเรือนแก้วที่วัดพระเมรุ จังหวัดนครปฐม เมื่อเทียบกับพระพุทธรูปองค์นี้แล้วปรากฏว่าเข้ากันสนิท จึงเป็นอันเชื่อได้ว่าอัญเชิญมาจากวัดพระเมรุในจังหวัดนครปฐม ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และประดิษฐานไว้ที่วัดมหาธาตุก่อน แล้วพระยาไชยวิชิตได้ย้ายมาจากวัดมหาธาตุ มาประดิษฐานไว้ที่หน้าพระเมรุ (ในพระวิหารน้อย) จนถึงปัจจุบันนี้





พระคันธารราฐ ประดิษฐาน ณ พระวิหารน้อย
เป็นพระพุทธรูปศิลา (ศิลาเขียว) ที่ใหญ่ที่สุด และมีพระลักษณะสวยงามที่สุด
ที่มีอยู่ที่อื่นก็มีแต่เป็นศิลาขาว สำหรับที่วัดหน้าพระเมรุมีพระลักษณะแตกต่างจากที่อื่น

• ความสำคัญทางประวัติศาสตร์
พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา (พระจักรพรรดิ์ และหนังสือไทยรบกับพม่า พระนิพนธ์สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ) กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า เมื่อปีกุน พ.ศ. ๒๑๐๖ พระเจ้าหงสาวดีกำลังมีพระอานุภาพแผ่ไพศาลไปทั่วทุกสารทิศ ได้ยินกิตติศัพท์คำสรรเสริญว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์มีบุญญาธิการยิ่งใหญ่ไพศาลยิ่งนัก มีช้างเผือกคู่พระบารมีถึง ๗ ช้าง  ไม่สบายพระทัยว่าเราก็มีบุญญาธิการ ประกอบกับมีพระชนมพรรษามากกว่า เห็นจะละไว้เป็นคู่แข่งพระบารมีหาได้ไม่ จึงได้ทรงดำริที่จะแผ่พระบารมีมาย่ำยีกรุงศรีอยุธยาให้จงได้ และมีพระทัยที่จะได้ช้างเผือกมาเป็นคู่พระบารมีด้วย แต่หวั่นพระทัยว่าพวกมอญไม่เต็มใจที่เข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา เพราะเคยล้มตายได้ความลำบากมากมายเมื่อคราวก่อน  ด้วยพระอัจฉริยะอันชาญฉลาดของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองจึงทำทีว่าเป็นมิตร ส่งราชทูตเชิญพระราชสาส์นกับเครื่องราชบรรณาการเข้ามาถวายสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ เป็นทำนองเจริญพระราชไมตรี  ในพระราชสาส์นมีเนื้อความว่า “พระบารมีเลื่องลือถึงหงสาวดี ว่า สมเด็จพระเชษฐา (พระมหาจักรพรรดิ์) มีบุญญาธิการมากมาย มีช้างเผือกมาสู่คู่บารมีถึง ๗ ช้าง กรุงหงสาวดีหามีช้างเผือกสำหรับพระนครไม่ ขอให้สมเด็จพระเชษฐาเห็นแก่พระไมตรี ขอพระราชทานช้างเผือกแก่ข้าพระพุทธเจ้าผู้เป็นอนุชาไว้เป็นศรีนครสัก ๒ ช้าง พระราชไมตรีทั้ง ๒ พระนครจะได้เจริญวัฒนาการสืบไป


พระอุโบสถ เป็นสถาปัตยกรรมสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น
มีอายุมากกว่า ๕๐๐ ปี เป็นโบราณสถานที่สภาพสมบูรณ์ที่สุด
ไม่เคยถูกทำลาย ทุกส่วนมีสภาพเหมือนเดิม

สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ทรงทราบพระราชสาส์น ก็ทรงเข้าพระทัยทันทีว่า พระเจ้าหงสาวดีมีพระราชประสงค์ที่จะแผ่อำนาจเหยียบย่ำกรุงศรีอยุธยาแน่นอน ถ้าพระราชทานช้างเผือกตามขอก็เหมือนกับกรุงศรีอยุธยาสิ้นคนดี อยู่ในอำนาจของพระเจ้าหงสาวดี เพราะช้างเผือกเป็นช้างคู่พระบารมี ไม่มีเยี่ยงอย่างประเพณีที่พระราชาผู้มีอิสริยยศเสมอกันจะให้แก่กัน คงมีแต่ประเทศราชจะถวายแก่ราชาธิราชเท่านั้น
 
พงศาวดารว่า ความเห็นในที่ประชุมแตกกัน ๒ ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเห็นควรว่าให้ เพราะพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองมีอานุภาพยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ ซ้ำขณะนั้นได้เมืองเชียงใหม่ไว้เป็นกำลังด้วย การที่กรุงศรีอยุธยาจะเอาชนะเห็นจำเหลือกำลัง เสียช้างเผือกดีกว่าเกิดศึกสงคราม ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเดือดร้อน ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระราเมศวร  พระยาจักรี และพระสุนทรสงคราม เจ้าเมืองลพบุรี  มีความเห็นว่าการที่จะยอมสละช้างเผือกให้ไม่ใช่เป็นทางป้องกันไม่ให้เกิดศึกสงครามได้ ไม่สมควรสละให้ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์จึงมีพระราชสาส์นไปยังพระเจ้าหงสาวดีว่า “ช้างเผือกย่อมเกิดสำหรับบุญบารมีของพระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นเจ้าของ เมื่อพระเจ้าหงสาวดีทรงบำเพ็ญราชธรรมให้ไพบูลย์จึงจะได้ช้างเผือกมาสู่คู่พระบารมี...”

พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองทราบพระราชสาส์น แน่พระทัยว่ากรุงศรีอยุธยา ตัดทางไมตรีแล้ว ประกอบกับมีพระราชประสงค์ที่จะย่ำยีกรุงศรีอยุธยาอยู่แล้ว จึงยาตราทัพออกจากพม่า เมื่อวันจันทร์ เดือน ๑๒ ปีกุน พ.ศ. ๒๑๐๖ ชุมนุมที่เมืองเมาะตะมะ จัดกระบวนเป็น ๕ ทัพ ทัพพระมหาอุปราชราชโอรส ทัพพระเจ้าอังวะบุตรเขย ทัพพระเจ้าแปรราชอนุชา ทัพพระเจ้าตองอูราชอนุชา ทัพหลวงของพระเจ้าหงสาวดี รวมเบ็ดเสร็จ ๕๐๐,๐๐๐ คน เข้าตีหัวเมืองทางเหนือ ร่นเข้าล้อมกรุงไว้ได้ทั้ง ๓ ด้าน

พระมหาจักพรรดิ์ทรงดำริว่า เห็นจะเอาชนะข้าศึกไม่ได้ ชาวพระนครพากันครั่นคร้าม ประกอบกับพระเจ้าหงสาวดีมีพระราชสาส์นมายังพระเจ้าจักรพรรดิ์ ว่า “จะทรงรบหรือจะยอมไมตรี”  สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์จึงยอมเป็นไมตรี  พงศาวดารพระเจ้าจักรพรรดิ์กล่าวว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ กับ พระเจ้าหงสาวดี ใช้สถานที่เจรจาสงบศึกครั้งนั้นที่ วัดพระเมรุราชิการาม (วัดหน้าพระเมรุ ในชื่อเรียกปัจจุบัน) เชื่อมต่อกับวัดหัสดาวาส (วัดช้าง) จัดสร้างพลับพลาอัญเชิญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  ประดิษฐานเป็นประธาน  สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์กับพระเจ้าหงสาวดีเสด็จพบ ณ พลับพลานั้น  พระเจ้าหงสาวดีขอช้างเผือก ๔ ช้าง กับขอพระราเมศวร พระยาจักรี พระยาสุนทรสงคราม ผู้เป็นหัวหน้าที่คิดให้เกิดการศึกเอาไปเมืองหงสาวดี  พงศาวดารพม่ากล่าวว่า พระเจ้าหงสาวดีให้ไทยส่งส่วยปีละ ๓๐ ช้าง และเงินปีละ ๓๐๐ ชั่ง กับยอมให้ประโยชน์ภาษีอากรที่เก็บได้จากเมืองมะริดเป็นของพม่าด้วย

วัดหน้าพระเมรุ จึงมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ตามในประวัติศาสตร์ดังกล่าวแล้วตอนหนึ่งนั้น

อีกตอนหนึ่งเมื่อคราวพระเจ้าอะลองพญามาตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อเดือน ๖ ขึ้น ๑ ค่ำ พ.ศ. ๒๓๐๓ พม่าเอาปืนใหญ่มาตั้งที่วัดพระเมรุราชิการาม (วัดหน้าพระเมรุ) กับวัดหัสดาวาส  (วัดช้าง) พระเจ้าอะลองพญาทรงบัญชาการและทรงจุดปืนใหญ่ด้วยพระองค์เอง ปืนใหญ่ที่ตั้งอยู่ในวัดพระเมรุราชิการามแตกต้องพระองค์บาดเจ็บสาหัสประชวรหนักในวันนั้น พอรุ่งขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๖ พ.ศ. ๒๓๐๓ พม่าเลิกทัพกลับไปทางเหนือหวังออกทางด่านแม่ละเมาะ แต่ยังไม่พ้นแดนเมืองตากพระเจ้าอะลองพญาก็สิ้นพระชนม์ระหว่างทาง



พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์ บรมไตรโลกนาถ
ทรงเครื่องใหญ่ สร้างในคติของพระพุทธเจ้าปางโปรดพญามหาชมพู
พระประธาน ประดิษฐานในพระอุโบสถ สถาปัตยกรรมสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น
สร้างในสมัยที่สร้างวัด






เจดีย์ราย เป็นเจดีย์ทรงระฆัง ๓ องค์เรียงกัน ในแนวเหนือ-ใต้
จากลักษณะรูปทรงของเจดีย์สันนิษฐานว่า เป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง-ปลาย
เจดีย์องค์ด้านใต้เป็นที่น่าสนใจมากกว่าเจดีย์องค์อื่น
เนื่องจากเป็นเจดีย์ที่มีต้นโพธิ์หุ้มอยู่เหมือนเศียรพระในรากไม้ที่วัดมหาธาตุ


กำแพง ก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่  เป็นกำแพงที่ล้อมรอบเขตพุทธาวาสของวัดในสมัยอยุธยา
มีการทำซุ้มประตูและเสาหัวเม็ดบริเวณมุมกำแพง คล้ายกับกำแพงวัดมเหยงคณ์และวัดกุฎีดาว
ซึ่งได้รับการบูรณะในสมัยอยุธยาตอนปลาย








Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 กันยายน 2558 13:35:39 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.413 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 28 เมษายน 2567 02:53:46