ขออนุญาตร่วมแสดงความคิดเห็นเล็กน้อยนะครับ
แ่ต่ก่อนผมก็ไม่เคยได้ยินชื่อโรคนี้มาก่อน ถึงแม้จะเรียนมาทางสายสุขภาพก็ตาม จนกระทั่งโรคนี้เกิดขึ้นกับแม่เมื่อสองปีก่อน ผมจึงได้มีโอกาสได้ศึกษาทำความรู้จักกับมันมากขึ้น เพราะช่วงที่รู้ว่าแม่เป็นโรคนี้ ผมเป็นกังวลสารพัด จะเป็นอันตรายมากมั้ย จะหายขาดได้มั้ย จะรบกวนการมองเห็นไปตลอดชีวิตหรือไม่ ฯลฯ แต่พอได้คุยกับคุณหมอที่รักษา ประกอบกับค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมจากห้องสมุดที่คณะฯ ประกอบ ก็ทำให้เข้าใจเจ้าโรคนี้มากขึ้น
ส่วนประกอบที่สำคัญของโครงสร้างตา
1. ขอบตาหรือหนังตา (Eyelids )
2. ขนตา (Eyelashes)
3. เยื่อบุตาขาว (Conjunctiva)
4. กระจกตา (Cornea)
5. ม่านตา (Iris)
6. รูม่านตา (Pupil)
7. เลนส์ตา (Crystalline Lens)
8. เอ็นยึดเลนส์ตา (Suspensory Ligarments)
9. กล้ามเนื้อปรับเลนส์ตา (Ciliary body)
10. น้ำช่องลูกตาหน้า (Aqueous Humor)
11. วุ้นช่องลูกตาหลัง (Vitreous Humor)
12. ตาขาว ( Sclera)
13. โครอยด์ (Choroid)
14. จอรับภาพ ( Retina)
15. ออพติค ดิสค์ (Optic Disc)
16. ออพติค คัพ ( Optic Cup)
17. เส้นประสาท (Optic Nerve)
18. เส้นเลือดดำ-แดง (Vein,Artery)
19. ต่อมผลิตน้ำตา ( Lacrimal Gland)
20. ท่อระบายน้ำตา ( Puncta)
วุ้นในตาหรือ vitreous เป็นสารกึ่งแข็งกึ่งเหลวมีลักษณะใสและยืดหยุ่นได้คล้ายเจล ทำหน้าที่เป็นตัวกลางช่วยให้แสงเดินทางผ่านไปตกกระทบที่เรติน่าหรือจอประสาทตา (ทำหน้าที่คล้ายฟิล์มหรือเซ็นเซอร์ของกล้อง) และทำให้ลูกตาคงรูปร่างอยู่ได้ เมื่อคนเรามีอายุเริ่มเข้าสู่วัยชรา จะมีโอกาสที่วุ้นในตาจะหดตัวและลอยอยู่ในลูกตาได้มากถึงร้อยละ ๕๐ ทำให้เห็นเป็นจุดสีดำลอยไปลอยมา ซึ่งจะสร้างความรำคาญเป็นอย่างมากในระยะเริ่มแรก แต่พอนานวันไป สมองคนเราก็จะค่อยๆ เรียนรู้ที่จะไม่สนใจมัน จนในที่สุดก็จะเกิดความเคยชินจนแทบจะไม่สังเกตเห็นจุดดำที่ว่านี้เลยก็ได้ (ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปี) นอกจากนี้ จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญบางท่าน จะแนะนำให้ผู้ที่เป็นโรคนี้ (eye floaters) ถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิตอลมากขึ้น ด้วยเหตุผลที่ว่า เวลาที่เราเดินทางไปตามที่ต่างๆ เราจะมองเห็นสิ่งต่างๆ มีจุดดำปะปนลอยไปลอยมาตลอด แต่ภาพที่เราถ่ายได้จะเป็น floater-free memories คือเป็นภาพที่ปราศจากจุดดำรบกวน ซึ่งตรงนี้ถ้าเราถ่ายภาพ (หรือถ่ายวิดีโอก็ได้) บ่อยๆ จะเป็นการช่วยให้สมองเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้ ignore จุดดำได้เร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม การหดตัวของวุ้นในตาในบางคน อาจเกิดขึ้นที่บริเวณที่อยู่ติดกับเรติน่าซึ่งอาจไปดึงเนื้อเยื่อเรติน่าให้หลุดลอกออกมาด้วย (retinal detachment) ทำให้มีเลือดออกในจอประสาทตา จะเห็นจุดดำใหญ่ขึ้นหรือมีลักษณะที่เป็นม่าน ซึ่งถือเป็นกรณีที่รุนแรงต้องพบจักษุแพทย์เพื่อทำการผ่าตัดรักษาโดยด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้ตาบอดได้ ซึ่งการผ่าตัดที่ว่าในปัจจุบันก็ถือว่าได้ผลดีและรวดเร็ว ผู้ป่วยอาจไม่ต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลก็ได้
สำหรับความสัมพันธ์ของโรคนี้กับการใช้งานคอมพิวเตอร์นั้น ไม่พบว่ามีความสัมพันธ์ในลักษณะของสาเหตุและผลลัพธ์ี่ที่ชัดเจน แต่เชื่อว่าการจ้องจอมอนิเตอร์ที่มีความสว่างมากเกินไป หรือต้องปรับโฟกัสสายตาตลอดเวลา จะทำให้ "ตาล้า" และเมื่อตาล้าจะทำให้สังเกตเห็นจุดดำได้ง่ายขึ้น และการที่มอนิเตอร์มีความสว่าง จะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า after image คือเมื่อเราละสายตาไปมองที่บริเวณอื่น เราจะเห็นจุดดำได้ัชัดเจนขึ้นด้วย (คล้ายๆ กับการที่เราเล่นจ้องอะไรซักอย่างนานๆ แล้วละสายตาไปมองที่ผนังก็จะเห็นภาพๆ นั้นอยู่ระยะหนึ่ง)
ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลที่ผมทำความเข้าใจด้วยตนเอง หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ถนอมดวงตาของเราไว้ใช้เพ่งใน viewfinder เวลาถ่ายรูป (โดยเฉพาะชาวโอลี่ :-)) ดีกว่าต้องมาเสียสายตากับการจ้องจอคอมพิวเตอร์โดยไม่บันยะบันยังนะครับ http://www.2how.com/board/topic.php?id=24898 ufoatkaokala11.com
ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ