ถาม-ตอบปัญหาธรรม กับพระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี

<< < (2/15) > >>

Maintenence:

“การปฏิบัตินี้เพื่อหยุดความคิด”

ถาม: โยมทำงานในโรงพยาบาล ไม่ค่อยมีเวลาปฏิบัติภาวนาเพราะต้องเข้าเวร ควรจะทำการปฏิบัติอย่างไรครับ ควรกำหนดพุทโธในช่วงเวลาที่เราว่างหรือต้องทำอย่างไรครับ

พระอาจารย์: อ๋อ การปฏิบัติที่จะให้ได้ผลจริงๆนี้มันต้องมีเวลาว่าง ถ้าไม่มีเวลาว่างนี้ปฏิบัติจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ แต่ก็ทำได้ไม่ห้าม แต่ยาก เพราะว่าเวลาเราทำงานเราต้องใช้ความคิดต่างๆ การปฏิบัตินี้เพื่อหยุดความคิด มันก็เลยสวนทางกัน เหมือนกับต้องการจะเอารถเข้าอู่กับต้องเอารถไปทำงานนี้ ถ้าคุณยังต้องทำงานอยู่คุณก็ต้องขับรถไปทำงาน คุณก็ไม่มีเวลาเอารถเข้าอู่ ใช่ไหม ถ้าคุณต้องการที่จะซ่อมรถ คุณก็ต้องหยุดทำงาน เอารถเข้าอู่ไป จิตใจก็เหมือนกัน แต่รถเรายังเปลี่ยนได้ ใช่ไหม เรายังยืมรถคนอื่น เช่ารถคนอื่นใช้แทนกันได้ แต่จิตใจของเรานี้ เราเอาจิตใจคนอื่นมาใช้แทนไม่ได้ ถ้าเราต้องการทำจิตใจให้สงบ สร้างความสุขทางใจขึ้นมา เราก็ต้องหยุดใช้จิตใจในการทำงาน ใช้ในการคิดเรื่องราวต่างๆ เราต้องหยุดความคิดทางจิตใจให้นิ่ง ฉะนั้นการปฏิบัติเพื่อให้ได้ผลจริงๆนี้จำเป็นที่จะต้องมีเวลาว่าง ก็เรามีวันหยุด ทุกอาทิตย์ก็มีตั้ง ๒ วัน เอาเวลาวันหยุดไปทำอะไรกันหมด สมัยโบราณ วันหยุดก็คือวันมาปฏิบัติธรรม สำหรับชาวพุทธเรานี้ วันหยุดคือวันเข้าวัด มาศึกษามาปฏิบัติธรรม มาถือศีล ๘ มานั่งสมาธิ มาฟังเทศน์ฟังธรรมกัน ก็มีวันหยุดนี่ ทำไมไม่มาปฏิบัติในวันที่มีเวลา จะไปปฏิบัติไอ้วันที่ไม่มีเวลาทำไม ฉะนั้นวันที่ไม่มีเวลาอย่าไปพยายามปฏิบัติเลย มันไม่ค่อยได้ผลหรอก มาปฏิบัติวันที่เราไม่ต้องทำงานดีกว่า ไปอยู่วัดกัน ไปอยู่ที่สงบ แล้วก็มาพยายามหยุดความคิดกัน

สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๒

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน

Maintenence:
.




คนตายต้องกินบุญ อาหารใจ

ถาม: ตามประเพณีข้าวประดับดินที่ทางภาคอีสานคือเอาอาหารหลายๆอย่าง วางไว้ให้ญาติพี่น้องตอนกลางคืน คนตายจะได้รับหรือไม่เจ้าคะ

พระอาจารย์: อ๋อ ไม่ได้รับหรอก คนตายกินอาหารไม่ได้ ใช่ไหม คนตายต้องกินบุญ อาหารใจ อาหารของดวงวิญญาณก็คือบุญ บุญจะเกิดก็ต่อเมื่อเราเอาของเราไปทำบุญทำทาน เอาไปให้ผู้อื่นที่เขาเดือดร้อนขาดแคลน ไม่ต้องเป็นพระก็ได้ ทำกับใครก็ได้ ทำแล้วเราจะเกิดบุญขึ้นมาในใจเรา คือความอิ่มใจสุขใจที่เราสามารถแบ่งให้กับจิตใจหรือดวงวิญญาณที่หิวโหยได้ พอดวงวิญญาณที่หิวโหยได้รับบุญคืออิ่มใจ เขาก็จะเกิดความอิ่มใจขึ้นมา เป็นเหมือนอาหารของใจ


มารบ่มี บารมีบ่เกิด

ถาม: ลูกมีเวรกรรมเยอะเหลือเกินเจ้าค่ะ มีคนใส่ร้ายบ้างมีคนเอาเปรียบบ้าง ควรทำอย่างไรให้อยู่อย่างสงบไม่มีใครเบียดเบียนเจ้าคะ

พระอาจารย์: อ๋อ อย่าไปคิดอย่างนั้นซิ ต้องคิดว่า “มารบ่มี บารมีบ่เกิด” คนเราถ้าไม่มีมารมามันก็จะไม่สร้างบารมีไว้ต่อสู้กับมาร งั้นคนเราถ้าไม่มีศัตรูเราก็ไม่สร้างอาวุธ ใช่ไม๊ แต่พอมีศัตรูมารุกรานเราก็ต้องคิดหาอาวุธมาปกป้องตัวเรา ฉันใด บารมีก็เป็นเหมือนอาวุธคุ้มครองจิตใจของเรา แต่เรามักจะขี้เกียจกัน เราจะไม่อยากสร้างบารมีกัน แต่พอมีปัญหาขึ้นมารุกรานทำให้จิตใจเราวุ่นวาย ตอนนั้นแหละเราต้องคิดหาบารมีมาคุ้มครอง บารมีที่เราต้องสร้างก็คือขันติบารมีนี่เอง อย่างคำถาม ๒ คำถามก่อนหน้านี้ก็ต้องใช้ขันติความอดทนอดกลั้น ทำใจ เรียกว่าขันติ ใครจะมาทำอะไรเราก็ “ช่างหัวมัน ช่างมันไป” ใช้ความอดทน เหมือนไปอยู่ห้องส้วมที่เหม็นก็ทนมันไป แล้วมันก็จะฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้อย่างง่ายดาย ให้คิดอย่างนี้ว่าเรากำลังได้รับข้อสอบ เรื่องมารนี้เป็นเหมือนข้อสอบมาทดสอบว่าเรามีบารมีหรือไม่ ถ้ามีมารมาแล้วเราเฉย เรายิ้มได้นี่แสดงว่าเรามีบารมีมาก ไม่วุ่นวายไม่เดือดร้อน ถ้าเราเดือดร้อนวุ่นวายแสดงว่าเราไม่มีบารมี เรารีบไปสร้างกันเสีย ไปฝึกขันติกัน วิธีฝึกขันติก็ให้คิดอย่างนี้ คิดว่า “ถ้าเขาไม่ชอบเราก็ดีแล้ว เขายังไม่ด่าเรา ถ้าเขาด่าเราก็คิดว่าดีแล้วเขายังไม่ตีเรา ถ้าเขาตีเราก็ดีแล้วเขายังไม่ฆ่าเรา ถ้าเขาฆ่าเราก็ดีแล้ว จะได้ไม่มาวุ่นวายกับเขา” คิดอย่างนี้แล้วมันก็จบ สบาย ขันติก็จะเกิดขึ้นมาทันที

ที่มา เพจ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน

Maintenence:



การดูจิตดูอย่างไรคะ

ถาม: การดูจิตดูอย่างไรคะ

พระอาจารย์: อ๋อ ถ้ายังไม่รู้นี่ยังดูไม่ได้หรอก ต้องหาเครื่องมือมาดูก่อน เครื่องมือที่จะดูจิตก็คือสติและปัญญา ต้องมาสร้างสติก่อน ถ้าสร้างสติก็จะเริ่มเห็นจิต แล้วก็ต้องสร้างปัญญาเพื่อจะได้แยกแยะสิ่งที่มีอยู่ในจิตว่าสิ่งไหนดีสิ่งไหนไม่ดี ถ้าดูจิตโดยไม่มีสติโดยไม่มีปัญญา ดูไม่ได้ เพราะมันจะไม่ดูจิตมันจะไปดูอย่างอื่นแทน กิเลสมันจะดันให้เราไปดูรูปเสียงกลิ่นรส ทีนี้เราจะไม่สามารถดูจิตได้จนกว่าเราจะดึงจิตเข้าข้างใน ดึงจิตออกจากรูปเสียงกลิ่นรสเข้าสู่ภายใน ถึงจะเริ่มเห็นจิต เมื่อเห็นจิตแล้วก็จะเห็นสิ่งที่มีอยู่ในจิต มีทั้งสิ่งที่ดีไม่ดี ก็ต้องใช้ปัญญามาแยกแยะวิเคราะห์ว่าอันไหนดีอันไหนไม่ดีต่อไป แล้วกำจัดสิ่งที่ไม่ดี เก็บแต่สิ่งที่ดี ต่อไปจิตก็จะมีแต่สิ่งที่ดี ไม่มีสิ่งที่ไม่ดีอยู่ในจิตต่อไป


มันไม่ใช่เรื่องของกรรมอย่างเดียว

ถาม: คนที่แต่งงานแล้วไม่มีบุตร เป็นกรรมอะไรเจ้าคะ

พระอาจารย์: อ๋อ มันก็มีหลายสาเหตุ เหตุที่ไม่มีบุตรเพราะว่าร่างกายอาจจะขาดศักยภาพ ขาดเชื้อ บางทีมันก็มีบุตรไม่ได้ มันมีหลายสาเหตุ มันไม่ใช่เรื่องของกรรมอย่างเดียว คือ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรานี้นอกจากมีกรรมเป็นเหตุแล้ว ยังมีเหตุผสมอย่างอื่นมาผสมด้วย เช่น กรรมพันธุ์นี่ พันธุ์ของพ่อของแม่ไม่พร้อมที่จะมามีบุตร มันก็ไม่มีบุตร งั้นมันไม่ได้อยู่ที่ว่าต้องเป็นเรื่องของกรรมที่เคยทำมาในอดีตชาติเพียงอย่างเดียว


ทำอย่างไรถึงจะไม่ทุกข์เมื่อต้องตาย

ถาม: เคยฝันว่าตัวเองตาย เมื่อตื่นขึ้นมาตกใจ เป็นทุกข์มาก ทำอย่างไรถึงจะไม่ทุกข์เมื่อต้องตายจริงๆ ครับ

พระอาจารย์: จะทำอย่างไรล่ะ ก็ต้องปลงต้องปล่อยวางร่างกายเท่านั้นเอง อย่าไปคิดว่าร่างกายเป็นตัวเรา เราก็จะไม่ทุกข์ ความจริงมันก็ไม่เป็นตัวเราอยู่แล้ว เพียงแต่เราไม่รู้ เราไปหลงคิดว่าร่างกายเป็นตัวเรา พอมันตายมันก็เลยทำให้เราทุกข์ ต้องมาสอนใจว่าเราไม่ได้เป็นร่างกาย เราเป็นใจผู้รู้ผู้คิด เราไม่ได้ตายไปกับร่างกาย

สนทนาธรรมบนเขา
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน

Maintenence:


การทำแท้งก็เป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

ถาม: สามีของโยมเคยทำแท้งตั้งแต่สมัยเรียน เหตุการณ์ผ่านมาแล้วยี่สิบกว่าปี เขาทุกข์ใจมาตลอด มีพระบอกมาว่าเห็นเด็กอยู่ในบ้าน พระจะมาทำพิธีเพื่อพาเด็กไปอยู่ด้วยและส่งไปเกิด สามีมาปรึกษากับโยม โยมอยากเรียนถามว่าควรเชื่อพระหรือไม่และคนที่เคยทำแท้งมาสำนึกผิดแล้วมีทางพ้นทุกข์ได้อย่างไร และควรทำบุญให้เด็กเพื่อให้เขาพ้นทุกข์และอโหสิกรรมให้ พระอาจารย์เมตตาชี้หนทางสว่างให้คนตาบอดด้วยเถิดเจ้าค่ะ

พระอาจารย์: คือการทำแท้งก็เป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเอง ฉะนั้น ทำไปแล้วก็ต้องไปรับผลบาปต่อไป ต่อไปเวลาเราไปเกิดในท้องใครเราก็จะถูกเขาทำแท้งเราบ้าง เป็นการแลกเปลี่ยนกัน แต่เราจะไปห้ามวิบากกรรมไม่ให้เกิดไม่ได้ เพราะมันทำไปแล้ว เหมือนไปกู้หนี้เขาแล้วบอก “ขอยกหนี้ได้ไหม” ไม่ได้หรอก เจ้าหนี้เขาไม่ยอมหรอก ใช่ไหม อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าไปทำบาปแล้วก็ต้องไปรับผลบาปไม่ช้าก็เร็ว เมื่อมีเหตุมีปัจจัยถึงวาระโอกาสที่มันจะส่งผลมันก็จะส่งผล ทางที่ดีก็อย่าไปทำเหตุก็แล้วกัน อย่าไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่กรรมเก่าที่ทำไว้ก็ต้องรอรับผลมันไป เราอย่าไปทำกรรมใหม่ ต่อไปเราจะได้ไม่มีผลไม่ดีที่จะเกิดขึ้นกับเราตามมา


เป็นเปรตเขาก็จะรอรับบุญ

ถาม: ทำบุญ ๑๐๐ วัน คนที่ตายไปแล้วจะได้รับไหมคะ

พระอาจารย์: ก็อยู่ที่ว่าเขาอยู่ที่ไหนล่ะ ถ้าเขาอยู่สวรรค์เขาก็ไม่ต้องรับบุญที่เราส่งไป เพราะบุญส่งไปนี้น้อยกว่าบุญที่เขามีอยู่แล้ว แต่ถ้าเขาเป็นขอทานคือเป็นเปรตเขาก็จะรอรับบุญที่เราส่งไป


บุญเป็นเหมือนเงินในโลกทิพย์

ถาม: สวดมนต์เช้าเย็นที่บ้านทุกวัน และอุทิศบุญกุศลให้มารดาที่ตายไปแล้ว จะได้รับไหมครับ และความเชื่อที่ว่าการทำบุญใส่บาตร แม่เราที่ตายไปจะได้กินข้าวที่เราใส่ด้วยจริงหรือเปล่าครับ

พระอาจารย์: คือบุญที่เราอุทิศไปมันเป็นข้าวของดวงวิญญาณไง งั้นบุญมันเกิดขึ้นได้หลายวิธี ใส่บาตรก็ได้บุญ รักษาศีลก็ได้บุญ นั่งสมาธิไหว้พระสวดมนต์ก็ได้บุญ อยู่ที่ว่าทำแล้วมันเกิดผลหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าสวดมนต์แล้วจะได้ผลทันที บางทีสวดไปแล้วจิตยังฟุ้งอยู่มันก็ไม่ได้ผล วิธีที่ได้ผลชัวร์ๆ แน่ๆ ก็คือใส่บาตร พอใส่บาตรแล้วใจมันก็จะเกิดความสุขเกิดความอิ่มขึ้นมา แต่รักษาศีลรักษาแบบขาดๆ เกินๆ มันก็ยังไม่เกิดความสุขขึ้นมา สวดมนต์ถ้าจะสวดแบบฟุ้งไปฟุ้งมามันก็ยังไม่เกิดผล งั้นเขาจึงนิยมทำบุญอุทิศด้วยการใส่บาตร ทำบุญทำทาน เพราะว่ามันเป็นของที่แน่นอนได้ผลทันที แต่บุญอย่างอื่นนี้มันยังเป็นบุญที่เกิดยาก รักษาศีลก็ยาก ไหว้พระสวดมนต์ก็ยาก นั่งสมาธิก็ยาก ถึงแม้ว่าเราจะรักษาศีลอยู่ สวดมนต์อยู่ นั่งสมาธิอยู่ แต่ผลมันก็อาจจะยังไม่เกิดขึ้นมาก็ได้ งั้นถ้าเราอยากจะอุทิศบุญก็อุทิศด้วยการทำทานดีกว่า ทำทาน ใส่บาตร หรือบริจาคเงินให้กับองค์กรต่างๆ โรงเรียน โรงพยาบาลอะไรนี้ ทำแล้วเกิดความสุขใจอิ่มใจขึ้นมาทันที เอาบุญแบบนี้ดีกว่า ถ้าต้องการจะอุทิศบุญ งั้นไม่จำเป็นว่าเวลาจะส่งข้าวให้แม่เราต้องใส่ข้าวให้กับพระ ส่งเสื้อผ้าต้องถวายเสื้อผ้าให้กับพระ ไม่ใช่ อันนี้คือ ของที่เราให้นี้มันจะแปลงเป็นบุญทันที แล้วบุญนี้ก็เป็นเหมือนเงินที่คนที่อยู่ในโลกทิพย์จะเอาไปซื้อของที่เขาต้องการได้ทันที งั้นไม่ต้องกังวลว่า แม่ชอบกินอาหารชนิดนี้ หาซื้ออาหารชนิดนี้ใส่บาตรพระไม่ได้ เดี๋ยวแม่จะไม่ได้กินอาหาร นี่ไม่ใช่หรอก ใส่อาหารชนิดไหนไปในบาตรก็ได้ เป็นบุญเหมือนกัน เป็นอาหารของใจเหมือนกัน เป็นอาหารทิพย์

ธรรมะบนเขา
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน

Maintenence:


คนที่ตายเขาจะรู้ตัวไหมว่าเขาตาย

ถาม: คนที่ตายด้วยอุบัติเหตุหรือตายปุ๊บปั๊บ เขาจะสามารถรู้ตัวไหมคะว่าเขาตายแล้ว หรือว่าเขาจะเห็นร่างของตัวเองไหมคะว่าตายแล้ว

พระอาจารย์: คือเวลาที่จะตายเนี่ยคนเราทุกคนรู้เท่านั้นแหละ เพราะว่าไม่ว่าจะอุบัติเหตุหรือนอนหลับตายก็ตาม เพราะว่าก่อนจะตายนี้มันจะต้องมีอะไรมากระตุ้นให้เกิดความตื่นเต้นตกใจขึ้นมา เพียงแต่ว่ามันจะไปยังไงนี้มันอยู่ที่บุญที่บาปได้ทำไว้ ถ้ามีบุญมากกว่าบาปก็จะไปดี ถ้าบาปมากกว่าบุญก็จะไปอบาย


เป็นมะเร็งขอสติจากหลวงพ่อค่ะ

ถาม: หลวงพ่อคะ วันนี้หนูไปฟังผลชิ้นเนื้อมา หมอบอกหนูเป็นมะเร็ง หนูอยากจะขอสติจากหลวงพ่อค่ะ หนูยอมรับว่ากลัวมากค่ะ

พระอาจารย์: อ๋อ หมอเขาลืมบอกว่าร่างกายของหนูไม่ใช่หนู นี่คือสิ่งที่หมอไม่รู้ ต้องไปหาหมอพระ ไปหาพระพุทธเจ้า ไปหาพระอริยสงฆ์สาวก ท่านก็จะบอกว่าร่างกายไม่ใช่เรา ร่างกายเป็นคนรับใช้เรา เราเป็นเจ้านายของร่างกาย เราเป็นผู้สั่งให้ร่างกายทำอะไรต่างๆ ฉะนั้นเวลาร่างกายเป็นอะไร มันไม่ได้มาเป็นที่เรา แต่เราไม่รู้เราไปหลงคิดว่าเราเป็นร่างกาย พอร่างกายเป็นอะไรขึ้นมาเราก็เลยคิดว่าเราจะเป็นไปกับร่างกาย ความจริงเราเป็นใจผู้รู้ผู้คิด ผู้ที่ไม่มีรูปร่างหน้าตา ไม่มีร่างกาย เราเลยไปเช่าร่างกายมาจากพ่อแม่ของเรา ไปขอร่างกายจากพ่อแม่เพื่อเราจะได้ใช้ร่างกายพาเราไปเที่ยว พาไปหาความสุขกัน แต่ร่างกายของเรามันไม่ช้าก็เร็วก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย อันนี้เราไม่มาศึกษากัน ไม่มาทำความเข้าใจก่อน เหมือนกับไปซื้อของแล้วไม่เปิดดูหนังสือกำกับมาว่าสินค้าชนิดนี้มีประโยชน์ยังไงมีโทษยังไง เราก็เลยไปคิดว่ามันมีประโยชน์อย่างเดียว แต่ความจริงสินค้าที่เราซื้อมานี้มันมีทั้งคุณมีทั้งโทษ คุณก็คือเวลาที่มันแข็งแรงมันก็พาเราไปไหนมาไหนทำอะไรได้ แต่เดี๋ยวต่อไปมันจะต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย อันนี้เราไม่รู้กัน เราไปเหมาว่าเป็นเราเป็นของเราเป็นตัวเรา แล้วเราก็จะอยากให้มันดีตลอดเวลา ไม่ต้องการให้มันเป็นอะไรไป พอมันเป็นอะไรมันก็เลยทำให้เราไม่สบายใจ แต่ถ้าเรามาศึกษามาทำความเข้าใจให้รู้ว่า เราไม่ได้เป็นอะไรไปกับร่างกาย มันเป็นเพียงคนรับใช้เรา เป็นเครื่องมืออันหนึ่งที่เราซื้อมา เราเช่ามาจากพ่อจากแม่ หรือเช่ามาจากดินน้ำลมไฟก็ว่าไป เดี๋ยวไม่ช้าก็เร็วเขาก็ต้องกลับไปคืนเจ้าของ คือดินน้ำลมไฟไป เราต้องรู้อย่างนี้แล้วเราจะได้สบายใจ แล้วเราจะได้ปล่อยใจได้

ถ้ารู้แล้วยังไม่ยอมเชื่อ ยังไม่ยอมปล่อยเราก็ต้องมานั่งสมาธิทำใจให้สงบ เปลี่ยนความคิดใหม่เพราะขณะนี้เรายังจะคิดว่ามันเป็นเราเป็นตัวเราอยู่ แต่ถ้าเรามาหยุดความคิดนี้ได้ พุทโธพุทโธ เดี๋ยวความคิดว่าเป็นตัวเราของเรามันก็จะหายไป แล้วทีนี้เราก็จะปล่อยวางร่างกายได้ตามความเป็นจริงของมัน นี้คือสิ่งที่เราต้องมาฝึกกัน ฝึกกันก่อนที่จะเจอเหตุการณ์นี้ เพราะเวลาเจอเหตุการณ์นี้จะเหมือนเข้าห้องสอบโดยที่ไม่เตรียมทำข้อสอบไว้ก่อน มันก็จะสอบตกนะ ใจมันก็จะตกจากข้างบนลงมาสู่เท้า ต่อไปนี้ตอนนี้คงจะไม่มีกะจิตกะใจอยากทำอะไรแล้ว วิตกกังวลกับเรื่องความเจ็บไข้ได้ป่วยของร่างกาย แต่ถ้าเราได้ฝึกไว้มาตั้งแต่ก่อน พอเกิดเหตุการณ์อย่างนี้เราก็จะรู้วิธีทำใจว่า ถึงเวลาที่เราจะต้องเสียร่างกายนี้แล้วนะ ร่างกายนี้เป็นเครื่องมือเป็นคนรับใช้เรา เขารับใช้เราได้เท่าไหร่ก็ให้เขารับใช้ไปพอหมดเวลาก็ปล่อยเขาไป เราก็จะไม่วุ่นวายใจ เราก็จะไม่เดือดร้อนใจกับความเป็นไปของร่างกาย ฉะนั้นตอนนี้ถ้าวุ่นวายใจก็พยายามหัดฝึกสติพุทโธพุทโธ ทำใจให้สงบ อย่าไปคิดถึงร่างกาย ปล่อย ถ้าจะคิดก็คิดว่าไม่ใช่เป็นตัวเราของเรา รักษาได้ก็รักษาไป รักษาไม่ได้ก็ต้องปล่อยมันไป


โกหกเพื่อให้คนอื่นสบายใจ ผิดศีลไหม

ถาม: ถ้าการโกหกผิดศีลข้อ ๔ แต่ถ้าเราโกหกเพื่อให้คนอื่นสบายใจ จะถือว่าผิดศีลไหมครับ

พระอาจารย์: ผิดทั้งนั้นแหละถ้าโกหกมันก็ผิด ไม่ได้เขียนวงเล็บไว้ว่า ถ้าโกหกให้คนอื่นสบายใจแล้วไม่ผิดศีล มันไม่มี มันไม่มีข้อยกเว้น คือเวลาไม่พูดความจริงมันก็ผิด เพราะข้อนี้ต้องการให้เรามีสัจจะ มีความจริงไม่พูดเรื่องไม่จริง เพราะมันเป็นเครดิตของเรา คนที่พูดจริงนี้ถึงแม้ว่าจะผิดแต่พูดไป คือยอมรับผิดนี้ก็ยังดีกว่าคนที่ทำผิดแล้วโกหกว่าไม่ได้ทำผิด เพื่อให้คนฟังสบายใจ เช่น หลอกภรรยาว่าไปทำงานแต่ที่ไหนได้ไปจู๋จี๋กับใครอยู่ ถ้าบอกว่าไปจู๋จี๋กับใครเดี๋ยวภรรยาจะเสียใจ ก็เลยโกหกอย่างนี้ ให้ภรรยาสบายใจ อันนี้มันก็โกหกมันก็ไม่ดี เพราะถ้าเกิดเขาจับได้ ทีนี้มันจะเสียหายมากกว่าที่เราพูดความจริง แต่ถ้าเราคิดว่าการพูดความจริงแล้วทำให้เขาเสียใจก็อย่าพูดก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องโกหกเลย ก็เปลี่ยนเรื่องพูดไป หรือไม่พูดไป ทำเป็นเจ็บฟันปวดฟันไป พูดไม่ออก อะไรก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่ง ไอไปจามไป ก็ไม่ต้องพูดก็ได้ ไม่จำเป็นที่จะต้องโกหก ถ้าโกหกแล้วคนอื่นเขารู้ คนอื่นเขารู้ว่าเราโกหก เขาก็จะไม่เชื่อถือเรา

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว