.พระพุทธนิมิตรวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์ บรมไตรโลกนาถ
พระประธานประดิษฐานในพระอุโบสถ ซึ่งสร้างในสมัยที่สร้างวัด
พระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมือง
วัดหน้าพระเมรุ • ประวัติวัดหน้าพระเมรุ วัดหน้าพระเมรุ มีฐานะเป็นพระอารามหลวง ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนครนครศรีอยุธยา หมู่ที่ ๕ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ริมคลองสระบัว ด้านเหนือของคูเมือง (แม่น้ำลพบุรีเก่า) ตรงข้ามกับพระราชวังหลวง มีชื่อเดิมว่า "วัดพระเมรุราชิการาม"
วัดนี้มีเนื้อที่ประมาณ ๙๐๒๑ ตารางวา หรือ ๒๒ ไร่ ๒ งาน ๒๑ วา ตามโฉนดเลขที่ ๓๑๒๒ เล่ม ๗๙ หน้า ๒๒ ระวาง ๑๒ ต. ๑๓ อ.๘-๔ พระองค์อินทร์ในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ (องค์ที่ ๑๐) แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงสร้างเมื่อจุลศักราช ๘๖๔ (พ.ศ. ๒๐๔๖) ประทานนามว่า “วัดพระเมรุราชิการาม” แต่ชาวบ้านนิยมเรียกว่า “วัดพระเมรุ” ซึ่งเป็นนามของวัดที่เรียกขานมาจนตราบทุกวันนี้ นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าผู้สร้างเอานามวัดพระเมรุ ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลสวนนันทอุทยาน ในจังหวัดนครปฐม มาตั้งชื่อปรากฏตามจารึกบนหินขาวติดไว้ที่ฟากพนักใกล้ประตูเข้าวิหารน้อยตอนหนึ่งว่า “พระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาทศิลาสมัยทวาราวดี หน้าตักกว้าง ๑.๗๐ เมตร สูง ๕.๒๐ เมตร พระยาไชยวิชิต ได้ย้ายมาจากวัดมหาธาตุ ในเกาะเมืองอยุธยา และว่ามาจากเมืองลังกา” ต่อมาในรัชกาลที่ ๕ ขุดพบศิลาเรือนแก้วที่วัดพระเมรุ จังหวัดนครปฐม เมื่อเทียบกับพระพุทธรูปองค์นี้แล้วปรากฏว่าเข้ากันสนิท จึงเป็นอันเชื่อได้ว่าอัญเชิญมาจากวัดพระเมรุในจังหวัดนครปฐม ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และประดิษฐานไว้ที่วัดมหาธาตุก่อน แล้วพระยาไชยวิชิตได้ย้ายมาจากวัดมหาธาตุ มาประดิษฐานไว้ที่หน้าพระเมรุ (ในพระวิหารน้อย) จนถึงปัจจุบันนี้พระคันธารราฐ ประดิษฐาน ณ พระวิหารน้อย
เป็นพระพุทธรูปศิลา (ศิลาเขียว) ที่ใหญ่ที่สุด และมีพระลักษณะสวยงามที่สุด
ที่มีอยู่ที่อื่นก็มีแต่เป็นศิลาขาว สำหรับที่วัดหน้าพระเมรุมีพระลักษณะแตกต่างจากที่อื่น
• ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา (พระจักรพรรดิ์ และหนังสือไทยรบกับพม่า พระนิพนธ์สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ) กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า เมื่อปีกุน พ.ศ. ๒๑๐๖ พระเจ้าหงสาวดีกำลังมีพระอานุภาพแผ่ไพศาลไปทั่วทุกสารทิศ ได้ยินกิตติศัพท์คำสรรเสริญว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์มีบุญญาธิการยิ่งใหญ่ไพศาลยิ่งนัก มีช้างเผือกคู่พระบารมีถึง ๗ ช้าง ไม่สบายพระทัยว่าเราก็มีบุญญาธิการ ประกอบกับมีพระชนมพรรษามากกว่า เห็นจะละไว้เป็นคู่แข่งพระบารมีหาได้ไม่ จึงได้ทรงดำริที่จะแผ่พระบารมีมาย่ำยีกรุงศรีอยุธยาให้จงได้ และมีพระทัยที่จะได้ช้างเผือกมาเป็นคู่พระบารมีด้วย แต่หวั่นพระทัยว่าพวกมอญไม่เต็มใจที่เข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา เพราะเคยล้มตายได้ความลำบากมากมายเมื่อคราวก่อน ด้วยพระอัจฉริยะอันชาญฉลาดของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองจึงทำทีว่าเป็นมิตร ส่งราชทูตเชิญพระราชสาส์นกับเครื่องราชบรรณาการเข้ามาถวายสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ เป็นทำนองเจริญพระราชไมตรี ในพระราชสาส์นมีเนื้อความว่า “พระบารมีเลื่องลือถึงหงสาวดี ว่า สมเด็จพระเชษฐา (พระมหาจักรพรรดิ์) มีบุญญาธิการมากมาย มีช้างเผือกมาสู่คู่บารมีถึง ๗ ช้าง กรุงหงสาวดีหามีช้างเผือกสำหรับพระนครไม่ ขอให้สมเด็จพระเชษฐาเห็นแก่พระไมตรี ขอพระราชทานช้างเผือกแก่ข้าพระพุทธเจ้าผู้เป็นอนุชาไว้เป็นศรีนครสัก ๒ ช้าง พระราชไมตรีทั้ง ๒ พระนครจะได้เจริญวัฒนาการสืบไป พระอุโบสถ เป็นสถาปัตยกรรมสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น
มีอายุมากกว่า ๕๐๐ ปี เป็นโบราณสถานที่สภาพสมบูรณ์ที่สุด
ไม่เคยถูกทำลาย ทุกส่วนมีสภาพเหมือนเดิม
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ทรงทราบพระราชสาส์น ก็ทรงเข้าพระทัยทันทีว่า พระเจ้าหงสาวดีมีพระราชประสงค์ที่จะแผ่อำนาจเหยียบย่ำกรุงศรีอยุธยาแน่นอน ถ้าพระราชทานช้างเผือกตามขอก็เหมือนกับกรุงศรีอยุธยาสิ้นคนดี อยู่ในอำนาจของพระเจ้าหงสาวดี เพราะช้างเผือกเป็นช้างคู่พระบารมี ไม่มีเยี่ยงอย่างประเพณีที่พระราชาผู้มีอิสริยยศเสมอกันจะให้แก่กัน คงมีแต่ประเทศราชจะถวายแก่ราชาธิราชเท่านั้น
พงศาวดารว่า ความเห็นในที่ประชุมแตกกัน ๒ ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเห็นควรว่าให้ เพราะพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองมีอานุภาพยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ ซ้ำขณะนั้นได้เมืองเชียงใหม่ไว้เป็นกำลังด้วย การที่กรุงศรีอยุธยาจะเอาชนะเห็นจำเหลือกำลัง เสียช้างเผือกดีกว่าเกิดศึกสงคราม ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเดือดร้อน ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระราเมศวร พระยาจักรี และพระสุนทรสงคราม เจ้าเมืองลพบุรี มีความเห็นว่าการที่จะยอมสละช้างเผือกให้ไม่ใช่เป็นทางป้องกันไม่ให้เกิดศึกสงครามได้ ไม่สมควรสละให้ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์จึงมีพระราชสาส์นไปยังพระเจ้าหงสาวดีว่า “ช้างเผือกย่อมเกิดสำหรับบุญบารมีของพระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นเจ้าของ เมื่อพระเจ้าหงสาวดีทรงบำเพ็ญราชธรรมให้ไพบูลย์จึงจะได้ช้างเผือกมาสู่คู่พระบารมี...”
พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองทราบพระราชสาส์น แน่พระทัยว่ากรุงศรีอยุธยา ตัดทางไมตรีแล้ว ประกอบกับมีพระราชประสงค์ที่จะย่ำยีกรุงศรีอยุธยาอยู่แล้ว จึงยาตราทัพออกจากพม่า เมื่อวันจันทร์ เดือน ๑๒ ปีกุน พ.ศ. ๒๑๐๖ ชุมนุมที่เมืองเมาะตะมะ จัดกระบวนเป็น ๕ ทัพ ทัพพระมหาอุปราชราชโอรส ทัพพระเจ้าอังวะบุตรเขย ทัพพระเจ้าแปรราชอนุชา ทัพพระเจ้าตองอูราชอนุชา ทัพหลวงของพระเจ้าหงสาวดี รวมเบ็ดเสร็จ ๕๐๐,๐๐๐ คน เข้าตีหัวเมืองทางเหนือ ร่นเข้าล้อมกรุงไว้ได้ทั้ง ๓ ด้าน
พระมหาจักพรรดิ์ทรงดำริว่า เห็นจะเอาชนะข้าศึกไม่ได้ ชาวพระนครพากันครั่นคร้าม ประกอบกับพระเจ้าหงสาวดีมีพระราชสาส์นมายังพระเจ้าจักรพรรดิ์ ว่า “จะทรงรบหรือจะยอมไมตรี” สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์จึงยอมเป็นไมตรี พงศาวดารพระเจ้าจักรพรรดิ์กล่าวว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ กับ พระเจ้าหงสาวดี ใช้สถานที่เจรจาสงบศึกครั้งนั้นที่ วัดพระเมรุราชิการาม (วัดหน้าพระเมรุ ในชื่อเรียกปัจจุบัน) เชื่อมต่อกับวัดหัสดาวาส (วัดช้าง) จัดสร้างพลับพลาอัญเชิญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ประดิษฐานเป็นประธาน สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์กับพระเจ้าหงสาวดีเสด็จพบ ณ พลับพลานั้น พระเจ้าหงสาวดีขอช้างเผือก ๔ ช้าง กับขอพระราเมศวร พระยาจักรี พระยาสุนทรสงคราม ผู้เป็นหัวหน้าที่คิดให้เกิดการศึกเอาไปเมืองหงสาวดี พงศาวดารพม่ากล่าวว่า พระเจ้าหงสาวดีให้ไทยส่งส่วยปีละ ๓๐ ช้าง และเงินปีละ ๓๐๐ ชั่ง กับยอมให้ประโยชน์ภาษีอากรที่เก็บได้จากเมืองมะริดเป็นของพม่าด้วย
วัดหน้าพระเมรุ จึงมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ตามในประวัติศาสตร์ดังกล่าวแล้วตอนหนึ่งนั้น
อีกตอนหนึ่งเมื่อคราวพระเจ้าอะลองพญามาตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อเดือน ๖ ขึ้น ๑ ค่ำ พ.ศ. ๒๓๐๓ พม่าเอาปืนใหญ่มาตั้งที่วัดพระเมรุราชิการาม (วัดหน้าพระเมรุ) กับวัดหัสดาวาส (วัดช้าง) พระเจ้าอะลองพญาทรงบัญชาการและทรงจุดปืนใหญ่ด้วยพระองค์เอง ปืนใหญ่ที่ตั้งอยู่ในวัดพระเมรุราชิการามแตกต้องพระองค์บาดเจ็บสาหัสประชวรหนักในวันนั้น พอรุ่งขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๖ พ.ศ. ๒๓๐๓ พม่าเลิกทัพกลับไปทางเหนือหวังออกทางด่านแม่ละเมาะ แต่ยังไม่พ้นแดนเมืองตากพระเจ้าอะลองพญาก็สิ้นพระชนม์ระหว่างทางพระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์ บรมไตรโลกนาถ ทรงเครื่องใหญ่ สร้างในคติของพระพุทธเจ้าปางโปรดพญามหาชมพู
พระประธาน ประดิษฐานในพระอุโบสถ สถาปัตยกรรมสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น
สร้างในสมัยที่สร้างวัด
เจดีย์ราย เป็นเจดีย์ทรงระฆัง ๓ องค์เรียงกัน ในแนวเหนือ-ใต้
จากลักษณะรูปทรงของเจดีย์สันนิษฐานว่า เป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง-ปลาย
เจดีย์องค์ด้านใต้เป็นที่น่าสนใจมากกว่าเจดีย์องค์อื่น
เนื่องจากเป็นเจดีย์ที่มีต้นโพธิ์หุ้มอยู่เหมือนเศียรพระในรากไม้ที่วัดมหาธาตุ
กำแพง ก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่ เป็นกำแพงที่ล้อมรอบเขตพุทธาวาสของวัดในสมัยอยุธยา
มีการทำซุ้มประตูและเสาหัวเม็ดบริเวณมุมกำแพง คล้ายกับกำแพงวัดมเหยงคณ์และวัดกุฎีดาว
ซึ่งได้รับการบูรณะในสมัยอยุธยาตอนปลาย