[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
14 พฤษภาคม 2567 05:41:06 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: การเจริญมรรคภาวนา ฌาณสี่  (อ่าน 3771 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 14 สิงหาคม 2554 11:23:51 »



         

การเจริญมรรคภาวนา คือ การนำคำสอนของพระบรมศาสดาที่ทรงตรัสสอนแก่พุทธสาวกจนบรรลุธรรม  ได้แก่มรรคสี่

โสดาปัตติมรรค
สกิทาคามิมรรค
อนาคามิมรรค
อรหันตมรรค

นำเอาคำพุทธวัจนะที่ตรัสสอน หรือปฏิปทาแห่งพระอริยะมาอบรมจิตของตน  การอบรมจิตนี่คือการสะกดจิตตนเองนั่นเอง  สะกดจิตตนเองเพื่อให้คลายความยึดมั่นถือมั่น คลายความทุกข์ มีจิตอันนิ่งเสมอด้วยเขาศิลาไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งปวง

วิธีการเจริญมรรคภาวนา
เราสามารถเจริญมรรคภาวนาได้ตลอดเวลา โดยนำคำสอนของพระบรมศาสดาสั่งหรือบันทึกในจิตเราทุกครั้งที่พบสภาวะใด ๆ ก็ตาม เช่น พลัดพรากจากคนรัก  โดนคนปองทำร้าย หรือใดๆ ก็ตาม เมื่อเจริญมรรคภาวนาแล้ว จิตใจจะสงบเยือกเย็นดุจพระอริยะ หากมีปัญญาจะสามารถบรรลุมรรค ดำรงในผลทั้งสี่ได้ตามลำดับ

ปรมัตถธรรม ได้แก่  มรรคสี่  ผลสี่  นิพพานหนึ่ง
ปรมัตถสัจจะ ได้แก่  จิต เจตสิก นิพพาน
คำเหล่านี้หลายท่านยังสับสนอยู่

มรรคจิตอันเป็นปรมัตถธรรม เกิดได้ในองค์ฌาณ การทำฌาณไม่จำเป็นต้องนั่งหลับตาขัดสมาธิเท่านั้น เมื่อใดจิตดำรงในองค์ปฐมฌาณ ก็สามารถบรรลุมรรคผลได้เช่นกัน เช่นพระอานนท์ที่บรรลุอรหันต์ตอนเอนนอน หรือพระอัญญาโกณฑัณญที่บรรลุโสดาปัตติมรรคในขณะฟังปฐมเทศนา การที่เรานำมรรคมาอบรมจิตก็เสมือนหนึ่งเราได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้า ดวงตาเห็นธรรมย่อมเกิดขึ้นได้

โลกุตรฌาณ ฌาณ ๔ นำสู่พระนิพพานเป็นไฉน?
[๗๒๑] ฌาน ๔ คือ
๑. ปฐมฌาน
๒. ทุติยฌาน
๓. ตติยฌาน
๔. จตุตถฌาน

[๗๒๒] ในฌาน ๔ นั้น ปฐมฌาน เป็นไฉน
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญโลกุตตรฌาน
อันเป็นเครื่องนำออกไปจากโลกให้เข้าสู่นิพพาน
เพื่อประหาณทิฏฐิ เพื่อบรรลุปฐมภูมิ
สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน
ประกอบด้วยวิตก วิจาร มีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวก

เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา อยู่ ในสมัยใด ฌานมีองค์ ๕ คือ
วิตก
วิจาร
ปีติ
สุข
เอกัคคตาแห่งจิต มีในสมัยนั้น นี้เรียกว่า ปฐมฌาน
ธรรมทั้งหลายที่เหลือ เรียกว่าธรรมที่สัมปยุตด้วยฌาน


[๗๒๓] ทุติยฌาน เป็นไฉน
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญโลกุตตรฌาน
อันเป็นเครื่องนำออกไปจากโลกให้เข้าไปสู่นิพพาน
เพื่อประหาณทิฏฐิ เพื่อบรรลุปฐมภูมิ บรรลุทุติยฌาน
อันเป็นไปในภายใน เป็นธรรมชาติผ่องใส
เพราะวิตกวิจารสงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้นแก่ใจ

ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร
มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิ
เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา อยู่ ในสมัยใด ฌานมีองค์ ๓ คือ
ปีติ
สุข
เอกัคคตาแห่งจิตมีในสมัยนั้น นี้เรียกว่า ทุติยฌาน
ธรรมทั้งหลายที่เหลือ เรียกว่า ธรรมที่สัมปยุตด้วยฌาน

[๗๒๔] ตติยฌาน เป็นไฉน
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญโลกุตตรฌาน
อันเป็นเครื่องนำออกไปจากโลกให้เข้าสู่นิพพาน
เพื่อประหาณทิฏฐิ เพื่อบรรลุปฐมภูมิ
เพราะคลายปีติได้อีกด้วยจึงเป็นผู้มีจิตเป็นอุเบกขา
มีสติสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วยนามกาย บรรลุตติยฌาน
ซึ่งเป็นฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าวสรรเสริญผู้ได้บรรลุว่า
เป็นผู้มีจิตเป็นอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข ดังนี้

เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา อยู่ ในสมัยใด ฌานมีองค์ ๒ คือ
สุข
เอกัคคตาแห่งจิต มีในสมัยนั้น นี้เรียกว่าตติยฌาน
ธรรมทั้งหลายที่เหลือ เรียกว่าธรรมที่สัมปยุตด้วยฌาน

[๗๒๕] จตุตถฌาน เป็นไฉน
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญโลกุตตรฌาน
อันเป็นเครื่องนำออกไปจากโลกให้เข้าสู่นิพพาน
เพื่อประหาณทิฏฐิ เพื่อบรรลุปฐมภูมิ บรรลุจตุตถฌาน
ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขและทุกข์ได้
เพราะโสมนัสและโทมนัสดับสนิทในก่อน
มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา
อยู่ ในสมัยใด
ฌานมีองค์ ๒ คือ
อุเบกขา
เอกัคคตาแห่งจิต มีในสมัยนั้น นี้เรียกว่า จตุตถฌาน
ธรรมทั้งหลายที่เหลือ เรียกว่า ธรรมที่สัมปยุตด้วยฌาน


http://www.84000.org/tipitaka/pitaka3/v.php?B=35&A=8618&Z=8653
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๒
วิภังคปกรณ์

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 14 สิงหาคม 2554 11:36:33 »



           

โสตาปัตติยังคะ (องค์ธรรมเครื่องบรรลุโสดาบัน) เป็นไฉน?.....
ดูกรสารีบุตร ที่เรียกว่า โสตาปัตติยังคะ ดังนี้ โสตาปัตติยังคะเป็นไฉน?

[๑๔๒๘] ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
โสตาปัตติยังคะ คือ
สัปปุริสสังเสวะ การคบสัตบุรุษ ๑
สัทธรรมสวนะ ฟังคำสั่งสอนของท่าน ๑
โยนิโสมนสิการกระทำไว้ในใจโดยอุบายที่ชอบ ๑
ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑.

[๑๔๒๙] พ. ถูกละๆ สารีบุตร โสตาปัตติยังคะ คือ
สัปปุริสสังเสวะ ๑
สัทธรรมสวนะ ๑
โยนิโสมนสิการ ๑
ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ๑.

[๑๔๓๐] ดูกรสารีบุตร ก็ที่เรียกว่า ธรรมเพียงดังกระแสๆ ดังนี้
ก็ธรรมเพียงดังกระแสเป็นไฉน?
ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แล คือ
สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ
สัมมาสมาธิ ชื่อว่า ธรรมเพียงดังกระแส.

[๑๔๓๑] พ. ถูกละๆ สารีบุตร อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แล คือ
สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ
สัมมาสมาธิ ชื่อว่า ธรรมเพียงดังกระแส

[๑๔๓๒] ดูกรสารีบุตร ที่เรียกว่า โสดาบันๆ ดังนี้
โสดาบันเป็นไฉน?
สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ผู้ใดประกอบด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ นี้
ผู้นี้เรียกว่าพระโสดาบัน
ท่านผู้นี้นั้น มีนามอย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้.

[๑๔๓๓] พ. ถูกละๆ สารีบุตร
ผู้ซึ่งประกอบด้วยอริยมรรค ๘ นี้ เรียกว่า โสดาบัน
ท่านผู้นี้นั้น มีนามอย่างนี้.

http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=19&A=8316&Z=8337
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑
สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
สาริปุตตสูตรที่ ๒
ว่าด้วยองค์ธรรมเครื่องบรรลุโสดา

[๔๓๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรจอมเทพ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้สดับว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ถ้าข้อนี้ ภิกษุได้สดับแล้วอย่างนี้ ภิกษุนั้นย่อมรู้ยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวง ครั้นรู้ยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวงแล้ว ย่อมทราบชัดธรรมทั้งปวง ครั้นทราบชัดธรรมทั้งปวงแล้ว ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง ครั้นกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงแล้ว เธอได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สุขก็ดี ทุกข์ก็ดีมิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี เธอย่อมพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง พิจารณาเห็นความหน่าย พิจารณาเห็นความดับ พิจารณาเห็นความสละคืนในเวทนาทั้งหลายนั้น เมื่อพิจารณาเห็นดังนั้น ย่อมไม่ยึดมั่นสิ่งอะไรๆ ในโลก เมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะดุ้งหวาดหวั่น เมื่อไม่สะดุ้งหวาดหวั่น ย่อมดับกิเลสให้สงบได้เฉพาะตัว และทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้ ดูกรจอมเทพ กล่าวโดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเท่านี้แล

ภิกษุชื่อว่าน้อมไป ในธรรมเป็นที่สิ้นแห่งตัณหา มีความสำเร็จล่วงส่วน มีความปลอดโปร่ง
จากกิเลสเป็นเครื่องประกอบล่วงส่วน เป็นพรหมจารีล่วงส่วน มีที่สุดล่วงส่วน เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย.

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=12&A=7915&Z=8040
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์

พระพุทธเจ้าสอนให้เราเดินเข้าสู่อริยะมรรค  ทั้งพระไตรปิฎกพระบรมศาสดาทรงสอนให้เราทำเรื่องเดียวคือ ที่สุดแห่งทุกข์โดยทำอริยมรรคผลให้เกิดแก่จิตเรา ดังนั้นการนำคำสอนมาอบรมจิตย่อมมีความสำคัญ ตัวอย่าง พระโมคคัลนะก็นำคำสอนมาอบรมจิตในขณะที่พบกับความง่วง จนบรรลุอรรหัตมรรคเช่นกัน หรือ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะก่อนบวช พระสารีบุตร นามเดิม อุปปติสสะ  ก็บรรลุโสดาบันเพียงแค่ฟังธรรมจากพระอัสสชิ เพราะขณะฟังท่านดำรงฌาณ คือมีสัมมาสมาธิ วิจัยธรรม พิจารณาตามโดย วิตก วิจาร จนเกิด ปิติ สุข เอกัคคตารมณ์

"เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาประกาศพระศาสนา ณ กรุงราชคฤห์ วันหนึ่งพระอัสสชิได้เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน อุปติสสะมาณพผ่านไปพบท่าน จึงเกิดความเลื่อมใสในอิริยาบถอันสงบเสงี่ยมของท่านและได้ติดตามท่านไป เมื่อได้โอกาสอันควรจึงเข้าไปแสดงความเคารพและขอให้ท่านแสดงธรรมให้ฟัง พระอัสสชิบอกว่าท่านอยู่กับพระศาสดา เพิ่งบวชได้ไม่นาน ไม่อาจชี้แจงหลักธรรมได้ละเอียดมากนัก ท่านจึงได้แสดงโดยย่อว่า “ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้นและความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระศาสดาทรงสั่งสอนอย่างนี้” พอท่านได้ฟังหลักธรรมย่อก็สามารถเข้าใจความหมายได้เป็นอย่างดี และเกิดความซาบซึ้ง มีความเลื่อมใสเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา จนได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลชั้นต้น คือ พระโสดาบันได้ อุปติสสะรีบนำความไปเล่าให้โกลิตะมาณพสหายฟัง โกลิตะพอได้พอได้ฟังก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันเช่นกัน"

หลังจากพระสารีบุตรได้อุปสมบทได้ 15 วัน ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เพราะได้ฟังพระเทศนาที่พระศาสดาตรัสแก่ปริพพาชกผู้เป็นหลานฟัง ขณะที่พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมแก่หลาน พระสารีบุตรได้ตรึกตรองตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัส เกิดความเข้าใจแจ่มแจ้ง จึงได้ดวงตาเห็นธรรมเกิดปัญญา จิตหลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลาย ได้บรรลุพระอรหัตตผล ส่วนหลานได้เพียงดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน

รวบรวมข้อธรรมนำมาแบ่งปันโดย :
natjar2001 : http://webboard.news.sanook.com/forum/3446790_%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B2_%E0%B8%8C%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88.html
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ


บันทึกการเข้า
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 13.0.782.112 Chrome 13.0.782.112


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 14 สิงหาคม 2554 12:59:08 »


รัก รัก

สาธุ สาธุ สาธุ ป้า แป๋ม

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14 สิงหาคม 2554 13:00:41 โดย 時々Sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.36 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 27 สิงหาคม 2566 06:08:09