[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
16 พฤษภาคม 2567 07:13:04 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 ... 45 46 [47] 48 49 ... 51
921  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ใต้เงาไม้ / Re: สนามอารมณ์.... เมื่อ: 01 มิถุนายน 2553 21:49:04
http://i207.photobucket.com/albums/bb56/nobutafon/darkpiz28.jpg


ฟ้าเก็บกลั้นรอยโศกกลัวโลกหมอง

ดินปิดปากป่าวร้องมองเมินหนี

กรวดก้อนหินสั่นสะเทือนสะเทิ้นฤดี

เมื่อแม่น้ำสายนี้.......มีน้ำตา

แล้ง....เมื่อความอาดูรมาสูญสิ้น

ไร้.....ความห่วงใยพังภินท์ยากเสาะหา

น้ำ......เคยริน ดื่ม กิน ทั่วพารา

ใจ......คนกลับเห็นค่าแค่ข้ามคืน

แม่จึงหลั่งน้ำตาด้วยอาดูร

วีถีทางสิ้นสูญแสนขมขื่น

แขนแม่เคยเหยียดยาวอย่างยั่งยืน

กลับกล้ำกลืนฝืนทนด้วยคนทำ

ไหลล่องท่องเดินทางจาก...ทิเบต

ผ่านน่านเขตแผ่นดินใหญ่.....ไหลเหลื่อมล้ำ

ลุล่วงถึง ไทย - ลาว ยาวจดจำ

สุดสิ้นคำ แม่น้ำโขง.....ลงขะแมร์

เขาวางเขื่อนกั้นขวางทางน้ำผ่าน

ธรรมชาติก็ถึงกาลม้วยมรณ์แท้

นับวันไปข้างหน้า รอเฝ้าแล

จะมองเห็นเพียงแค่ รอยสายธาร

สายน้ำหลัก เริ่มลด อดก็เพิ่ม

ต้นทุนเดิม ข้นแค้น ทุกข์แสนล้าน

น้ำไร้ปลา นาไร้ข้าว  จึงร้าวราน

จนดักดาน ทุกบ้านเรือนเหมือนเหมือนกัน

วันนี้น้ำ ยังกระเซ็น เห็นปลาว่าย

วันข้างหน้า อาจสูญหาย จากเธอ - ฉัน

ค่ำคืนนี้ ยังทอภาพ ทาบเงาจันทร์

ค่ำคืนหน้า อาจในฝัน เท่านั้นเอง

ลมอีสาน.......



922  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ใต้เงาไม้ / Re: "วังวน..ความคิด" เมื่อ: 31 พฤษภาคม 2553 15:55:47


เพื่อนที่ดีที่สุด

คือ

คนที่คุณสามารถนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยกัน

โดยไม่ต้องพูดอะไรกันเลย..ซักคำ

แต่สามารถเดินจากไป

ด้วยความรู้สึกเหมือนได้คุยกัน..อย่างประทับใจที่สุด

ใครหลายคนไม่กล้าเข้าไปปลอบโยนให้คำปรึกษากับเพื่อน

เพราะคิดว่าเราไม่รู้จะบอกเค๊ายังไง

เพราะเราเป็นแค่เพื่อน

แต่ความจริงแล้ว...

คุณเป็นตั้งเพื่อนต่างหาก


http://img208.imageshack.us/img208/4006/62905795ew0.gif
923  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / Re: "แสงธรรมสุขใจ" เมื่อ: 31 พฤษภาคม 2553 15:24:52
ณ ปากประตูแห่งความตาย

ความตายสำหรับคนที่ยังรักชีวิต คือ จุดจบที่น่ากลัว

ความตายสำหรับคนที่ยังห่วงใยญาติมิตร คือ การจากไปที่น่ากังวล

ความตายสำหรับคนที่ยังติดใจในกาม คือ การออกจากฝันดีที่น่าเสียดาย

ความตายสำหรับคนที่เบื่อโลก คือ จุดจบที่น่าปรารถนา

ความตายสำหรับคนที่น้อยใจคนรอบข้าง คือ การจากไปที่น่าสะใจ

ความตายสำหรับคนที่ผิดหวังในกาม คือ การออกจากฝันร้ายที่ขมขื่นเสียที

คนเราตายเหมือนกัน แต่รูปแบบการตายต่างกัน

ความเชื่อเกี่ยวกับความตายก็ต่างกัน

การมีชีวิตอยู่อีกนาน ทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องไกลตัว

แต่ความตายที่กำลังรออยู่ตรงหน้า ทำให้การมีชีวิตอยู่ที่ผ่านมา

กลายเป็นเพียงความฝันเหลวไหล ที่กำลังจะเลือนหายไปจนหมดสิ้น

ศาสนาต่างๆ พูดถึงความตายต่างกัน

แต่พูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่าควรตายอย่างสงบสุข

แม้คนไม่เชื่อเรื่องชาติหน้า ก็ต้องการตายอย่างสงบสุขเช่นกัน

พุทธเราเพิ่มเติมอีกนิดหนึ่ง คือบอกว่าอย่าตายเปล่า

อย่าเอาแค่ตายด้วยความเป็นสุข

ถึงแม้ตายขณะจิตเป็นสมาธิขั้นฌาน ก็นับว่าน้อยไป

ไม่คุ้มกับการมีโอกาสเป็นมนุษย์

พุทธเราขอให้ตายอย่างเข้าใจ เข้าใจว่าที่ตายไม่ใช่เรา

แม้ที่เกิดมาก็ไม่ใช่เรา ตัวเราเป็นแค่ความเข้าใจผิด

คิดว่ากายใจอันเกิดจากกรรม เป็นอัตตาตัวตนที่แท้จริง

ถ้าเข้าใจให้ถูก ต้องกล่าวว่ากายใจ

เป็นแค่ที่ตั้งของความเข้าใจผิด

เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามันปรวนแปรไป ก็ยังอุตส่าห์อยากให้มันเหมือนเดิม

เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามันก้าวสู่ความแตกดับ ก็ยังอุตส่าห์หวังให้มันคงอยู่

อาการที่จิตยึดเหนี่ยวกายใจอย่างเหนียวแน่น

สะท้อนถึงความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับกายใจมาตลอด

ภาวะใกล้ตายนับเป็นโอกาสสุดท้าย

ที่เราจะทำความเข้าใจเสียใหม่ให้ถูกต้อง

หากทำได้...

ช่วงสุดท้ายนับว่ามีค่ากว่าทุกช่วงที่ผ่านมาทั้งหมด!

ที่มา : เอกสาร ณ มรณา  รวมบทความคัดสรร ของดังตฤณ

924  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ใต้เงาไม้ / Re: ** หากเหนื่อยนัก..ก็พักหน่อย.แล้วค่อยไป ! ** เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2553 19:32:14
http://i223.photobucket.com/albums/dd277/akapong/willpower/12-02-2008_18.gif


วันใหนที่เหนื่อยล้าอย่าหมดหวัง

แหงนมองไปบนฟากฟ้าเสียบ้าง

เผื่อความหวังและกำลังใจกำลังเดินทางมา

ฉันมาปลอบโยนยามที่เธอเหนื่อยล้า

ฉันไม่ได้มาหลอกเธอให้ผิดหวัง

ฉันมาคอยปลอบโยนและคอยแบ่งปัน

ต่อเติมฝัน.....และกำลังใจ


http://img252.imageshack.us/img252/2419/1250639407.jpg
925  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปรษณีย์ / โน๊ตบุ๊คที่โบราณที่สุดในโลกกก!! เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2553 18:58:24
โน๊ตบุ๊คที่โบราณที่สุดในโลกกก!!



สุดบรรยายกับ โน๊ตบุ๊คยุคเครื่องจักรไอน้ำ  ที่ทำออกมาได้แบบว่าโบราณสุดๆเลยค่ะ  
เห็นแล้วอึ้ง  แต่ว่ามันกลายเป็นจุดเด่นที่ทำให้ใครต่อใครหลายคนอยากเห็น  อยากชมมัน  
แถมดูเหมือนกับว่าเป็นกล่องเพลงโบราณอีกต่างหาก



โน๊ต บุ๊คโบราณรุ่นนี้ สร้างจากฝีมือช่างไม้ ด้วยการใช้โน๊ตบุ๊ค  HP ZT1000  
ฝังลงไปข้างในสามารถรันการทำงานได้ทั้ง Winsdows XP และ Ubuntu Linux



โดยมีฟีเจอร์เด่นอยู่ที่ นาฬิกาด้านหน้าที่อยู่ภายใต้กรอบกระจก
แถมยังทำให้คีบอร์ดกับเม๊าท์กลายเป็นของโบราณอีกด้วย มีซีดีรอมที่เปิดใช้งานได้จริง
เทห์มากๆ เลยค่ะ



ว่ามันถูกโมดิฟายด์มาให้โบราณได้ขนาดไหน
ที่สำคัญที่สุดคือสามารถใช้งานได้จริงครับ
แบบนี้คงมีโอกาสตะเวนโชว์ตัวทั่วโลกแน่นอนเลยค่ะ


926  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / Re: "แสงธรรมสุขใจ" เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2553 18:35:26


โอ้!มนุษย์เจ้าเอย..

เจ้าเคยรู้สึกบ้างไหม....

ว่าเจ้ากำเนิดมาย่างโดดเดี่ยว..เดียวดาย

ต่างดำเนินเดินทางไปตามหามิตรสหายใน..โลกา

เมื่อ..เจ้าพบเพื่อนร่วมทาง..ร่วมฝัน

ดวงจิตและวิญญาณก็หายเปล่าเปลี่ยว..เหว่ว้า

ร่วมชีวิต..ร่วมฝัน..ร่วมกันสร้างสังคม..ขึ้นมา

ดิ้นรน..ไขว่คว้า..แก่งแย่ง..แข่งขันกันวุ่นวาย

แต่..ในที่สุด

มนุษย์..ก็อยู่เพียงลำพัง..เดียวดาย

ถึงแม้..จะรักกันมากแค่ไหน

สุดท้ายก็..ตาย..ไปเพียงลำพัง..ผู้เดียว


927  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / Re: พญาหงส์ติดบ่วง เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2553 17:24:04
 ยิ้ม ยิ้ม
928  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / Re: บทสนทนากับความตายของ..หญิงสาว..ที่บ้านเก่า เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2553 17:23:20
 ยิ้ม ยิ้ม
929  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / Re: “เป็นอะไรก็ไม่สู้เป็นกูเอง” เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2553 17:22:46
 ยิ้ม ยิ้ม
930  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / Re: คนเผาขยะ เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2553 17:21:51
 ยิ้ม ยิ้ม
931  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / Re: นิทานก่อนตาย เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2553 17:16:51
 ยิ้ม ยิ้ม
932  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ใต้เงาไม้ / Re: "วังวน..ความคิด" เมื่อ: 21 พฤษภาคม 2553 15:21:33


คุณเคยมีศรัทธาในชีวิตไหม?
ในยามเมื่อมองย้อนกลับไป
ศรัทธาอาจสามารถทำสิ่งยิ่งใหญ่
ศรัทธาทำให้เรามีไฟแห่งความกระตือรือร้น
และทำงานได้อย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย

หลายครั้งศรัทธาได้ทำลายธรรมชาติของมนุษย์
ผู้หนึ่งที่พึงมี เช่น ความรักในวัยหนุ่มสาว
ที่ถูกเก็บกดเอาไว้ในวัยที่พึงมี
และหากไม่มีวิกฤตการณ์อะไรเกิดขึ้น
ชีวิตจะได้สัมผัสกับบทเรียนแห่งรักบ้างไหม?

ในเงื่อนไขที่ไม่สามารถเป็นจริงได้
โลกความเป็นจริงอาจเจ็บปวด
เมื่อเราเผชิญปัญหาชีวิต
เมื่อเราผ่านบทเรียนชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า
คงทำให้เรากร้านชีวตมากขึ้น
และเรียนรู้ที่จะไม่ทำผิดซ้ำอีก

วันนี้ฉันมีศรัทธาในชีวิต
เป็นศรัทธาที่อยู่ในโลกความเป็นจริง
และสร้างโลกใหม่ด้วยมุมมองใหม่
ด้วยศรัทธาที่มีรูปธรรมจับต้องได้

ฉันยังหวังว่าสักวันฉันจะค้นพบมัน...
เมื่อฉันหลุดจากคำว่าหนอน...ที่ทุกเกลียดกลัว
เป็นผีเสื้อที่สวยงามออกโปยบิน...ค้นหาสัจจะธรรม....


933  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ใต้เงาไม้ / Re: ** หากเหนื่อยนัก..ก็พักหน่อย.แล้วค่อยไป ! ** เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2553 10:58:41


สกุณาโผผินโบกบินผ่าน

ใจเคว้งคว้าง สับสน ค้นคว้าหา

ความฝัน ลาลับ ร้าวราน

เหนื่อยล้าอ้างว้างลำพัง

ฉันมีชีวิตอยู่คนเดียวแบบนี้

บนถนนสายนี้

เส้นทางเดิม

กับความรู้สึกหมางเมิน

การเดินทางผ่านไปกับวันวาน

...เข้มแข็ง...

ทุกครั้งที่ฉันล้ม

ฉันต้องลุกขึ้นด้วยตัวเอง

กฤตบวรวิชญ์


934  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / พญาหงส์ติดบ่วง เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2553 10:47:14


พญาหงส์ติดบ่วง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีหงส์ฝูงหนึ่ง อาศัยอยู่ในถ้ำใหญ่ ณ ภูเขาจิตตกูฏ
หัวหน้าฝูงหรือพญาหงส์ชื่อ "ธตรฐ" มีหงส์ที่สนิทชื่อ "สุมุข" เป็นกัลยาณมิตร
อยู่มาวันหนึ่ง นกหงส์ 2 - 3 ตัวในฝูงบินไปหากินที่สระบัวหลวงที่อยู่ห่างไกลออกไป
เป็นสระบัวที่กว้างใหญ่สวยงาม และเป็นที่อาศัยหากินของนกเป็นจำนวนมาก
เมื่อพบเแหล่งอาหารขนาดใหญ่ ก็ทำให้นกหงส์รู้สึกพอใจ
จึงกลับมาเล่าให้พญาหงส์ฟังว่า พวกเขาอยากกลับไปหากินที่สระนั้นอีก
พญาหงส์ห้ามว่า สระนั้นเป็นถิ่นมนุษย์มีอันตรายมากสำหรับนก ไม่ควรไป
แต่บริวารก็อ้อนวอนครั้งแล้วครั้งเล่า
พญาหงส์จึงอนุโลม และบอกว่าจะตามไปด้วย
คราวนั้นจึงมีหงส์บริวารตามไปเป็นจำนวนมาก



พอร่อนลงเท่านั้น พญาหงส์ก็ติดบ่วง
บ่วงของพรานรัดเท้าไว้แน่น
พญาหงส์ดึงเท้าอย่างแรง ด้วยคิดว่าจะทำให้บ่วงขาด
ปรากฏว่าครั้งแรกหนังถลอก ครั้งที่สองเนื้อขาด พอถึงครั้งที่สาม เอ็นขาด
ถึงครั้งที่สี่ บ่วงกินลึกลงไปถึงกระดูก เลือดไหลมาก เจ็บปวดแสนสาหัส
       
พญาหงส์คิดว่า ถ้าหากตนร้องขึ้นว่าติดบ่วง
บริวารซึ่งกำลังกินอาหารเพลินอยู่ก็จะตกใจ กินอาหารไม่ทันอิ่ม
เมื่อบินกลับก็จะไม่มีกำลังพอ จะตกทะเลตาย
จึงเฉยอยู่ รอให้บริวารกินอาหารจนอิ่ม
ตนเองยอมทนทุกข์ทรมานด้วยบ่วงนั้น

เมื่อเวลาล่วงไปพอสมควร
เหล่าหงส์อิ่มแล้ว กำลังเล่นเพลินกันอยู่
พญาหงส์ก็ร้องขึ้นด้วยเสียงดังว่า "ติดบ่วง"
พอได้ยินดังนั้น หงส์บริวารทั้งหลายก็ตกใจ
บินหนีกลับไปยังภูเขาจิตตกูฏ



ด้านหงส์สุมุข ทีแรกก็บินไปกับบริวารเหมือนกัน
แต่เมื่อบินไปสักครู่หนึ่งก็เกิดเฉลียวใจว่าพญาหงส์อาจติดบ่วงก็ได้ จึงมองหาพญาหงส์
เมื่อไม่เห็น ก็คิดว่าอันตรายคงเกิดขึ้นแก่พญาหงส์เป็นแน่แล้ว หงส์สุมุขจึงรีบบินกลับมาที่สระบัว
เมื่อเห็นพญาหงส์ติดบ่วงอยู่ก็ปลอบใจว่า อย่ากลัวเลย ตนเองจะสละชีวิตแทน
       
ด้านพญาหงส์กล่าวว่า
"ฝูงหงส์บินหนีไปหมดแล้ว ขอท่านจงเองตัวรอดเถิด ไม่มีประโยชน์อะไรในการอยู่ที่นี่
เมื่อข้าพเจ้าติดบ่วงอยู่เช่นนี้ ความเป็นสหายจะมีประโยชน์อะไรเล่า"
       
หงส์สุมุขกล่าวว่า
"ข้าพเจ้าจะอยู่จะไปก็ต้องตายอยู่ดี จะหนีความตายหาได้ไม่
เมื่อท่านมีสุข ข้าพเจ้าอยู่ใกล้
เมื่อท่านมีทุกข์ ข้าพเจ้าจะจากไปเสียได้อย่างไร
การตายพร้อมกับท่านประเสริฐกว่าการมีชีวิตอยู่โดยไม่มีท่าน
เมื่อท่านมีทุกข์อยู่เช่นนี้ ข้าพเจ้าจะไปเสีย ดูไม่เป็นธรรมเลย"
       
พญาหงส์กล่าวว่า
"คติของผู้ติดบ่วงเช่นข้าพเจ้าจะมีอะไรนอกจากต้องเข้าโรงครัว
ท่านเป็นผู้มีความคิด เห็นประโยชน์อะไรในการยอมตายกับข้าพเจ้า
ท่านมายอมสละชีวิตในเรื่องที่มิได้เห็นคุณอย่างแจ่มแจ้ง
เหมือนคนตาบอดทำกิจการในที่มืด จะให้สำเร็จประโยชน์อย่างไร"

 หงส์สุมุขกล่าวตอบว่า
"ทำไมท่านจึงไม่รู้แจ้งซึ่งความหมายแห่งธรรม
ธรรมที่บุคคลเคารพแล้ว ย่อมแสดงประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย
ข้าพเจ้าเพ่งถึงธรรมและประโยชน์ที่จะได้จากธรรม (มิใช่ผลประโยชน์ทางวัตถุ) จึงมิได้เสียดายชีวิต
ธรรมดามิตรเมื่อระลึกถึงธรรมอยู่ ก็ไม่ควรทอดทิ้งมิตรในยามทุกข์ แม้จะต้องเสียชีวิตก็ตาม
นี้คือธรรมของสัตบุรุษ"



เมื่อนกทั้งสองกำลังเจรจากันอยู่อย่างนี้ นายพรานก็มาถึง
และเกิดความสงสัยว่า นกตัวหนึ่งติดบ่วงอยู่ แต่อีกตัวหนึ่งมิได้ติดบ่วง ทำไมจึงยืนอยู่ใกล้ ๆ มิได้บินหนีไป จึงไต่ถาม
หงส์สุมุขจึงตอบให้ทราบว่า เพราะพญาหงส์เป็นนายของตน จึงมิอาจละทิ้งท่านไปได้
       
เพื่อจะขอชีวิตแห่งพญาหงส์ สุมุขจึงกล่าวด้วยคำอ่อนหวานหว่านล้อมให้พรานเห็นใจ
ขอให้ปล่อยเขาทั้งสองไปพบญาติและบริวาร
ด้านนายพรานนั้นนิยมสรรเสริญในน้ำใจอันภักดี และเสียสละของหงส์สุมุขอยู่แล้ว
และต้องการจะปล่อยนกทั้งสองไป แต่เพื่อทดลองใจสุมุข จึงกล่าวว่า
       
"ท่านเองก็มิได้ติดบ่วง และเราก็มิปรารถนาจะฆ่าท่าน
ท่านจงรีบไปเสียเถิด ขอให้ท่านอยู่เป็นสุขตลอดกาลนาน"
       
ด้านหงส์สุมุขตอบว่า
"ข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะมีชีวิตอยู่ โดยไม่มีพญาหงส์
ถ้าท่านพอใจเพียงชีวิตเดียว ก็ขอให้ปล่อยพญาหงส์เถิด
ส่วนตัวข้าพเจ้าเองนั้น ท่านจะปล่อยหรือจะกินเสียก็ได้
อนึ่ง ข้าพเจ้าทั้งสองมีรูปกายเท่ากัน
ถึงจะเอาชีวิตข้าพเจ้าไปแทน ลาภของท่านก็มิได้พร่อง
ขอได้โปรดเปลี่ยนตัวข้าพเจ้ากับพญาหงส์เถิด
ถ้าท่านไม่แน่ใจก็ขอให้เอาบ่วงผูกมัดข้าพเจ้าไว้ แล้วปล่อยพญาหงส์ไป"
       
พรานมีใจอ่อนโยนยิ่งขึ้น
ต้องการจะปล่อยพญาหงส์เพื่อเป็นรางวัลแก่สุมุข
จึงกล่าวว่า
       
"ขอให้ใคร ๆ ทราบเถิดว่า
 พญาหงส์พ้นจากบ่วงความตายได้ก็เพราะท่าน
มิตรอย่างท่านหาได้ยากในโลก หรืออาจไม่มีในโลก
ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงเห็นใจท่าน เคารพในน้ำใจท่าน
ขอท่านทั้งสองจงบินไปเถิด ไปเป็นสุขในหมู่ญาติและบริวาร"

เมื่อพญาหงส์และสุมุขได้ทราบว่า นายพรานทำการดักบ่วงเพื่อหาทรัพย์มาเลี้ยงชีพ
ก็ต้องการจะตอบแทนน้ำใจของนายพราน
จึงขอร้องให้นายพรานพาไปเฝ้าพระราชา และเล่าเรื่องราวให้พระราชาฟัง
       
พระราชาทรงทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว
ก็ทรงเลื่อมใสในนกและพรานที่ประพฤติธรรมต่อกัน
จึงทรงพระราชทานทรัพย์เป็นอันมากแก่นายพราน เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพไปตลอดชีวิต


       
การคบเพื่อนที่ดี เป็นวิถีทางแห่งความสุขความเจริญของชีวิต ทั้งปัจจุบันและอนาคต
ซึ่งมิตรที่ดีตามหลักในศาสนาพุทธคือ...
เป็นมิตรที่มีอุปการะ ร่วมทุกข์ร่วมสุข แนะนำประโยชน์ และมีความรักใคร่
ในขณะเดียวกัน พึงหลีกเลี่ยงมิตรเทียม 4 จำพวก ได้แก่
คนปอกลอก คนดีแต่พูด คนหัวประจบ และคนชักชวนไปในทางเสื่อม
การคบบัณฑิตและนักปราชญ์มีประโยชน์มากอย่างนี้
การมีคนดีเป็นมิตรสหาย เมื่อมีทุกข์ก็เป็นที่พึ่งได้
ไม่ยอมละทิ้งในยามวิบัติ และยอมสละได้แม้ชีวิตเพื่อมิตรที่ดี
กัลยาณมิตรผู้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมแห่งมิตรนี้ หาได้ยากในโลก
ผู้ใดได้แล้วควรประคับประคองรักษาด้วยดี

ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ "เพื่อเยาวชน" ของสำนักพิมพ์คนรู้ใจ

935  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / Re: "แสงธรรมสุขใจ" เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2553 10:39:21


ปลงเพื่อสู้..

พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนให้เราปลงยอม
แต่ให้ปลงสู้ปลงสู้ก็คือการต่อสู้กับความทุกข์
ความเศร้าหมองอันได้แก่กิเลสที่เกิดขึ้นในจิตใจของเรา
ด้วยการเพียรให้เรานั้น เรียนความจริงรู้ถึงเหตุที่ทำให้เราเศร้าหมอง
ว่าเหตุอะไรเกิดขึ้นแล้วเราก็เพียรบังคับจิตใจของเรา บังคับกาย วาจา ใจของเรา
อย่าปล่อยไปตามอำนาจของสภาวธรรมนั้น ๆ
ด้วยการมีสติสัมปชัญญะ ระลึกรู้เท่าทันอารมณ์

เมื่อสติเกิดขึ้น อำนาจของสติก็จะปกคลุมความเป็นใหญ่
สิ่งที่เป็นอกุศล คือโทสะก็ไม่สามารถยืนอยู่ในที่นั้นได้ก็ต้องดับลงไป
เพราะ มีอย่างอื่นขึ้นมาแทนที่

เราจะเปรียบจิตได้เสมือนกับปลายเข็ม
เราจะตั้งอะไรก็ตั้งได้อย่างเดียว เพราะมันเล็กมาก
จิตก็รับอารมณ์ได้ทีละอย่างเช่นกัน จะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันไม่ได้
ดังนั้นเราจะสามารถเชิญความเหงาออกไป เชิญความเบื่อออกไป
เชิญความกลุ้มออกไปได้ด้วยการมีสติสัมปชัญญะ

936  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / ขอเลื่อนวันตายไปก่อนได้ไหม..... เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2553 10:35:35


ขอเลื่อนวันตายไปก่อนได้ไหม.....

กระท้อนเป็นนักข่าว อยู่ที่นิตยสารโลกก้าวหน้า
มีคนรักชื่อนพดล ซึ่งเขายังไม่ได้หย่าขาดจาก วิวรรณ ภรรยาเก่า
แต่ก็ตกลงแยกทางเดินกันนานแล้ว
นพดลมีอาชีพเป็นช่างภาพ อยู่ที่นิตยสารโลกก้าวหน้าด้วยเช่นกัน
วันหนึ่งเมื่อไปสัมภาษณ์บุคคลดังผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังตกเป็นข่าว
เป็นที่กล่าวขานกันอย่างเกรียวกราว เกี่ยวกับการทุจริต
และพัวพันการคอรัปชั่นของสส.หลายคน
และจากวันนั้นเป็นต้นมากระท้อนก็เริ่มฝันร้าย..

ดึกสงัดทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยความเงียบ
กระท้อนขยับตัวอยู่ในความมืดสลัวของห้องนอน
นัยน์ตาของหล่อนปิดสนิท แต่หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน
เสียงหายใจแรงๆ พร้อมกับเคลื่อนไหวร่างอย่างกระสับกระส่าย
แสดงให้รู้ว่า หล่อนกำลังตกอยู่ในห้วงฝันร้ายที่น่ากลัว

อากาศโดยรอบค่อนข้างเย็นแถมเปิดพัดลมไว้
เครื่องเดินเงียบสนิทแทบไม่ได้ยินเสียง
แต่กระท้อนก็ยังลุกลนไปมา สีหน้าหมกมุ่นราวกับอึดอัดแทบขาดใจ
ศีรษะได้รูปสวยที่ส่ายไปมาบนหมอนพร้อมกับริมฝีปากที่ขมุบขมิบ
เหมือนกำลังคุยกับใครบางคน ทว่ากลับไม่ได้ยินเสียงหล่อนลอดออกมา
นอกจากเสียงครางเบาๆดังอย่างชัดเจนเป็นระยะๆ

การขยับตัวของหญิงสาวเริ่มแรงและทุรนทุรายขึ้น หน้านิ่วคิ้วขมวดจนดูเหยเก
พร้อมกับดิ้นรนราวกับพยายามจะปลดอะไรบางอย่างที่รัดแน่นตรงลำคอระหง
จนต้องใช้สองมือมือขึ้นแกะวุ่นวายพัลวันไปหมด

และแล้วเสียงที่อัดอั้นไว้นานของกระท้อนก็ดังออกมาราวกับคนตะโกน “ช่วยด้วย!!”
จากนั้นร่างทั้งร่างกระตุกพรืด ลืมตากว้างสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย!!

หญิงสาวยกมือขึ้นลูบหน้าที่ชื้นด้วยเหงื่อ
ใจยังเต้นสั่นระริกผิดปรกติ ราวกับจะทะลุออกมานอกอก
แต่ทั้งๆที่เหงื่อซึมเต็มหน้า กระท้อนกลับรู้สึกหนาวจนสั่นสะท้าน..
ราวแช่ร่างอยู่ในถังน้ำแข็งก็ไม่ปาน

หล่อนมองมือเท้าที่ซีดขาวโพลนของตัวเอง..ช่างเหมือนคนตายไม่มีผิด
ความรู้สึกเกรงกลัวดำรงอยู่ได้เพียงครู่
สาวงามก็สูดลมหายใจเข้าแรงๆใช้มือยันกับที่นอน
พยุงตัวลุกขึ้นนั่งอย่างยากเย็น
จากนั้นค่อยเอื้อมมือไปกดสวิทซ์ไฟที่หัวเตียง
ความสว่างของแสงขับไล่ความมืดสลัวออกไปจากห้องทันที

กระท้อนเหลียวไปมองรอบห้อง แล้วถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
รอยอุ่นๆเริ่มซึมกระจายทั่วกายอีกครั้ง หน้าเริ่มมีเลือดฝาดตามเดิม
หล่อนลุกไปรินน้ำเย็นที่เหยือกน้ำใบย่อมบนโต๊ะเครื่องแป้ง ยกดื่มอย่างกระหาย
พร้อมกับครุ่นคิดไปถึงฝันร้ายเมื่อครู่....

ภาพในความฝันไม่ใช่เหตุการณ์แปลกใหม่
ยังคงซ้ำซากเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา
แต่คนประสาทแข็งอย่างหล่อน กลับรู้สึกราวอาบรังสีความกลัวเข้าให้แล้ว
และเป็นรังสีความกลัวชนิดจับจิตจับใจ จับไปทั่วรูขุมขนทุกเส้น
จนเกิดอาการตั้งชันโดยพร้อมเพรียงกันได้เสียด้วย

สามปีกับอาชีพนักข่าวที่มักเจอคนหลากอาชีพ
กับสามปีที่พัวพันปัญหาคาราคาซังของคนรักที่ยังไม่หย่าขาดจนแล้วจนรอด
เคยทำให้กระท้อน “พะบู๊” ชนิดถือไม้ถึงมือกับคนหลายคน
รวมไปถึงการบุกไปที่ทำงานและที่บ้านเพื่อทำร้ายภรรยาเก่าของนพดลอยู่หลายครั้ง
หลังจากที่ขอร้องและข่มขู่เธอให้เธอยอมหย่าไม่สำเร็จ
แต่สาวสวยอย่างกระท้อนก็ไม่เคยกลัวใครย้อนกลับมาแก้แค้น...เท่ากับการกลัวความฝันในครั้งนี้

บ้านส่วนตัวของนายบรรจบเสี่ยปั้มน้ำมันคนดังที่ไปสัมภาษณ์อยู่ในซอยส่วนบุคคล
ที่หน้าปากซอยมีคอนโดฯ สร้างใหม่ที่หรูหรา
และมีเครื่องอำนวยความสดวกสบายกับคนทำงานมากมายหลายอย่าง
ไม่ว่าจะอาหารการกิน หรือการคมนาคมติดต่อ มีรถรับจ้างตลอด24ชั่วโมง มียามดูแลอย่างแข็งขัน
และที่สำคัญ นพดลคนรักของหล่อน ก็มีห้องพักอยู่ที่นี่กับวิวรรณภรรยาเก่า

ห้องชุดห้องนั้นเป็นของขวัญวันแต่งงาน ที่พ่อแม่ออกเงินซื้อให้นพดล
ปัจจุบันเป็นแค่ที่พักของวิวรรณกับลูกสองคน
และยายจันมาอยู่ที่คอนโดฯกับวิวรรณ
ในตอนที่นพดลเก็บข้าวของย้ายมาอยู่กับกระท้อนที่คอนโดฯเช่าได้สองอาทิตย์

ยายจันมาจากไหนคุณยายของวิวรรณอาจจะรู้
เพราะคุณยายเป็นผู้ให้มาอยู่ร่วมบ้านเป็นคนแรก
ยายจันก็เป็นคนเลี้ยงดูแม่ของวิวรรณมาแต่เด็ก
เมื่อแม่ของวิวรรณแต่งงานกับพ่อ....ยายจันก็ขอแยกตัวกลับไปบ้านซึ่งอยู่ในป่าลึก
แม้ว่าแม่ของวิวรรณจะตั้งใจ รวมทั้งขอร้องให้ไปอยู่ด้วยกันที่บ้านก็ตาม
ยายจันก็ยังคงยืนกรานจะขอกลับไปอยู่บ้านป่านั่นเอง

แต่เมื่อแม่เจ็บท้องได้เวลาคลอดวิวรรณ พ่อรีบนำแม่ไปส่งที่โรงพยาบาล
แม้ว่าจะเร็วไม่น้อย เพราะว่าโรงพยาบาลอยู่ซอยถัดจากบ้านวิวรรณเพียงซอยเดียว
แต่ก็ยังช้ากว่ายายจันที่ยืนคอยเป็นกำลังใจให้แม่ที่ห้องคลอดแล้ว
และอีกครั้งในวันที่แม่ตาย ยายจันก็เดินทางมารอที่หน้าวัด
โดยที่ไม่มีวี่แววให้รู้ว่ายายจันมาและไปอย่างไร
เพื่อปลอบโยนวิวรรณ...
หลังจากเผาศพแม่แล้วยายจันก็หายไป

ยายจันไปอยู่ที่ไหนวิวรรณไม่เคยรู้
ไม่เคยมีโอกาสได้ส่งข่าวบอกเล่าเรื่องราวทางบ้าน ให้ยายจันได้รับรู้สักที
ไม่ว่าจะเป็นการป่วยของแม่ ที่อาการหนักจนเพ้อเรียกหายายจันอยู่หลายหน
หรือวันที่เธอแต่งงานกับนพดล ซึ่งพ่อสั่งให้เธอจดหมายไปเชิญยายจันด้วย
แต่วิวรรณมัวยุ่งกับข้าวของในวันแต่งงานจนลืมติดต่อไปหา
จนลูกชายคนโตของวิวรรณครบแปดขวบและคนเล็กครบห้าขวบ ได้เข้าเรียนประจำที่โรงเรียนมีชื่อแห่งหนึ่ง
ซึ่งวิวรรณจะไปรับกลับบ้านเฉพาะวันหยุดเท่านั้น ยายจันที่ไม่เคยปรากฎตัวมานาน

วันหนึ่ง...
ยายจันก็มายืนรอเธอที่หน้าคอนโดฯ
ในเย็นวันที่เธอกลับจากส่งลูกทั้งคู่เข้าโรงเรียนประจำในสัปดาห์นั้นแล้ว

“ยายมาอยู่เป็นเพื่อนหนูวรรณได้ระยะหนึ่ง และขอให้เชื่อยายไม่ต้องหย่ากับสามีนะ”

วิวรรณฟัง..และไม่สงสัยคำพูดยายจันมานานหลายปีแล้ว
รวมทั้งการที่ยายจันรู้ว่าเธออยู่ที่ไหนและมีเหตุการอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตเธอบ้าง
เพราะ...วิวรรณไม่อยากเสียเวลาคิด รู้แค่ทุกครั้งที่เธอจะเอ่ยปากบอกเล่าอะไรก็ตาม
ยายจันเป็นต้องตอบสวนมาก่อนทุกที ราวกับทุกเหตุการณ์ยายจันอยู่ในนั้นด้วยเสมอ

ตอนนี้วิวรรณรู้แค่ว่ายามเธอทุกข์...
ยายจันจะขจัดความทุกข์เหล่านั้นให้เธอได้หมด ราวกับ..เป็นเทวดาประจำกาย
ยายจันอายุเท่าไร วิวรรณก็ไม่เคยแน่ใจ
รู้แค่ทุกครั้งที่พบยายจันจะอยู่ในวัยชราราว 70 เหมือนที่พบเห็นคนแก่ทั่วๆไป
ผมสีเทาเงินที่ตัดสั้นแค่หู กับเรือนร่างผอมบางที่เดินเหินกระฉับกระเฉง คล่องแคล่วแข็งแรง
หลังตรงไม่งอค่อม ส่วนที่สะดุดตาคนมากที่สุด อยู่ที่ดวงตาที่คมกริบ
มีประกายวาวประหลาด ไม่ขุ่นมัว อ่อนล้าเหมือนตาคนชราทั่วๆไป
อีกอย่างเสียงพูดที่แหลมเล็กราวเสียงเด็กๆ
แค่ได้ยินเพียงครั้งเดียวก็ไม่มีใครลืมยายจันได้อีกเลย

“วรรณเชื่อยายจ๊ะ ไม่หย่า คงรออีกไม่นานเขาก็คงกลับมาเป็นพ่อที่ดีของลูกวรรณได้เหมือนเดิม ใช่ไหมจ๊ะยาย”

ยายจันเพียงส่งรอยยิ้มให้ แค่นี้หญิงสาวก็พอใจแล้ว
วิวรรณยังจำพูดของแม่ได้เสมอ ทุกครั้งที่เกิดปัญหาที่แม่แก้ไม่ตก
แม่เพ้อบ่นราวคนเสียสติ ซึ่งแม่บอกว่านั่นคือการสวดมนต์ภาวนาของแม่
และไม่นานเธอก็จะพบว่า แม่ยิ้มแย้มแจ่มใสได้เหมือนเดิม
แม่บอกว่ายายจันได้เดินทางมาช่วยคลี่คลายปัญหาให้แม่แล้ว

ก่อนแม่สิ้นใจ
แม่เรียกวิวรรณเข้าไปหาในห้องหยิบแหวนไม้เก่าๆ มาวงหนึ่ง
สั่งให้วิวรรณร้อยกับสร้อยคอพกติดตัวไว้เสมอ
ยามใดที่มีเรื่องเดือดร้อนใจยากแก้ไข ให้ระลึกถึงยายจันแล้วยายจันจะเดินทางมาช่วย
วิวรรณรับปากแม่ทั้งๆที่ไม่เคยเข้าใจความหมายของแม่และยายจันสักที
แต่เธอก็เชื่อคนทั้งสองมาตลอด
ครั้นยายจันสั่งห้ามหย่า
เธอก็ไม่หย่ากับนพดลตามที่เคยตกลงกันก่อนหน้านั้นไว้

“เธอ จะบ้าไปถึงไหนนะวรรณ เราทั้งคู่ต่างหมดรักกันนานแล้ว
เธอจะกอดทะเบียนสมรสใบนั้นต่อไปทำไมให้แสลงใจ ในเมื่อทุกวันนี้ผมก็ไปอยู่กับกระท้อนจนคนรู้กันทั่วแล้ว”

วิวรรณไม่ยอมให้เหตุผลใดๆกับการที่เธอคืนคำ
ทำให้กระท้อนไม่สามารถพานพดลไปนราธิวาสเพื่อพบบิดามารดาทำการสู่ขอสักที
อีกทั้งบางสัปดาห์วิวรรณมักโทรฯไปขอร้องให้นพดลมาดูลูกๆที่งอแงร้องหาพ่อ
ทำให้กระท้อนซึ่งเป็นสาวอารมณ์ร้อนโมโหหึงอยู่บ่อยๆ
เคยตามมาทุบตีวิวรรณที่คอนโดฯก็หลายหน

กระท้อนเห็นยายจันเป็นครั้งแรก
ในวันที่ไปสัมภาษณ์นายบรรจบคนดังของสังคมพร้อมนพดล
เมื่อเสร็จสิ้นงานสัมภาษณ์ในบ่ายวันนั้น
นพดลเกิดนึกอยากกลับไปเอาอุปกรณ์กล้องบางชิ้น
ที่เก็บไว้ที่ห้องเก็บของที่ในคอนโดฯของเขา
ซึ่งเขารู้ดีว่าบ่ายๆเช่นนั้นไม่มีใครอยู่
เพราะวิวรรณไปทำงานจึงชวนกระท้อนขึ้นไปด้วย

แต่เมื่อเปิดห้องเข้าไปทั้งหล่อนและนพดล ต้องตกใจเป็นอย่างยิ่ง
ที่ยายจันทักทายคนทั้งคู่ได้ถูกต้อง ทั้งชื่อและนามสกุล
ทั้งๆ ที่หล่อนมั่นใจว่าไม่เคยพบคนแก่คนนี้มาก่อน
และที่แปลกแถมน่ากลัวยิ่งขึ้น
ตรงที่ยายจันเดินมาเอ่ยเบาๆที่ข้างหูหญิงสาวว่า

“คุณกระท้อนอีกสามวัน ที่คุณจะแอบเข้าบ้านนายบรรจบ เอาหมวกกันน็อต ติดมือเข้าไปด้วยนะคะ”

กระท้อนอึ้งไปนาน
จนนพดลเดินออกมาจากห้อง พร้อมอุปกรณ์กล้องสามชิ้นนั้น เขากระซิบถามคนรักว่า

“กระท้อนรู้จักยายคนนี้ด้วยหรือครับ ผมเพิ่งเคยเห็นญาติวรรณก็ครั้งนี้แหละ”

กระท้อนงงเป็นไก่ตาแตกทันที
ยายคนนี้ทำไมรู้จักหล่อนและนพดลนะ รวมทั้งรู้เรื่อง“อีกสามวัน”
ซึ่งเป็นความลับเฉพาะของหล่อนกับนพดล
และบรรณาธิการผู้เป็นทั้งเจ้าของนิตยสารโลกก้าวหน้าด้วย

การแอบปีนเข้าไปหลบที่สวนของนายบรรจบ
ในยามราตรีเพื่อสืบความเคลื่อนไหวบางอย่าง
ที่ตกเป็นข่าวลือเกี่ยวกับการคอรัปชั่นของนายบรรจบนั้น
เป็นเรื่องซ่อนอันตรายอยู่ไม่น้อย
ถ้ากระท้อนไม่ใช่เคยฝึกวิชาป้องกันตัวมาจากกรมตำรวจบ้าง
คงไม่กล้าเสนอหน้าเข้าไปเสี่ยงกับงานนี้แน่
เรื่องลับแค่ 3 คนรั่วไหลไปให้ยายจันรู้ได้อย่างไรกันนะ?
กระท้อนที่เคยสอบเข้ารับราชการเป็นตำรวจอยู่พักหนึ่ง
เริ่มครุ่นคิดทันที

แต่อย่างไรก็ตามกระท้อนก็นำหมวกกันน็อค
ที่ใช้ตอนขับมอเตอร์ไซด์ถือติดมือเข้าไปด้วย
ในคืนนั้นหลังจากหญิงสาวแอบจอดรถไว้ตรงบ้านของคนฝั่งตรงข้ามกับบ้านนายบรรจบ
โดยอาศัยความมืดสลัวของพุ่มไม้ที่เจ้าของปลูกจนยาวเลื้อยเกาะติดรั้วมาปิดบังตัวรถแล้ว
หล่อนก็ลัดเลาะเข้าไปที่รั้วบ้านนายบรรจบ
ซึ่งนพดลทำเครื่องหมายที่เก็บซ่อนบันไดยึดหดสีคล้ำเล็กเบารอไว้ให้ตัวหนึ่ง

ซึ่งคืนนี้สายบอกมาว่าสมุนส่วนใหญ่จะไม่เข้ามาใกล้ตัวบ้านนายบรรจบ
เพราะสส.ที่มาประชุมลับไม่ต้องการให้ใครรู้เห็นความเป็นไปในบ้านได้
หญิงสาวกับนพดลต้องทำการลอบเข้ามาตั้งแต่ก่อน 4 ทุ่ม
เพราะถนนส่วนบุคคลสายนี้จะปิดตอน 5 ทุ่ม
และเปิดให้ชาวบ้าน และคนขับวินมอเตอร์ไซด์ใช้เป็นทางผ่านเข้าออกได้อีกตอนราว 6 โมงเช้าของอีกวัน

เมื่อกระท้อนดึงบันไดสปริงตัวเบามากางตั้งก่อนปีนขึ้นต้นมะขามหวาน
แล้วกระโดดเข้าไปที่ชานเรือนคนใช้ได้แล้ว
หล่อนจึงโทรฯไปบอกความเรียบร้อยให้นพดลดำเนินแผนขั้นต่อไปทันที
จากนั้นก็ปิดมือถือซ่อนบันไดตัวเล็กเบาที่ทรงคุณภาพที่สั่งตรงจากนอก
สอดไว้ตรงลูกกรงของเรือนคนใช้ที่ไร้คนในยามนี้
ก่อนกระโดดไปที่ระเบียงหลังบ้านของนายบรรจบ ที่ยามนี้เงียบสงบราวบ้านร้างเช่นกัน
กุญแจเก่าๆที่จวนขึ้นสนิมไม่ยากต่อการเปิด
ไม่นานหล่อนก็ลอดตัวเข้าไปในบ้านหลังนั้นได้อีกครั้ง

บ้านไม้หลังเก่าที่เจ้าของบ้านแค่ทาสีใหม่ทุก 2 ปี ไม่ได้มาอาศัย
แต่ใช้เป็นที่ประชุมลับเกี่ยวกับงานหลายต่อหลายหน
กว่าจะซื้อเส้นทางสายนี้เข้ามาที่บ้านนี้ได้
คุณวัทเจ้าของนิตยสารโลกก้าวหน้าจ่ายไปไม่น้อยเลย
การร่วมมือทำงานลับให้กับกรมตำรวจ คนทั้ง 3 ทำมาหลายหนแล้ว
กระท้อนจึงไม่เคยเชื่อเลยว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของหล่อนด้วย!!!

บนบ้านไม้เก่าๆหลังนี้
ชั้นบนจะมีที่แอบมองผู้คนที่ห้องรับแขกได้ถนัดชัดเจนอยู่ที่หนึ่ง
กระท้อนกบดานรอเวลาอยู่ตรงนั้นเอง

ส่วนนพดลจะทำทีขับรถตู้อ้อมไปอีกถนนด้านหนึ่ง
ซึ่งอยู่ติดกับแม่น้ำ และจากจุดตรงนั้นเขาจะแอบถ่ายภาพสส.
และผู้คนที่ร่วมมือทำชั่วได้สดวก และปลอดภัยจากสายตาคนพบเห็นได้มากที่สุด
ใครเห็นก็จะคิดว่านักท่องเที่ยวมารอถ่ายภาพแม่น้ำในยามอรุณ....ของวันใหม่

คืนนี้กระท้อนมีหน้าที่เข้าไปใกล้คนทั้งสามให้มากที่สุด
เพื่ออัดเสียงทั้งสส.ทวี สส.อรอนงค์ รวมทั้งตัวนายบรรจบด้วย
จะต้องพยายามนำเครื่องเล่นอัดเสียง เข้าไปใกล้คนเหล่านั้นให้มากที่สุด
หล่อนนำเครื่องดักฟังไปวางตามจุดต่างๆหลายแห่งได้ง่ายดาย
เพราะทุกที่ล้วนไร้คนกว่าทุกคนจะเดินทางมาก็คงอีกราว 4 ชั่วโมง
ทางที่หล่อนเล็ดลอดตาสมุนของบรรจบเข้าไป ก็ซื้อไปด้วยเงินก้อนโตอีกเช่นกัน

กระท้อนไม่เคยกลัวการทำงานแบบนี้ หล่อนทำมานับครั้งไม่ถ้วน
นพดลสามีและคุณวัท บรรณาธิการหนุ่มใหญ่ต่างเชื่อใจในฝีมือเสมอมา
คืนนี้หล่อนก็มาด้วยความมั่นใจเช่นเดิม
การเป็นนักข่าวรายได้ไม่ดีเท่าเป็นนักสืบราชการลับให้กรมตำรวจ
คนทั้งสามจึงพร้อมใจมาร่วมมือกัน

กระท้อนเคยคิดว่าจะทำไปอีกสักระยะให้พอมีฐานะดีกว่านี้
และช่วยนพดลเปิดห้องภาพหรูหราและใหญ่ที่สุดในประเทศได้สำเร็จ
ก็จะวางมือมาเป็นแม่บ้านให้เขาเพียงอย่างเดียว
กระท้อนคงไม่เชื่อและไม่มีวันเชื่อ
ถ้ามีใครบอกหล่อนว่า...
นับจากเหตุการณ์คืนนี้ผ่านไปหล่อนจะฝันร้ายไปจนวันตายเลยทีเดียวเชียวละ!!

คืนนั้นหล่อนพบภาพการฆ่าคนเพื่อปิดปากอย่างอำมหิตเลือดเย็นที่สุด
มือปืนที่กระหน่ำกระสุนนัดแล้วนัดเล่า เลือดแดงฉานพุ่งกระจาดกระจาย
และเสียงร้องโหยหวนของสส.ทั้งคู่ ที่ตายอย่างไม่ทันตั้งตัวแถมศพถูกเก็บลงในกระสอบ แล้วนำไปถ่วงลงแม่น้ำ

ทุกภาพกระท้อนเก็บเสียงได้ชัดเจนทุกขั้นตอน
แต่ขณะที่ปีนบันไดกลับออกมาทางเดิม
กระท้อนยังไม่หายตื่นตระหนกจากเหตุการณ์ผิดคาดหมายเมื่อครู่
ทำให้หล่อนก้าวเท้าพลาดไปนิดหนึ่ง ร่างจึงร่วงหล่นที่พื้น เกิดเสียงดังขึ้น
ทำให้มือปืนคนนั้นลงจากรถย้อนเดินกลับมาที่มุมรั้วอีกหน
ทว่าเป็นเวลากับที่กระท้อนขึ้นสตาร์ทรถมอเตอร์ไซด์เก่าๆที่เช่ามาจากวินปากซอยแล้ว...

และด้วยหมวกกันน็อคใบนั้นกับรถมอเตอร์ไซด์เก่าๆ
หล่อนจึงอำพรางตัวหนีรอดจากการตามสกัด ออกมาที่ปากซอยอีกทางได้สำเร็จ
ซึ่งในยามปรกติกระท้อนเป็นผู้หนึ่งที่มักฝ่าฝืนกฎ เกี่ยวกับการสวมหมวกกันน็อคมาเสมอ
เพราะรังเกียจกลิ่นอับเหงื่อของเจ้าของรถที่เช่ามาพร้อมหมวกนั่นเอง
เมื่อกลับมาที่ห้องพักได้
ในคืนนั้นหล่อนก็เริ่มต้นฝันร้ายที่น่ากลัว!!!

ฝันถึงการตายของตัวเอง
ในฝันหล่อนถูกฆ่ารัดคอจากมือปืนปริศนา??
นับวันฝันก็ยิ่งชัดเจนละเอียดมากขึ้นทุกที
จนหล่อนเริ่มปวดหัวระแวงว่าเป็นลางสังหรณ์ บอกเหตุอะไรสักอย่าง
หรือหล่อนจะเป็นคนต่อไปที่ถูกสั่งเก็บ?

การที่นายบรรจบถูกจับตามองจากหลายฝ่าย
ไม่ใช่แค่นิตยสารโลกก้าวหน้ากับหนังสือพิมพ์ข่าวเท็จจริง นำมาขุดคุ้ยเท่านั้น
จึงไม่น่าที่นายบรรจบจะรู้ว่า หล่อนกับนพดลเข้าไปร่วมมือกับตำรวจเพื่อสืบความลับของเขาแน่...
แล้วฝันของเราสื่อถึงลางร้ายอะไรกันแน่นะ?

กระท้อนสลัดหัวไปมาเพื่อขับไล่ความมึนงง
แม้ตอนนี้บรรณาธิการ จะสั่ง ให้หล่อนพักร้อนได้ 2 อาทิตย์ก็ตาม
แต่หล่อนก็ไม่รู้จะเดินทางไปไหนดี
เพราะมัวกังวลแต่เรื่องฝันอยู่ทุกคืน
รึ..ไปหายายจันอีกครั้ง?

“กระท้อน รีบมาที่บ้านพี่วัทด่วนนะ เราได้หลักฐานที่มั่นใจจะลากไอ้บรรจบ เข้าคุกอีกชิ้นแล้วครับ”

กระท้อนจึงต้องพับเก็บความคิดเรื่องส่วนตัวลงอีกครั้ง
จัดแจงคว้ากุญแจแล้วล็อกห้อง
นพดลไม่ได้กลับมานอนที่คอนโดฯนานนับสัปดาห์
เพราะภาพที่ถ่ายมามากมายต้องตัดแต่งหลายแห่ง
เขาจึงย้ายไปพักกับคุณวัทบรรณาธิการคนนั้นที่ห้องชั้นบนของที่ทำงาน
ทั้งคู่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพื่อเร่งมือให้งานลุล่วงแล้วเสร็จในเร็ววัน

ซึ่งก่อนหน้านั้น
หล่อนจะ เข้าร่วมงานด้วยอย่างกระตือรือร้น
มีแต่อาทิตย์ที่ผ่านมา นับแต่เกิดเรื่องขึ้น
คุณวัทเห็น อาการหน้าซีดเซียวมักเหม่อลอยของหญิงสาว
จึงสั่งให้พักร้อนชั่วคราว เพื่อให้หล่อนได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

หลังสนทนาสักครู่
ชายฉกรรจน์หน้าเข้มหนวดดกจึงเดินเตร่ไปมาตรงแถวบริเวณปากซอยนั้น
“เอ็งแน่ใจนะ ” ชายขาพิการพยักหน้า
สมศักดิ์ควักแบ็งค์ร้อยสามใบส่งให้แล้วเดินห่างไป
สมศักดิ์หยิบมือถือออกกดหมายเลขถึงนายบรรจบ?.....

สมศักดิ์รู้ตั้งแต่คืนนั้นแล้วว่า
ชายร่างเล็กบางที่ขับมอเตอร์ไซด์วินหน้าปากซอยเป็นนักข่าวหญิง

ทว่า
มนุษย์ก็คือมนุษย์ยังไม่ละสิ้นจิตใจเมตตา
ในคืนนั้นเขาทั้งเหนื่อยและเพลียเพราะสังหารไปหลายคนพร้อมๆกัน
จึงละเว้นการติดตามกระท้อนอย่างทันที
แม้สายจะรายงานเขาว่าพบหล่อนที่จุดใดแล้ว
สมศักดิ์แค่สั่งให้ลูกน้องเฝ้าดูหญิงสาวห่างๆไว้ก่อนเท่านั้น
ทำให้กระท้อนชะล่าใจ

ห้าทุ่มนพดลลงมาส่งกระท้อนที่รถ
เมื่อรถของหญิงสาวแล่นออกไป
สมศักดิ์ก็ขับตามไปเรื่อยๆ เมื่อกระท้อนดับไฟที่ห้อง

สมศักดิ์ก็เริ่มลงมือทำงาน
เขาตรงไปที่ด้านหลังคอนโดฯ อาศัยความมืดและช่วงเวลาที่
คนเก็บขยะกำลังง่วนกับงาน เล็ดลอดเข้าประตู
ตรงไปที่ห้องของกระท้อนทันที
เขาใช้ผ้าชุบน้ำใสๆ ก่อนคาดปิดปากตัวเองแล้วจุดวัตถุขึ้นชิ้นหนึ่ง
สักพักตลอดทั่วทางเดินเต็มไปด้วยหมอกควันกลิ่นเอียนๆชวนเวียนหัว

กระท้อนเริ่มฝันอีกแล้ว
ชายร่างหนา มือเท้าโตหยาบหนา อย่างคนกรำงานหนัก
เดินไปหยิบเสื้อคลุมเนื้อเนียนบางของหล่อน ที่แขวนอยู่ข้างๆโต๊ะเครื่องแป้ง
เขาจับเสื้อนั้นบิดเป็นเกลียว ก่อนนำมาคล้องรอบคอกระท้อน
มัดเสื้อเข้าหากัน ค่อยๆรัดจนเริ่มติดรอบลำคอระหงนั้น

จากนั้นเขาก็ถอดรองเท้าออกเหลือไว้แต่เพียงถุงเท้า
ยกขาข้างหนึ่งกดยันไว้ตรงปลายคางของกระท้อน
สองมือจับชายเสื้อที่มัดรอบคอหล่อน..กระชากสุดแรงเกิด

กระท้อนสะดุ้งเฮือก
ก่อนดิ้นรนกระเสือกกระสนยิ่งขึ้น
หน้านิ่วคิ้วขมวดจนดูเหยเก
พร้อมกันนั้น
หล่อนก็ยกสองมือขึ้นพยายามแกะสิ่งที่รัดรอบคอตัวเอง
ไม่นานหล่อนเริ่มรู้สึกว่าทั่วร่างเหมือนไร้สิ้นเรี่ยวแรง
มือไม้อ่อนปวกเปียก..และแล้วหญิงสาวก็แน่นิ่งไป

“ไปสู่ที่ชอบๆนะคนสวย บนเส้นทางนั้นมีเพื่อนไปรออยู่แล้ว คงไม่เหงาแน่”

สมศักดิ์ปลดเสื้อออกจากคอกระท้อนม้วนเป็นก้อน
สอดเข้าถุงกระดาษที่หยิบมาจากบนโต๊ะเครื่องแป้ง
เปิดประตู หิ้วถุงเสื้อกับกระเป๋าใส่เครื่องเจาะไฟฟ้า ที่ทิ้งไว้ตรงหน้าห้อง
เดินกลับลงไปที่ทางเดิม
เมื่อผ่านทีวีวงจร ตรงมุมประตู เขาก็ขยับคอเสื้อขึ้นปิดแนบหน้า
ดึงหมวกให้กดต่ำลง ก้มหน้าเปิดประตู
กลับขึ้นรถขับออกไป

“คุณกระท้อนคะ ลุกขึ้นเถิด ยายมารับคุณแล้วค่ะ อย่าให้ท่านทูตรอนานนะคะ”

กระท้อนค่อยๆลืมตาขึ้น ตัวเบาหวิว ร่างลอยไปมาได้??
กระท้อนตาตื่น เหลียวมองยายจัน ยายจันไม่ได้ตอบอะไร นอกจากชี้มือไปที่เตียง
กระท้อนหันไปมองตามร่างที่หลับแน่นิ่งไม่ไหวติง
ช่างเหมือนหล่อนราวกับแฝด
ยายจันตอบคำถามนั้นว่า

“ใช่ค่ะยายมารับวิญญาณคุณ ... ยมทูตเก่าไปเกิดท่านพญายมให้มารอรับคุณ ไปทำหน้าที่ยมทูตคนต่อไป”

“ไม่นะคะยาย กระท้อนมีลูกได้เกือบ2 เดือนแล้ว ให้กระท้อนคลอดลูกก่อนได้ไหมคะ”

หญิงสาวต่อรองด้วยเสียงสั่นสะอื้น
หล่อนยังอาลัยทุกๆอย่างบนโลกนี้รวมทั้งชายคนรัก

“ถ้าคุณไม่ตายตอนนี้
อีกแค่10วันคุณก็จะถูกสิบล้อทับตาย
หรืออีกที อีก3เดือนคุณก็จะตายเพราะแท้งลูก
ตายตอนนี้ตอนไหนก็ต้องตาย...
ไปช่วยท่านพญายมจับวิญญาณเลวร้ายดีกว่านะ
เมื่อกรรมหมดลงก็จะได้ไปเกิดใหม่มีคนรักจริงๆกับเขาสักที
เรารีบไปกันเถิดนะ
แค่เราเดินผ่านสะพานความตายนี้ไปก็จะพบโลกใหม่ทันที”

“กระท้อนยังไม่อยากตาย กระท้อนอยากอยู่กับนพดล ยายช่วยกระท้อนด้วย ฮือๆๆๆ”

“ยายช่วยคุณไม่ได้ค่ะ ที่จริงคุณแค่อาการสาหัส เท่านั้น...แต่ด้วยแรงสาบแช่ง
ถ้าคุณไม่เคยแย่งคนรักใคร.....แต่นี่เคราะห์กรรมคุณหนักมากเป็นสองเท่า
เพราะคุณชอบแย่งคนรักของคนอื่นมาหลายหน
คำสาปแช่งต่างๆของคนเหล่านั้น
จึงกลายเป็นเส้นใยอุปสรรคล้อมชีวิตคุณไว้
ให้พบแต่ความทุกข์ในเรื่องรักมาโดยตลอด......"

"คุณไม่เคยพอใจในรักที่มี....
ชอบทำลายความรักคนอื่น...
โดยเฉพาะความรักของพ่อแม่ที่มีให้...แต่ไร้เงินทอง ....ที่คุณต้องการมากกว่า
บวกแรงอาฆาตแค้นทั้งหลายที่หุ่มตัวคุณมาแต่เก่าก่อน
จึงทะลักพลังออกมาผลักเสริมให้คุณตกลงเคราะห์เบญจเพสของคุณ
ทำให้คุณต้องตายก่อนเวลาถึง 25 ปี
ใน 25 ปีมนุษย์
คุณจะได้ไปเสวยสุขเป็นยมทูตด้วยกรรมดีที่มีต่อบ้านเมือง"

ยายจันจูงมือกระท้อนที่น้ำตาอาบหน้า
เดินผ่านสะพานความเป็นไปสู่สะพานความตายที่ทอดยาวที่เบื้องหน้าอย่างช้าๆ
เมื่อหญิงสาวหันกลับมาที่หน้าต่างห้องพักของตน
ภาพนพดลกับลูกๆและวิวรรณภรรยาปรากฎขึ้นช้าๆ
ทุกคนกำลังโบกมือให้หล่อนพร้อมด้วยรอยยิ้มอันเป็นสุข

กระท้อนหันหน้ากลับเดินตามยายจันโดยไร้หยดน้ำตาอีก…..
ที่กึ่งกลางสะพานความตาย
ยายจันตักน้ำจากตุ่มสีมรกต ยื่นน้ำสีใสเปล่งประกายมาให้ดื่ม
กระท้อนดื่มโดยหมดความลังเลอีกต่อไป

“น้ำละลายความทรงจำ”
หยดสุดท้ายไหลลงลำคอหญิงสาว
ภาพเบื้องหน้าที่ไกลลิบๆลอยใกล้เข้ามา
ชายในร่างสูงสง่า มายืนรอรับด้วยรอยยิ้มอย่างเต็มใจ…

.....................................................
ก้มกราบบ่อยๆ จะช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกไป...


937  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / นิทานก่อนตาย เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2553 10:21:59


นิทานก่อนตาย

ไอ้จุกวิ่งหน้าตั้งมานั่งหอบ แล้วดึงขอบชายเสื้อเช็ดเหงื่อไหล
หลวงพ่อนั่งสมาธิกุฏิใน ก็ตกใจเสียงไอ้จุกที่ลุกลน

เปิดประตูออกมาเห็นหน้าศิษย์ หลวงพ่อคิดถึงเจตน์และเหตุผล
จึงนั่งลงที่เหมาะเฉพาะตน มิพร่ำบ่นแต่กลับคอยรับฟัง

“ตะกี้จุกเห็นทางลุงข้างบ้าน ลงไปคลานดิ้นรนเหมือนคนคลั่ง
ร้องมอมอเหมือนวัวน่ากลัวจัง จุกหันหลังหลับตาไม่กล้ามอง

สักครู่จึงดูเหมือนหยุดเคลื่อนไหว หรือแกหยุดหายใจจึงไม่ร้อง
น้ำลายไหลเยิ้มเหม็นอยู่เป็นฟอง ตาลุกพองเบิ่งอ้าอย่างน่ากลัว

จุกขอถามหลวงพ่อพอรู้ไหม ตอนหนุ่มใหญ่แกทำแต่กรรมชั่ว
ชอบเชือดไก่จับปลาชอบฆ่าวัว ตอนนี้ตัวตายไปอยู่ไหนกัน”

หลวงพ่อยิ้มชอบใจตอบไอ้จุก “แกรับทุกขเวทนาก่อนอาสัญ
อาจเกิดเป็นสัตว์นรกตกโลกันตร์ อยู่ในนั้นทรมาณเป็นล้านปี”

จุกฟังยิ่งสนใจถามใหม่ว่า “ยังงี้ถ้าคนตายใช่รายนี้
ถ้าเป็นคนเคยทำแต่กรรมดี อยากรู้ที่เกิดบ้างดูอย่างไร”

“คนย่อมทำดีบ้างทั้งสร้างบาป ยากจะทราบชาติเกิดกำเนิดใหม่
ภาพนิมิตติดจินต์ก่อนสิ้นใจ ย่อมบอกใบ้ให้รู้ทุกผู้คน

จะเห็นภาพแต่หลังเหมือนหนังฉาย ภาพสุดท้ายที่เห็นจะเป็นผล
จึงสุดรู้สุดคาดถึงชาติตน แต่ฝึกฝนเลือกได้และง่ายทำ

ถ้าเห็นภาพไฟฟอนเหล็กร้อนฉ่า สัตว์เคยฆ่าย่างกรายหมายขย้ำ
จนหวาดกลัวร้องกรีดดั่งมีดตำ ย่อมดิ่งล้ำลงนรกไฟลุกแรง

ถ้าเห็นภาพข้าวลีบรวงกลีบหล่น ถ้ำมัวหม่นมืดดับและอับแสง
จะเป็นเปรตเวทนานัยน์ตาแดง ลำคอแห้งดั่งทรายกระหายน้ำ

ถ้าเห็นภาพทุ่งหญ้าและป่ากว้าง เห็นม้า ช้าง กวาง ฯลฯ เล่นลมเย็นฉ่ำ
จะเกิดเป็นเดรัจฉานจากฐานกรรม นิมิตย้ำภาพสัตว์อย่างชัดเจน

ถ้าเห็นภาพเนื้อเหมือนว่าเคลื่อนไหว ก้อนหัวใจในครรภ์ที่มันเต้น
จะเกิดเป็นคนใหม่ไปสร้างเวร หรือเลือกเป็นคนดีอยู่ที่เรา

ถ้าเห็นภาพเทวดาและปราสาท รุกชาติงดงามไร้ความเศร้า
จะเป็นเทพมีวิมานอยู่นานเนา ไม่แก่เฒ่าบนสวรรค์ตราบวันตาย

ถ้าเห็นพระพุทธองค์ผู้ทรงฤทธิ์ อรหันต์สานุศิษย์ทุกทิศสาย
เบื่อขันธ์เบือนเรือนร่างที่วางวาย ย่อมเกิดกายเป็นทิพย์อยู่นิพพาน”

ไอ้จุกฟังทุกข้อหลวงพ่อตอบ จึงถามสอบเพื่อแยกให้แตกฉาน
“ถ้าก่อเวรเข่นฆ่ามาช้านาน ก่อนวายปราณเปลี่ยนพับโจรกลับใจ….”

“เอ็งไม่ต้องถามต่อหลวงพ่อรู้ เรื่องที่อยู่หลังตายแล้วใช่ไหม
มีธรรมเนียมน่าสนของคนไทย คนสมัยก่อนเล่าให้เราฟัง

ถ้าใกล้ตาย..มองพระพุทธ ผู้ผุดผ่อง เขาให้ท่อง “สัมมา อะระหัง”
สมัยนี้ละทิ้งไม่จริงจัง สิ่งปลูกฝังยายย่าก็ว่าเชย

ถ้าเราท่องภาวนา จำหน้าพระ ก่อนเราจะสิ้นใจไปเฉยเฉย
โอกาสไปอเวจีไม่มีเลย และไม่เคยมีใครไม่ไปดี

จะเกิดบนสวรรค์แม้ชั้นต่ำ ถึงก่อกรรมฆ่าสัตว์ทำบัดสี
แต่อารมณ์ก่อนสิ้นชาติอินทรีย์ แหละบ่งชี้ที่เกิดดังกล่าวมา”

แต่ว่ากรรมทั้งหลายไม่หายสาป ที่สร้างซ้ำทำบาปจนหยาบหนา
เมื่อหมดสิ้นผลหนุนจากบุญญา ย่อมมุ่งหน้านรกร้อนกลางฟอนไฟ

ไอ้จุกเอ๋ย..ถ้าใครที่ใกล้ดับ หูเลิกรับรู้เสียงแม้เพียงไหน
แม้แต่ภาพพระรัตนตรัย แม้แต่ใครมาฉุดท่องพุทโธ

ภาพทุกภาพถึงเวลาย่อมปรากฏ เรากำหนดไม่ได้ไม่ให้โผล่
จะจนรวยแค่ไหนหรือใหญ่โต ไม่พ้นโซ่ตรวนกรรมที่ทำเวร

พระพุทธองค์จึงตรัสดำรัสไว้ ให้ตั้งใจทำดีอย่ามีเว้น
ลดละบาปไม่ทำแม้จำเป็น หมั่นบำเพ็ญภาวนาเป็นอาการ

ถ้าจิตติดภาวนา..ก่อนลาลับ จิตจะจับท่องจำถ้อยคำขาน
เสียง “สัมมา อะระหัง” จะกังวาน ในดวงมานเรารู้เพียงผู้เดียว

จะลอยลิบสู่ทิพยสถาน อาจนิพพานสำเร็จถ้าเด็ดเดี่ยว
เป็นความจริงแน่แน่โดยแท้เทียว ข้าถึงเคี่ยวเข็ญจุกอยู่ทุกวัน”

จุกก้มกราบหลวงพ่อ “จุกขอโทษ อย่าได้โกรธที่ว่าจุกก๋ากั่น
จะหมั่นท่อง “พุทโธ” เป็นโล่กัน จะสวดมนต์อย่างขยันจุกสัญญา……”


938  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / บทสนทนากับความตายของ..หญิงสาว..ที่บ้านเก่า เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2553 10:03:34
http://img20.imageshack.us/img20/7199/bc4a591ad1899f97e57b8c8.jpg


บทสนทนากับความตายของ..หญิงสาว..ที่บ้านเก่า

บ่าย นั้น. ผมกลับไปเยี่ยมเยือนบ้านเกิดอีกครั้ง ในห้วงฤดูร้อนแล้งแห้งโหย อากาศอบอ้าวแผ่กระจายรายล้อม
มองออกไปข้างหน้า…เปลวแดดเต้นเร่าเหมือนดั่งกำลังเยาะหยันให้กับผู้คนที่ สัญจรไปมา

บ้านเก่าหลังนั้น ยังคงยืนนิ่งสงบอยู่ ริมถนนเล็กๆ ที่ตัดผ่านเข้าไปในหมู่บ้าน ก่อนจะไปสิ้นสุดที่ตรงเหมืองฝายและท้ายทุ่ง
ผมนิ่งมองด้วยความรู้สึกแปลกเปลี่ยน…บ้านของความคุ้นเคย บ้านของความอบอุ่น มันเปลี่ยนไปยังไงไม่รู้…
บรรยากาศห้วงยามนี้จึงดูเหมือนมีเมฆหมอกของความ หม่นเศร้าบดบังไปทั่ว…

ต้นมะพร้าวสองต้นที่ปลูกไว้ริมรั้วหน้าบ้าน ถูกโค่นทิ้งเพราะเหตุผลบางอย่าง…เพราะความสูงเกินไปของมัน
หรือคงหวาดเกรงกันว่าลูกของมัน จะหล่นร่วงตกใส่ศีรษะของผู้คนที่เดินทางผ่าน

ผมจดจ้องซากของมันที่เหลือแต่ตอผุๆ…
นึกถึงการกำเนิดและเติบใหญ่ของ มัน ผมไม่รู้ว่าชีวิตมันก่อเกิดขึ้นตอนไหน
รู้แต่ว่า เมื่อผมยังจำความได้…ก็เห็นมันหยัดร่างสูงยืนเด่นอยู่ตรงนั้น
แม่บอกว่า…พ่อเป็นคนปลูก

นานแล้วตั้งแต่อพยพโยกย้ายมาแผ้วถางป่าผืนนี้ จนที่สุด.
ได้ปักหลักปักฐานอาศัยอยู่ที่นี่…ทำให้ผมมองเห็นภาพเก่าๆ เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก
เมื่อผมร้องไห้ อยากกินน้ำมะพร้าว พ่อจะรีบปลอบใจ…
แล้วเอามีดเหน็บผ้าขะม้าที่เคียนเอว ก่อนจะเกาะไต่ไปบนลำต้น
สองมือจับยึดลำต้น สองเท้าเหยียบตรงรอยบาก ยันร่างสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป…จนถึงบนสุด
ใช้มีดตัดทะลายมะพร้าวหลายลูกร่วงลงข้างล่าง  ดังตึกตักกระจายเกลื่อนพื้น…
ภาพอดีตมักพัดหวนให้นึกถึงและจดจำ…ทุกครั้งที่ผมกลับมาสู่บ้านหลังเก่า

พี่ สาวผมเปิดร้านขายของชำเล็ก ๆ ตรงหน้าบ้าน และยังขายก๋วยเตี๋ยวภายในเพิงที่มุงคาอย่างง่าย ๆ
ตั้งแต่แม่จากไป พี่สาวจึงอาศัยอยู่บ้านหลังนี้เพียงลำพัง นาน ๆ ครั้ง หลานๆ จะกลับมาเยี่ยมในช่วงปิดเทอม

ส่วนตัวผมนั้น. ยิ่งไม่ต้องพูดถึง นานๆ จึงหวนกลับมาครั้งหนึ่ง หรือไม่ก็กลับมาพักผ่อนหลับนอนเพียงชั่วคืน.
รุ่งเช้า…ก็จำต้องเดินทางไกลต่อไป…ไปตามเส้นทางป่าบนภูเขา สูงชันและเปล่าเปลี่ยว…

ทุกวัน. ไม่ว่าช่วงเช้า สาย บ่าย หรือห้วงยามเย็น หน้าร้านของพี่สาวจึงไม่เงียบเหงาเหมือนแต่ก่อน…
มีผู้คนในหมู่บ้านเดินเข้า มาจับจ่ายซื้อกับข้าว ของใช้ และแวะเวียนเข้ามาทานก๋วยเตี๋ยวกันอยู่ไม่ขาดสาย…

เหมือนเช่นวันนี้.
ขณะที่ผมกำลังผูกเปลนอนอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นลำไย
ไม่ไกลนักจากเพิงร้านของพี่สาวผมหันไปมองภาพที่เคลื่อนไหว…
หญิง สาวสามคนเดินเข้ามาในร้านด้วยท่าทางอิดโรย สั่งก๋วยเตี๋ยวคนชาม ไม่ใส่เนื้อ ไม่ใส่ผงชูรส…
ผม ยิ้มทักทายพวกเธอ เป็นคนที่รู้จักคุ้นเคยกันดี คนหนึ่งเป็นญาติกัน คนหนึ่งเป็นเพื่อนกัน
ส่วนอีกคนเป็นแฟนของเพื่อน นานแล้วที่ไม่ได้เจอกัน

ผมแอบจ้องดูร่างอันซูบกายผ่ายผอมของหญิงสาม คน นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกตรงนั้น. ใต้เพิงร้าน
ห้วงยามนั้น…บรรยากาศดูคล้ายทุกสิ่งทุกอย่างถูกสะกดเงียบงัน
ผมนั่งนิ่งฟังเฝ้าฟัง…เธอทั้งสามกำลังพูดคุยถึงเรื่องอะไรกัน!?

พลันนึกแปลกใจ…ใช่, พวกเธอกำลังสนทนากับความตาย!!

เหมือน ชะตากรรมหลอกล่อให้ชีวิตติดกับดักอันมืดมน มืดดำ
ทว่าน้ำเสียงที่ผมได้ยินนั้น…กลับกลายเป็นเสียงหัวเราะ
เป็นเสียงหัวเราะคล้ายอยากเยาะเย้ยหยันกับโชคชะตา
กับความตายที่กำลังเดินทาง มาเยี่ยมเยือนพวกเธอในไม่ช้า

“เข้ามาเลยความป่วยไข้…ฉันไม่กลัวหรอก ฉันพร้อมและยอมรับแล้วกับความเป็นไป…"
เสียงของเพื่อนหญิงเอ่ยออกมา ให้กับทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นได้ยินรู้

“รู้ มั้ย ตอนแรกเรายอมรับไม่ได้หรอก เพราะเราไม่ได้ก่อนี่นา
ไม่ยอมไม่กล้าไปโรงพยาบาลแต่ยังดีที่มีเพื่อนๆ ให้กำลังใจ
จึงไปรวมกลุ่มกัน…" เสียงของเธอพูดด้วยความรู้สึกลึกๆ ในใจ…

"จะนรกหรือสวรรค์ก็ช่าง!! ชีวิตมันก็แค่นี้แหละ..”
เสียงเธอสบถออกมาจากริมฝีปากที่ซีดจางและสั่นไหว…

ผมเข้าใจในความรู้สึกของเธอดี.หญิงสาว
ใน กระแสความเปลี่ยนแปลงที่พัดโหมเข้ามาสู่ชีวิต…
จากที่เคยมีวิถีอยู่กับความเรียบง่ายในชนบทมาเนิ่นนาน
มีความสุขตามอัตตาภาพ ไม่เร่งรีบ ไม่ร้อนรน ไม่เคยคิดไขว่คว้าอะไรมากมาย
มีเพียงความสุข ความฝัน ทำงานเก็บออมเอาไว้
เพื่อลูกชายลูกสาวที่กำลังเติบใหญ่ขึ้นในวันข้างหน้า…

มาถึงตอนนี้
ความฝันของเธอกลับร่วงแตกแหลกสลายลง
เมื่อรับรู้กับความจริงอันปวดเจ็บร้าวยากเกินจะเยียวยา
เธอทั้งสามนั้นรับเชื้อร้ายโรคร้ายที่รักษาไม่หาย…
โรคของความผิดพลาดที่สามี ของพวกเธอนั้นนำพามาสู่ชีวิตของเธอ…

แดดหม่นส่องลอดผ่านรูรั่วบนหลังคา ลมบ่ายยังคงพัดเข้ามาอย่างอ้อยสร้อย...

“อย่าลืมนะ…พรุ่งนี้หมอนัดพวกเรา ให้ไปตรวจดูเม็ดเลือดขาวว่าเหลืออีกมากน้อยเท่าใด” เธอเอ่ยกับเพื่อน…

“ถ้าเม็ดเลือดขาวหมด ชีวิตเราก็หมดใช่ไหม?…”

“กลัวใช่ไหม?…”

“เรานะไม่กลัวหรอก แต่เป็นห่วงลูกเราเท่านั้น”

“ทายกันไหม…ว่าใครจะเหลือน้อยกว่ากัน และใครจะไปก่อนใคร…

“อยู่ก็ใช่สุข ไปก็ใช่ทุกข์…”

“บางที…การจากไป ก็คงเหมือนการเดินทางไกลนั่นแหละนะ”

“ใช่. จะพบกับความสุขหรือทุกข์ ไม่มีใครรู้หรอก”

“ไม่แน่…อาจเจอกับความว่างเปล่าก็ได้”

“ถ้าเราสามไปพร้อมกันก็คงดีนะ…จะมีเพื่อนคุยระหว่างทาง..”

ห้วง ยามนั้น…สายลมพัดเอาความโศกเศร้าเข้ามาในเพิงร้านดังหวีดหวิวไหว…
และยังยินเสียงพวกเธอสนทนาหยอกล้อกับความตายไปมาอยู่อย่างนั้น…
ทำให้หัวใจผมหนักอึ้ง นิ่งงัน และอยากร้องไห้.

ขอบคุณสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์
939  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / คนเผาขยะ เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2553 10:00:58

คนเผาขยะ
Posted by กฤตบวรวิชญ์
                        
เสียงมโหรีปี่พาทย์ ยังคงบรรเลงเพลงพระธรณีกรรแสงอยู่อย่างต่อเนื่องยาวนาน
ตราบใดที่ความตายยังเกิดขึ้นอยู่คู่กับมวลมนุษย์
บทเพลงบทนี้ก็คงจะไม่ล้าหลังไปจากยุคสมัยแน่นอน
              
เสียง โหยหวนจากการดีด สี ตี เป่า ที่แว่วเวียนอยู่ในอากาศ
สามารถยุเย้าอารมณ์เศร้าให้กับผู้ฟังที่อยู่ในงานศพได้เป็นอย่างดี
แม้บางคราวจะมีเสียงสอดแทรกจากพวกขี้เมาบ้างแต่นั้นก็แค่ส่วนหนึ่งของพวก ด้อยมารยาท
                        
โลงศพยังคงตั้งแน่นิ่งอยู่ใกล้กับลานอภิธรรม
ดอกไม้ที่ล้อมรอบโลงแอร์เริ่มแห้งเหี่ยว  กลิ่นและรูปลักษณ์ที่เคยงดงามก็เริ่มโรยรา  
แต่ก็น่าแปลกที่มนุษย์ยังถือความเชื่อ  ใช้ความสวยงามมาประดับเคียงคู่อยู่กับความตาย
และหากความตายคือสิ่งที่สวยงาม เหตุไฉนเล่ามนุษย์บางคนยังพยายามที่จะหลีกหนีความตาย
                        
กลิ่นควันธูปเทียนยังคงคละคลุ้งเคียงคู่อยู่กับดวงวิญญาณของผู้ตาย
ปี่พาทย์ยังคงโลมเล้าบรรเลงอยู่อย่างอึกทึก  
ป้าย ชื่อผู้มีเกียรติบนพวงหรีดยังคงอวดศักดาอยู่คู่กับโลงศพ
นานมาแล้วที่มนุษย์ใช้ลายปากกา เพื่อสื่อความอาลัย
ซึ่งก็คงนานพอที่จะทำให้พวกเขาเริ่มเอือมระอาต่อความตาย
                        
รูปถ่ายครึ่งท่อนในฉากแก้วข้างโลงศพ ยังคงมีสีหน้าและแววตาเช่นเดิม
ไม่มีความเศร้า  ไม่มีความสุข  เป็นสีหน้าที่เงียบเชียบและเดียวดาย  
เบื้องล่างรูปถ่ายบอกถึงวันที่ ชาตะ   มรณะ  และ อายุรวมถึงวันตาย ไว้อย่างลงตัว  
ซึ่งเมื่อคิดดูให้ลึกซึ่งมนุษย์ก็คงไม่ต่างอะไรไปจากสินค้าที่วางขายอยู่ตามท้องตลาด
มีวันผลิต และ วันหมดอายุ ตามกาลเวลาอันสมควร
                        
ปี่พาทย์หยุดบรรเลงชั่วขณะ  พระสงฆ์สี่รูปเดินเรียงหน้าเข้าประจำที่ตรงลานสวดอภิธรรม
น้ำดื่มถูกยกมาถวายต่อหน้าพระสงฆ์   ตาลปัตรทั้งสี่ถูกยกขึ้นมาบังหน้าพระสงฆ์ทั้งสี่รูป  
“ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น”    
คำ กลอนบน ตาลปัตร เรียงแถวต่อคำกลอนกันอย่างลงตัวด้วยความหมายที่กินใจ
ร่างผู้ตายภายในโลงศพถูกเชื่อมต่อเข้ากับพระสงฆ์ทั้งสี่รูปโดยมีสายสิญย์ เป็นสื่อ  
เสียงสวดคาถาภาษาบาลี เริ่มเปล่งเสียงสำเนียงสอดประสานอย่างมีมนต์ขลัง
                        
ชาย วัยกลางคนในชุดแต่งกายที่ดูซ่อมซอยกมือขึ้นพนมไหว้พระสงฆ์ทั้งหมด
ก่อนที่จะลุกขึ้นออกไปจากที่สวดอภิธรรม เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจ
และเขาก็ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับคนทั่วๆไปเช่นกัน  ด้วยเหตุนี้  
การกระทำใดของเขาจึงไม่ตกเป็นที่สนใจของบุคคลรายรอบ
                        
ชายผู้นี้มาพร้อมกับพระสงฆ์ทั้งสี่ เขามีวัดเป็นบ้าน
และอาศัยข้าวก้นบาตรประทังชีพ เขามาจากไหน? เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ? ไม่มีใครรู้
แต่แกอาศัยวัดที่นี่มานานหลายปี และดูทีท่าว่าจะไม่ไปอยู่ที่อื่นเสียด้วยซ้ำ
                      
เขา เดินมาข้างเมรุ เงยหน้าขึ้นมองตรงจุดสูงสุดของปล่องควัน
ไม่มีคำพูดและอารมณ์ใดๆแฝงอยู่บนใบหน้า เงียบขรึมและมั่นคง
อาจจะดูแข็งกระด้าง แต่จริงๆแล้วมันคือความเข็งแกร่ง
                      
เขา เบือนสายตาไปที่ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆเมรุ
ต้นไม้ต้นนี้มีอายุที่ยาวนานพอสมควร ลำต้นของมันเติบใหญ่ขึ้นตามกาลเวลา
แผ่กิ่งก้านสาขากว้างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ  
เขาเดินมาที่โคนของต้นไม้ต้นนั้น แอบอิงเงาของมันเป็นที่ร่ม
แล้วนั่งกอดเข่าหลังพิงโคนต้น  ดั่งเฝ้าคอยถ้าอะไรสักอย่าง
                        
ลม ยามบ่ายยังพัดอย่างต่อเนื่อง แม้พลังของลมจะไม่รุนแรงมากนัก
แต่ก็สามารถกระชากเอาใบไม้ที่อ่อนแอและไร้พลังให้ร่วงหล่นลงมาแนบอกแม่พระธรณี
ใบแล้ว ใบเล่า ให้มากองทับถมกับใบไม้เหี่ยวๆที่ร่วงหล่นมาก่อนหน้านี้
                        
ลมหายใจของเขาเริ่มแผ่วเบาลง
แต่สมองของเขากลับทำงานหนักขึ้น
เขาไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ ความหมายของใบไม้ที่ร่วงหล่นถึงมีคุณค่า แตกต่างไป
จากที่เขาเคยมองเมื่อครั้งก่อนๆ  ธรรมชาติ กำลังสอนให้เขาคิด
เขาเงยหน้าขึ้นไปมองจุดสูงสุดของต้นไม้ ที่ตรงนั้นมันช่างดูสง่างามเสียเหลือเกิน
มันคือยอดที่ไม่มีมีส่วนไหนสูงเทียบเท่า
แต่มันก็ดูเหนื่อยล้าเมื่อเทียบกับใบไม้ที่อยู่ในชั้นต่ำกว่า
ทุกครั้งที่กระแสลมปะทะร่างของมันจนโยกไหวสั่นคลอน
ดูมันช่างวุ่นวายและไม่มีความสุขเอาเสียเลย
 
ในขณะเดียวกัน
พวกใบไม้เบื้องล่างที่ดูด้อยศักดิ์กว่ากลับมีชีวิตที่สงบร่ม เย็น
มันคือความแตกต่างที่ธรรมชาติได้ชดเชยให้เกิดความสมดุล                        
“และถ้าเป็นตัวฉัน ในตอนนี้ฉันจะอยู่ตรงส่วนไหนของต้นหนอ” เขาแอบคิดอยู่ในใจ  

เงย หน้าขึ้นไปมองตรงยอดสุดของต้นไม้
ก่อนจะละสายตามองมาเป็นชั้นๆ จนถึงใบที่อยู่ชั้นต่ำสุด
สีหน้าของเขาเริ่มเผยรอยยิ้ม แม้มันจะเป็นยิ้มแห้งๆแต่มันก็เป็นยิ้มที่หาดูได้ยาก
เขามองตรงส่วนนั้นอยู่เนิ่นนาน ดูภาคภูมิใจกับมัน
เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุอันใด ถึงบังเกิดอารมณ์เช่นนี้ขึ้นมาได้
ปกติเขาเป็นคนด้านชากับความรู้สึกมานาน
จนเกือบลืมไปว่า ตัวเขาเองก็มีความรู้สึกเหมือนเช่นคนอื่นๆ
                        
ใบ หน้าเขาดูมีความสุขขึ้น เขาได้พบธาตุแท้ของตัวเองเป็นครั้งแรก
เขาชอบในความต่ำต้อยที่สงบสุข
เขาภูมิใจที่ได้คลุกคลีกับคำเหยียดหยาม มากกว่าที่จะได้คลุกคลีกับคำเยินยอที่เสแสร้ง  
มันคือความรู้สึกที่เกิดมาจากจิตใต้สำนึกอันใสซื่อบริสุทธิ์
                        
ใบไม้ เหี่ยวยังคงร่วงโรยอยู่เรื่อยๆ
เขาพบสัจธรรมอีกอย่างที่ตัวเขาเองได้เคยมองผ่านมาโดยตลอด
เขามองไปที่ใบไม้หนาทึบ มันมีสีเขียวอ่อน  เขียวเข้ม และเหลือง สลับซับซ้อนกันไป
บางใบกำลังผลิแย้มต้อนรับโลกใหม่
บางใบก็เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วหลาย
ฤดูกาลจนสีใบแก่จัด  และบางใบก็เริ่มเหี่ยวแห้งโรยรา
ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรกับชีวิตมนุษย์เลย
เราเริ่มที่จุดกำเนิด ผ่านการเจริญวัย  แล้วก็มาสิ้นสุดลงที่ความตาย
                        
ความคิดของเขา ชะงัก  เมื่อ เสียงสวดของพระสงฆ์เงียบลง
เขารู้ดีถึงสัญญาณเตือนด้วยความเคยชิน ปี่พาทย์เริ่มบรรเลงอีกครั้ง
ซึ่งครั้งนี้ดูเหมือนจะปลุกระดมความเศร้าโศกได้มากกว่าครั้งก่อนเสียอีก
เขาเดินไปบนเชิงเทินของเมรุ เพื่อรอที่จะทำหน้าที่ของตนต่อไป

พระสงฆ์ชักสายสิญย์ขึ้นสู่เชิงเทินหน้าเมรุ
โดยมีขบวนญาติๆตามหลังและผู้ทำหน้าที่หามโลงศพของผู้ตายขึ้นตามไป  
ภรรยา และลูกๆของผู้ตายร่ำไห้ปานว่าจะขาดใจ
หลายคนพลอยร่ำไห้ตามไปด้วยจนหน้าแดงก่ำ
รูปถ่ายที่ไร้อารมณ์ยังแนบอยู่กับอกเสื้อของภรรยาผู้ตาย
แม้ว่าการโอบกอดครั้งนี้ จะไม่เหมือนการโอบกอดเมื่อครั้งที่สามียังมี ชีวิตอยู่ก็ตาม
                        
คนมากหน้าหลายตาอัดแน่นอยู่บนเชิงเทิน
เช่นเดียวกับลานดินด่านล่างที่มีจำนวนไม่น้อยกว่ากัน
พิธีการสำคัญใกล้เริ่มขึ้น เด็กๆบนลานดินต่างจับจองสมรภูมิที่เหมาะและตนถนัดที่สุด
แม้มันจะไม่ใช่การรบ แต่มันก็เป็นการวัดความสามารถที่อาศัยความเชี่ยวชาญใน เชิงยุทธ์อยู่พอควร
                        
ฝาโลงเปิดออกให้บุคคลใกล้ชิดได้ดูหน้าผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย  
สีหน้าหมองคล้ำของร่างแน่นิ่งในกล่องไม้  ดูเหมือนจะไม่รับทราบเรื่องราวใดๆที่เป็นอยู่ภายนอก  
เวลาเดียวกันเสียงร่ำไห้ก็ดังอยู่เป็นระยะๆ  แทนคำอำลาที่ไม่มีความหมายใดซ่อนเร้น
นอกจากความเศร้าและอาลัยอาวรณ์
                        
ประตูตู้เผาถูกเปิดออกด้วยมือของชายแต่งตัวซ่อมซอที่มากับพระ  
โลงไม้สี่เหลี่ยมถูกใส่เข้าไปในช่องไฟทันทีที่ได้เวลาอันสมควร
ดอกไม้จันทน์ พวงหรีด ถูกบรรจุและเผาไปพร้อมกับร่างของผู้ตาย  
ภรรยา และลูกๆยังคงร่ำร้อง เช่นเดียวกับญาติสนิท
และผู้มาร่วมพิธีบางคนที่ยืนน้ำตาคลอเบ้า
กัลปพฤกษ์ ถูกหว่านไปหน้าลานดิน
เด็กๆแย่งชิงกันอย่างสนุกสนานผู้ใหญ่บางคนเข้าร่วมวงด้วยเพื่อต้องการเก็บ
เหรียญห่อกระดาษแก้วไว้เป็นที่ระลึก มันช่างดูวุ่นวายในช่วงเวลาที่น่าจะโศกเศร้า
                        
ควันสีดำพุ่งฟุ้งกระจายออกจากยอดเมรุไปตามแรงลม  
แขก เหลื่อหลายคนเริ่มทยอยกันกลับบ้าน
ญาติๆเริ่มพากันมานั่งที่เต๊นข้างล่างหน้าเมรุ
บนเชิงเทินเมรุแลโล่งขึ้น เหลือก็แต่พ่อ แม่ ภรรยา และลูกๆของผู้ตาย
ที่ยังคงยืนอาลัยอาวรณ์อยู่หน้าเตาเผา  
พระสงฆ์ชักแถวเดินกลับวัด
แต่ชายแต่งตัวซ่อมซอที่มากับพระยังกลับไม่ได้
เพระภาระหน้าที่ของเขายังไม่จบสิ้น
                        
คนเริ่มบางตาจนนับจำนวนถูก ความตายเป็นสิ่งที่ผู้คนไม่เคยถวิลหา
แต่ก็ได้มาทุกคนขึ้นอยู่กับเวลาว่าจะเร็วหรือช้าต่างกัน  
ควัน ที่พุ่งผ่านยอดเมรุเปลี่ยนเป็นสีเทาและค่อยๆเบาบางลงเรื่อยๆ
พ่อ แม่ ภรรยา และลูกๆของผู้ตายลงมานั่งอยู่ในเต๊น
ผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยยังคงเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา
                        
ชายแต่งตัวซ่อมซอกลับมานั่งที่โคนต้นไม้ใหญ่ข้างเมรุ
เขาไม่ได้รู้สึกเศร้าเลยแม้แต่น้อย  
ไม่ใช่เพราะผู้ตายไม่ใช่ญาติโกโหติกากับเขา  
หาก แต่ภาพความเศร้าที่เขาได้เห็นมันกลายเป็นสิ่งชินตาที่เขาได้สัมผัสมาอย่าง โชกโชน
เขาเงยหน้าขึ้นไปมองตรงยอดเมรุอีกครั้ง กลุ่มควันเริ่มเบาบางลงทุกขณะ
ใบไม้เหี่ยวใบหนึ่งร่วงลงมาผ่านหน้าเขาไป  มัน ลงซบแน่นิ่งกับอกแม่พระธรณี
เช่นเดียวกับใบอื่นๆที่ร่วงหล่นมาก่อนหน้านี้
เขาหยิบมันขึ้นมามองดู เหี่ยวแห้งและไร้ความหมาย
เขาถือมันไปรวมวางกับใบอื่นๆ ที่กองรวมกันอยู่ก่อนหน้านั้น
เขาหยิบไฟแช๊คขึ้นมาและรู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
ไฟติดขึ้นแล้วมันลามเลียใบไม้แห้งอย่างรวดเร็ว
กลุ่มควันโขมง พวยพุ่งขึ้น เขานั่งมองมันย่อย สลายไปกับเปลวไฟ  
                        
ลมยังคงพัด  เชื่อแน่ว่าใบไม้จะต้องทยอยกันร่วงหล่นต่อไปเรื่อยๆไม่มีอันจบสิ้น  
เขาหยิบไม้กวาดขึ้นมาดู  ใช้จิตวิญญาณแทรกซึมเข้าไปในเนื้อไม้      
เหมือนมีพลังบางอย่างแอบแฝงอยู่ภายใน  มันล้ำลึกเกินจะบรรยายออกมาจากสีหน้า  
คล้ายกับว่าเขาได้พบสิ่งที่ปรารถนา  และไม่อาจจะละทิ้งมันได้อีกต่อไป  
“ใครเคยคึดถึงบ้างว่าถ้าไม่มีไม้กวาด โลกนี้จะสกปรกสักเพียงใด”

ชายผู้นั้นแอบพร่ำรำพันกับตัวเองพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ ที่ยากจะบรรยายความรู้สึก
                        
กองไฟเริ่มมอด ควันไฟก็เริ่มจางลง เศษใบไม้เริ่มเป็นผงเถ้า  
เฉกเช่นเดียวกับมนุษย์  เมื่อผ่านการเผาก็หลงเหลือแต่เพียงเถ้าถ่าน  
หากจะต่างกันบ้างก็ตรงที่ชื่อเรียก  แม้นไม่มีสรรพนามคำว่ามนุษย์และขยะมากั้นกลาง  
สุดท้ายจุดจบของของสองสิ่งก็คงคล้ายกัน  
หากนำผงเถ้าขยะและผงเถ้ามนุษย์มาคลุกเคล้ารวมกัน
คงไม่มีใครสามารถที่จะแยกแยะได้อย่างหมดจด
        
เขาเงยหน้าขึ้นมองยอดเมรุอีกครั้ง  มันสงบลงแล้ว  
แต่หน้าที่คนเผาขยะอย่างเขายังไม่จบสิ้น  
ดวงตะวันอ่อนแสงโรยรา  เขากำไม้กวาดแน่นและพร้อมที่จะเผชิญอนาคตอย่างทรนงตน


http://img12.imageshack.us/img12/1548/wzt17.jpg
940  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / เรื่องเล่าจากหญิงชราชื่อ โรส เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2553 09:58:57
http://img5.imageshack.us/img5/1796/c82474660.jpg


เรื่องเล่าจากหญิงชราชื่อ โรส

วันแรก ที่พวกเราเริ่มการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น อาจารย์ของเราได้เข้ามาแนะนำตัว
และบอกให้พวกเราทำความรู้จักกับคนอื่นๆ ที่เราไม่รู้จักมาก่อน
ผมยืนขึ้นแล้วมองไปรอบๆ และมีมือๆ หนึ่ง เอื้อมมาจับบ่าของผม
ผมหันไปพบกับหญิงชราร่างเล็ก ผิวหนังเหี่ยวย่น
ที่ส่งรอยยิ้มอันเป็นประกายมาให้ผม รอยยิ้มนั้นทำให้เธอดูสดใสอย่างยิ่ง

หญิงชราคนนั้นกล่าวขึ้นว่า

' สวัสดี รูปหล่อ ฉันชื่อโรส อายุแปดสิบเจ็ดแล้ว มาให้ฉันกอดสักทีสิ '

ผมหัวเราะกับท่าทางของเธอ และตอบอย่างร่าเริงว่า
' แน่นอน ได้สิครับ ' แล้วเธอก็กอดผมอย่างแรง ผมถามเธอว่า
' ทำไมคุณถึงมาเรียนมหาวิทยาลัย เอาตอนที่อายุน้อยและไร้เดียงสาอย่างนี้ละ'

เธอตอบด้วยเสียงปนหัวเราะว่า
'ฉันมาหาสามีรวยๆ ที่ฉันจะได้แต่งงานด้วย แล้วมีลูกสักสองสามคน '

ผมขัดจังหวะเธอ โดยถามว่า 'ไม่เอาครับ.. ถามจริงๆ '
ผมสงสัยจริงๆ ว่า อะไรทำให้เธอมาเรียนที่นี่ตอนที่อายุขนาดนี้

และเธอตอบว่า

'ฉันฝันมานานแล้ว ว่าฉันจะได้ปริญญา และตอนนี้ ฉันก็กำลังจะได้ปริญญาที่ฉันฝัน'

หลังเลิกเรียนวิชานั้น เราเดินไปที่อาคารสโมสรนักศึกษาด้วยกัน และนั่งกินชอคโกแลตปั่นด้วยกัน
เรากลายเป็นเพื่อนกันในทันที ตลอดสามเดือนหลังจากนั้น เราจะออกจากชั้นเรียนพร้อมกัน
และจะไปนั่งคุยกันไม่หยุด ผมนั้นประหลาดใจเสมอเมื่อได้ฟัง 'ยานเวลา' ลำนี้ แบ่งปันความรู้
และประสบการณ์ของเธอให้กับผม

ตลอดปีนั้น โรสได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยของเรา
และเธอนั้นจะเป็นเพื่อนได้กับทุกคนในทุกที่ที่เธอไป เธอรักที่จะแต่งตัวดีๆ
และดื่มด่ำอยู่กับความสนใจ ที่นักศึกษาคนอื่นๆ มีให้กับเธอ เธอได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่
เมื่อถึงตอนสิ้นสุดภาคการศึกษา เราได้เชิญโรสให้มาพูดที่งานเลี้ยงของทีมฟุตบอลของเรา
ผมไม่เคยลืมเลยว่า เธอได้สอนอะไรให้กับเรา

พิธีกรแนะนำตัวเธอ และเธอก็เดินขึ้นมาที่แท่น

ตอนที่เธอกำลังเตรียมตัวที่จะพูดตามที่เธอตั้งใจนั้น เธอทำการ์ดที่บันทึกเรื่องที่เธอจะพูดตกพื้น
เธอทั้งอาย ทั้งประหม่า แต่เธอโน้มตัวเข้าหาไมโครโฟนแล้วบอกว่า

ขอโทษด้วยนะ ที่ฉันซุ่มซ่าม ฉันเลิกกินเบียร์มาตั้งนานแล้ว แต่วิสกี้พวกนี้มันแรงจริงๆ
ฉันคงจะเอาบทของฉันมาเรียงใหม่ไม่ทันแล้ว
งั้นฉันก็คงได้แค่บอกเรื่องที่ฉันรู้ให้กับพวกคุณก็แล้วกัน'

พวกเราทุกคนหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ตอนที่เธอเริ่มต้นว่า

พวกเราทุกคนนั้น ไม่ได้หยุดเล่นเพราะเราแก่หรอก แต่เราแก่เพราะว่าเราหยุดเล่น
ที่จริงแล้วมีเคล็ดลับสู่การที่จะยังหนุ่มสาวอยู่เสมอมีความสุข
และประสบความสำเร็จอยู่ 4 ประการ

1) พวกคุณจะต้องหัวเราะ และมีเรื่องสนุกๆ ขำขันทุกวัน

2) พวกคุณจะต้องมีความฝัน เมื่อไรก็ตามที่คุณสูญเสีย ความฝันของคุณไป คุณจะตาย
มีคนมากมายที่ยังเดินไป เดินมาอยู่ทั้งๆ ที่ตายไปแล้วและไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายไปแล้ว

3) การที่คุณ 'แก่ขึ้น' กับ 'เติบโตขึ้น' นั้นมันต่างกันมาก ถ้าคุณอายุสิบเก้า
แล้วนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ ปีหนึ่ง และไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ตลอดทั้งปี คุณก็จะอายุยี่สิบ
ถ้าฉันอายุแปดสิบเจ็ด แล้วนอนเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยตลอดทั้งปี ฉันก็จะอายุ แปดสิบแปด
ทุกๆ คนนั้นจะแก่ขึ้น ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องอาศัยความสามารถอะไรเลย
ประเด็นของการ เติบโตขึ้น นั้นอยู่ที่การแสวงหาโอกาสในการเปลี่ยนแปลง

4) อย่าทิ้งอะไรไว้ให้เสียใจภายหลัง คนสูงอายุส่วนใหญ่นั้น ไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว
แต่มักจะเสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ คนที่กลัวความตายนั้น มีแต่คนที่ยังมีสิ่งที่ต้องเสียใจค้างอยู่ '

เธอจบการพูดของ เธอด้วยการร้องเพลง 'The Rose' อย่างกล้าหาญ
และเธอได้แนะให้พวกเราทุกคนศึกษาเนื้อร้องของเพลงนั้นและเอาความหมายเหล่านั้น
มาใช้กับชีวิตประจำวันของพวกเรา

เมื่อสิ้นปีการศึกษานั้น โรสได้รับปริญญาที่เธอได้เริ่มฝันไว้เมื่อนานมาแล้ว
หนึ่งสัปดาห์หลังจบการศึกษา โรสจากไปอย่างสงบ
เธอนอนหลับไปและไม่ตื่นขึ้นอีกเลย

นักศึกษากว่าสองพันคนไปร่วมพิธีศพของเธอ เพื่อแสดงความเคารพ ต่อหญิงชราผู้วิเศษ
ผู้ได้สอนให้พวกเขาได้รู้ ด้วยการทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า
ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเป็นทุกสิ่งที่คุณสามารถเป็นได้

จงจำไว้ว่า
'การแก่ขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การเติบโตขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้
เราอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เราได้รับ แต่เราจะมีชีวิตอยู่เพราะสิ่งที่เราให้ไป'


หน้า:  1 ... 45 46 [47] 48 49 ... 51
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.272 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 25 กุมภาพันธ์ 2567 11:37:26