[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ห้องสมุด => ข้อความที่เริ่มโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 22:06:56



หัวข้อ: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 22:06:56
(http://www.dhammajak.net/board/files/_1_963.jpg)

พระโคตมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

สิทธัตถะโคตม หรือ พระโคตมพุทธเจ้า
หรือ พระพุทธเจ้า เป็นพระบรมศาสดาของพระพุทธศาสนา เป็นผู้สั่งสอนพระธรรมวินัย


ขอบคุณข้อมูลจาก..คุณสายลม...คุณสาวิกาน้อย..ลานธรรมจักรดอทคอม |,-l*|
ขอบคุณภาพประกอบจาก....http://books-under-bed.blogspot.com/2011/01/1.html.... (http://books-under-bed.blogspot.com/2011/01/1.html....)ขอบคุณค่ะ >.i|


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 22:08:07
(http://www.dhammajak.net/board/files/_3_762.jpg)

เทพเจ้าทุกชั้นฟ้าชุมนุมกันอัญเชิญเทพบุตรโพธิสัตว์
ให้จุติมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

เมื่อพระเวสสันดรโพธิสัตว์สวรรคตแล้ว เสด็จไปอุบัติเป็น สันดุสิตเทพบุตร ในสวรรค์ชั้นดุสิต
เมื่อก่อนพุทธกาลเล็กน้อย เทวดาทุกสวรรค์ชั้นฟ้ามาประชุมปรึกษากันว่า ใครจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ต่างก็เล็งว่าพระโพธิสัตว์สถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จึงพากันไปทูลเชิญให้จุติลงมาโปรดสัตว์โลก
เพื่อให้สมกับพระปณิธานที่ตั้งใจไว้ว่า ทรงบำเพ็ญบารมีมาในชาติใดๆ ก็มิได้ทรงมุ่งหวังสมบัติอันใด นอกจากความเป็นพระพุทธเจ้า


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 22:08:48
(http://www.dhammajak.net/board/files/_4_353.jpg)

พระนางสิริมหามายาทรงสุบินนิมิต

ตอนที่พระโพธิสัตว์เจ้า ซึ่งต่อมาคือเจ้าชายสิทธัตถะ หรือพระพุทธเจ้า กำลังเสด็จจากสวรรค์ชั้นดุสิตเพื่อเสด็จเข้าสู่พระครรภ์พระมารดา
วันที่เสด็จลงมาบังเกิดนั้น ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘
ซึ่งเป็นเวลาที่พระเจ้าสุทโธทนะ พระราชบิดา กับพระนางสิริมหามายา พระราชมารดา ได้อภิเษกสมรสไม่นาน

คืนวันเดียวกันนั้น พระนางสิริมหามายา กำลังบรรทมหลับสนิทในพระแท่นที่บรรทมแล้ว ทรงสุบินนิมิตว่า
พระนางไปอยู่ในป่าหิมพานต์ ได้มีช้างเชือกหนึ่งลงมาจากยอดเขาสูง เข้ามาหาพระนาง ปฐมสมโพธิพรรณนาเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ว่า

“มีเศวตหัตถีช้างหนึ่ง...ชูงวงอันจับ บุณฑริกปทุมชาติสีขาวเพิ่งบานใหม่ มีเสาวคนธ์หอมฟุ้งตรลบแล้วร้องโกญจนาทเข้ามาในกนกวิมาน
 แล้วกระทำประทักษิณพระองค์อันบรรทมถ้วนสามรอบ แล้วเหมือนดุจเข้าไปในอุทรประเทศ ฝ่ายทักษิณปรัศว์แห่งพระราชเทวี...”


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 22:10:31
(http://www.dhammajak.net/board/files/_5_222.jpg)

พอประสูติจากพระครรภ์พระมารดา
ณ ป่าลุมพินีวัน ก็ทรงดำเนินได้ ๗ ก้าว

ซึ่งพอประสูติจากพระครรภ์พระมารดา ทารกที่เห็นนั้นคือ เจ้าชายสิทธัตถะ หรือพระพุทธเจ้า
ในเวลาต่อมา  ก็ทรงพระดำเนินด้วยพระบาทไปได้ ๗ ก้าว
พร้อมกับทรงยกพระหัตถ์ขวา และเปล่งพระวาจา เบื้องใต้พระบาทมีดอกบัวรองรับ
พระวาจาที่ทรงเปล่งออกมานั้น กวีท่านแต่งไว้เป็นภาษาบาลี แปลถอดใจความเป็นภาษาไทยได้ว่า
“เราจะเป็นคนเก่งที่สุดในโลกคนหนึ่ง ซึ่งจะหาผู้ใดเสมอเหมือนไม่มี
ชาติที่เกิดนี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราจะไม่ได้เกิดต่อไปในเบื้องหน้าอีกแล้ว”


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 22:11:27
(http://www.dhammajak.net/board/files/_7_308.jpg)

อสิตดาบสมาเยี่ยม เห็นพระกุมาร
ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะก็ถวายบังคม

ภายหลังพระนางสิริมหามายาประสูติพระโอรสระหว่างทางที่สวนลุมพินี จนเสด็จกลับเข้าเมือง
 “อสิตดาบส” หรือเรียกว่า “กาฬเทวินดาบส”  ผู้ที่มุ่นมวยผมเป็นชฎา  มาเยี่ยม แลเห็นพระกุมาร จึงยกมือขึ้นถวายบังคม
ท่านดาบสผู้นี้บวชเป็นฤาษีอยู่ข้างป่าหิมพานต์ หรือที่ทุกวันนี้เรียกว่าเขาหิมาลัยนั่นเอง
ท่านเป็นที่เคารพนับถือของพระเจ้าสุทโธทนะและของราชตระกูลนี้ และเป็นผู้ที่คุ้นเคยด้วย


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 22:15:34
(http://www.dhammajak.net/board/files/_6_146.jpg)

พราหมณาจารย์รับพระลักษณะสมโภชพระกุมาร
ถวายพระนามว่าพระสิทธัตถะ

ภายหลังเจ้าชายราชกุมารผู้พระราชโอรสประสูติได้ ๕ วันแล้ว
พระเจ้าสุทโธทนะ พระราชบิดาได้โปรดให้มีการประชุมใหญ่ ผู้เข้าประชุมมีพระญาติวงศ์
ทั้งฝ่ายพระราชบิดาและฝ่ายพระราชมารดา มุขอำมาตย์ ราชมนตรี และพราหมณ์ผู้รอบรู้ไตรเวท
เพื่อทำพิธีมงคลแก่พระราชกุมาร ๒ อย่าง คือ ขนานพระนาม และพยากรณ์พระลักษณะ
ผู้ทำพิธีมงคลในการนี้ คือ พราหมณ์ มีทั้งหมด ๑๐๘ แต่พราหมณ์ผู้ทำหน้าที่นี้จริงๆ มีเพียง ๘ นอกนั้นมาในฐานะคล้ายพระอันดับ

พราหมณ์ทั้ง ๘ ก็พยากรณ์พระลักษณะ คำพยากรณ์แตกความเห็นเป็น ๒ กลุ่ม มีความเห็นเป็นเงื่อนไขในคำพยากรณ์ว่า
ถ้าเจ้าชายนี้เสด็จอยู่ครองราชสมบัติ จักได้ทรงเป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงมีพระบรมเดชานุภาพมาก
แต่ถ้าเสด็จออกทรงผนวช จักได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นศาสดาเอกของโลก

มีพราหมณ์หนุ่มอายุเยาว์คนเดียวที่พยากรณ์เป็นมติเดียวโดยไม่มีเงื่อนไขว่า
พระราชกุมารนี้จักเสด็จทรงผนวช และได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน
พราหมณ์ผู้นี้ต่อมา ได้เป็นหัวหน้าพระปัญจวัคคีย์ ออกบวชตามเสด็จพระพุทธเจ้า
และได้เป็นพระอรหันตสาวกองค์แรกที่รู้จักกันในนามว่า “พระอัญญาโกณทัญญะ” นั่นเอง
ที่เหลืออีก ๗ ไม่ได้ตามเสด็จออกบวช เพราะชรามาก อยู่ไม่ทันสมัยพระพุทธเจ้าเสด็จออกทรงผนวช


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 22:21:59
(http://www.dhammajak.net/board/files/_8_163.jpg)

ทรงบรรลุปฐมฌานตั้งแต่ทรงพระเยาว์
ขณะประทับใต้ร่มหว้าในพิธีแรกนาขวัญ

ขณะเจ้าชายสิทธัตถะโคตมะมีพระชนมายุ ๗ ปี พระราชบิดาตรัสให้ขุดสระโบกขรณี ๓ สระ
ภายในพระราชนิเวศน์ ให้เป็นที่สำราญพระทัยพระโอรส สระโบกขรณี
คือ สระที่ปลูกดอกบัวไว้ในสระ แล้วพระราชทานเครื่องทรง คือ จันทน์สำหรับทาผ้าโพกพระเศียร
ฉลองพระองค์ผ้าทรงสะพัก พระภูษาทั้งหมดเป็นของมีชื่อมาจากเมืองกาสีทั้งนั้น

เหตุที่เจ้าชายมาประทับอยู่ใต้ต้นหว้าแห่งนี้ ก็เพราะพระราชบิดาทรงจัดให้มีพระราชพิธีพระนังคัลแรกนาขวัญ
ที่ทุ่งนานอกเมืองกบิลพัสดุ์ ตามพระราชประเพณี พระราชบิดาซึ่งเสด็จแรกนาด้วยพระองค์เอง
และทรงเป็นพระยาแรกนาเสียเอง ได้โปรดให้เชิญเสด็จเจ้าชายตามไปด้วย
เจ้าชายทรงบรรลุปฐมฌานตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ขณะประทับใต้ร่มหว้าในพิธีแรกนาขวัญ
ต้น“ชมพูพฤกษ์” เราเรียกว่า “ต้นหว้า” นั่นเอง


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 22:22:46
(http://www.dhammajak.net/board/files/_9_150.jpg)

ทรงประลองศิลปศาสตร์ยกศรอันหนัก
ดีดสายศรเสียงสนั่นกระหึ่มเมือง

พอเจ้าชายสิทธัตถะทรงมีพระชนมายุพอสมควรแล้ว
พระราชบิดาจึงทรงส่งไปศึกษาศิลปวิทยาที่สำนักครูที่มีชื่อว่า “วิศวามิตร”
เจ้าชายทรงศึกษาการใช้อาวุธยิงธนู และการปกครองได้ว่องไวจนสิ้นความรู้ของอาจารย์

เจ้าชายสิทธัตถะทรงมีพระชนมายุได้ ๑๖ ปีแล้ว และทรงศึกษาศิลปวิทยาจบแล้ว
พระราชบิดาจึงตรัสสั่งให้ สร้างปราสาท ๓ ฤดู เป็นจำนวน ๓ หลัง
ให้ประทับเป็นที่สำราญพระทัย ปราสาทหลังที่หนึ่งเหมาะสำหรับประทับในฤดูหนาว
หลังที่สองสำหรับฤดูร้อน และหลังที่สามสำหรับประทับในฤดูฝน


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 22:24:07
(http://www.dhammajak.net/board/files/_10_248.jpg)

เสด็จประพาสสวน ทรงเห็นเทวทูต ๔
คือคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และบรรพชิต

ต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความรู้สึกในพระทัยเช่นนั้น
อยู่ที่ทรงเห็นสิ่งที่เรียกว่า เทวฑูตทั้ง ๔ ระหว่างทางในวันเสด็จประพาสพระราชอุทยานนอกเมืองด้วยรถม้าพระที่นั่ง
พร้อมด้วยสารถีคนขับ เทวฑูตทั้ง ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช

ขณะทรงเห็นคนแก่ “มีเกศาอันหงอก แลสีข้างก็คดค้อม กายนั้นง้อมเงื้อมไปในเบื้องหน้า
มือถือไม้เท้าเดินมาในระหว่างมรรควิถี มีอาการอันไหวหวั่นสั่นไปทั่วทั้งกาย ควรจะสังเวช...”


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 22:27:34
(http://www.dhammajak.net/board/files/_2_652.jpg)

พระราชบิดาทรงอภิเษกสมรส
เจ้าชายสิทธัตถะกับพระนางพิมพายโสธรา


พระญาติวงศ์ของพระพุทธเจ้านั้นมี ๒ ฝ่าย
คือ ฝ่ายพระราชมารดาและฝ่ายพระราชบิดา ทั้งสองฝ่ายอยู่คนละเมือง มีแม่น้ำโรหิณีไหลผ่านเป็นเขตกั้นพรมแดน
พระญาติวงศ์ฝ่ายพระราชมารดามีชื่อว่า “โกลิยวงศ์” ครองเมืองเทวทหะ
พระญาติวงศ์ฝ่ายพระราชบิดามีชื่อว่า “ศากยวงศ์” ครองเมืองกบิลพัสดุ์

ทั้งสองนครนี้เกี่ยวดองเป็นพระญาติกัน มีความรักกันฉันพี่น้องร่วมสายโลหิต ต่างอภิเษกสมรสกันและกันเสมอมา
ในสมัยพระพุทธเจ้า ผู้ทรงอยู่ในฐานะประมุขครองเมืองเทวทหะ คือ พระเจ้าสุปปพุทธะ
ส่วนผู้ครองเมืองกบิลพัสดุ์ก็เป็นที่ทราบอยู่แล้ว คือ พระเจ้าสุทโธทนะ

พระชายาของพระเจ้าสุปปพุทธะ มีพระนามว่า พระนางอมิตา เป็นกนิษฐภคินี คือน้องสาวคนเล็กของพระเจ้าสุทโธทนะ
กลับกันคือ พระชายาของพระเจ้าสุทโธทนะ หรือพระราชมารดาของพระพุทธเจ้า มีพระนามว่า พระนางสิริมหามายา พระนางเป็นน้องสาวของพระเจ้าสุปปพุทธะ
ทั้งสองทรงอภิเษกสมรสกับพระภคินีของกันและกัน พระเจ้าสุปปพุทธะมีพระราชโอรสและพระราชธิดา
อันเกิดกับพระนางอมิตา ๒ พระองค์ พระราชโอรส คือ เจ้าชายเทวทัต พระราชธิดา คือ พระนางพิมพายโสธรา


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 22:28:13
(http://www.dhammajak.net/board/files/_11_774.jpg)

เจ้าชายสิทธัตถะกับพระนางพิมพายโสธรา

พระนางพิมพายโสธรา เป็นผู้หนึ่งในจำนวน ๗ สหชาติของพระพุทธเจ้า

สหชาติ คือ สิ่งที่เกิดพร้อมกันกับวันที่พระพุทธเจ้าเกิด ๗ สหชาติ


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 22:29:05
(http://www.dhammajak.net/board/files/_12_943.jpg)

ตื่นบรรทมกลางดึกเห็นสาวสนมกรมใน นอนระเกะระกะ ระอาพระทัยใคร่ผนวช

มุหุตหนึ่งคือครู่หนึ่ง เจ้าชายตื่นบรรทมแล้วก็ทรงเห็นอาการวิปลาสของนางบำเรอ ที่นอนหลับไม่สำรวม
ปฐมสมโพธิพรรณาไว้ว่า “แลนางบางจำพวกก็นอนกลิ้งเกลือก มีเขฬะ (น้ำลาย) อันหลั่งไหล นางบางเหล่าก็นอนกรนสำเนียงดังเสียงกา
นางบางหมู่ก็นอนเคี้ยวทนต์ นางบางพวกก็นอนละเมอเพ้อฝันจำนรรจาต่างๆ บางหมู่ก็นอนโอษฐ์อ้าอาการวิปลาส
บางเหล่านางก็นอนมีกายเปลือยปราศจากวัตถา สำแดงที่สัมพาธฐานให้ปรากฏ...”

เจ้าชายเสด็จจากพระแท่นที่บรรทม เสด็จลุกขึ้นทอดพระเนตรภายในปราสาทที่ประทับ แม้จะสว่างรุ่งเรืองด้วยดวงประทีป และงามตระการด้วยเครื่องประดับ
แต่ทรงเห็นเป็นที่มืด และทรงเห็นเป็นดุจป่าช้าผีดิบ สิ่งที่มีชีวิตที่ยังหายใจได้ที่กำลังนอนระเนระนาดปราศจากอาการสำรวม
คือ นางบำเรอปรากฏแก่พระองค์เป็นซากศพผีดิบในสุสาน จึงออกพระโอษฐ์ลำพังพระองค์ว่า “อาตมาจะออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ในสมัยราตรีนี้”
แล้วเสด็จไปยังพระทวารปราสาท และตรัสเรียกมหาดเล็กเฝ้าพระทวารว่า “ใครอยู่ที่นั่น”


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 22:47:42
(http://www.dhammajak.net/board/files/_13_132.jpg)

เสด็จไปเยี่ยมพระนางพิมพา
ซึ่งกำลังบรรทมหลับสนิท เป็นนิมิตรอำลาผนวช

เจ้าชายผู้ทรงตัดสินพระทัยแน่วแน่แล้วว่าจะเสด็จออกบวช เสด็จไปยังห้องบรรทมของพระนางพิมพายโสธราผู้ชายาก่อน
เมื่อเสด็จไปถึง ทรงเผยบานพระทวารออก ทรงเห็นพระชายากำลังหลับสนิท พระนางทอดพระพระกรไว้เหนือเศียรราหุล โอรสผู้เพิ่งประสูติ
พระองค์ทรงเกิดความเสน่หาอาลัยในพระชายา และพระโอรสที่เพิ่งได้ทอดพระเนตรเห็นเป็นครั้งแรกอย่างหนัก

ทรงหมายพระทัยว่า “จะทรงยกพระหัตถ์นางผู้ชนนี จะอุ้มเอาองค์โอรส...” ก็ทรงเกรงพระนางจะตื่นบรรทม และจะเป็นอุปสรรคแก่การเสด็จออกบวช
จึงข่มพระทัยเสียได้ว่าอย่าเลย เมื่อได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า “จะกลับมาทัศนาการพระพักตร์พระลูกแก้วเมื่อภายหลัง”
แล้วเสด็จออกจากที่นั้น ลงจากปราสาทไปยังที่ที่นายฉันนะเตรียมผูกม้าไว้เรียบร้อยแล้ว


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 22:48:49
(http://www.dhammajak.net/board/files/_14_929.jpg)

ทรงปลุกนายฉันนะให้ผูกม้ากัณฐกะ เพื่อประทับเป็นพาหนะเสด็จออกบรรพชา

ม้าพระที่นั่งที่เจ้าชายเสด็จขึ้นทรง เพื่อเสด็จออกบวชครั้งนี้ มีชื่อว่า “กัณฐกะ” เป็นสหชาติ คือ เกิดวันเดียวกับเจ้าชาย
หนังสือปฐมสมโพธิบอกส่วนยาวของม้านี้ไว้ว่า “ยาวตั้งแต่คอจดท้ายมีประมาณ ๑๘ ศอก สีขาวบริสุทธิ์ดุจสังข์อันขัดใหม่ ศีรษะนั้นดำดุจสีแห่งกา
มีเกศาในมุขประเทศ (หน้า) ขาวผ่องดุจไส้หญ้าปล้องงามสะอาด  กอปรด้วยพหลกำลังมาก แลยืนประดิษฐานอยู่บนแท่นแก้วมณี”

จากนั้นก็เสด็จขึ้นหลังกัณฐกะ บ่ายพระพักตร์ออกไปทางประตูเมืองที่ชื่อ “พระยาบาลทวาร” โดยมีนายฉันนะมหาดเล็กตามเสด็จไปข้างหลัง
วันที่เสด็จออกบวชนั้น เป็นวันเพ็ญเดือน ๘  “พระจันทร์แจ่มในท่ามกลางคัคนาดลประเทศ (ท้องฟ้า) ปราศจากเมฆ
จักรวาลขาวผ่องโอภาสด้วยนิศากรรังสี” นิศากรรังสี คือ แสงจันทร์ในวันเพ็ญ


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 22:49:43
(http://www.dhammajak.net/board/files/_15_569.jpg)

ทรงตัดพระโมลีถือเพศบรรพชาที่ฝั่งน้ำอโนมานที
ฆฏิการพรหมถวายอัฏฐบริขาร

ทรงพาม้าและมหาดเล็กข้ามแม่น้ำ แล้วเสด็จลงจากหลังม้าประทับนั่งบนหาดทราย อันขาวดุจแผ่นเงิน
พระหัตถ์ขวาจับพระขรรค์แสงดาบ พระหัตถ์ซ้ายจับพระจุฬา คือ ยอดหรือปลายพระเกศา กับพระโมฬี คือ มุ่นพระเกศา หรือผมที่มุ่นเป็นมวย
แล้วทรงตัดด้วยพระขรรค์แสงดาบเหลือพระเกศาไว้ยาวประมาณ ๒ นิ้ว เป็นวงกลมเวียนไปทางขวา

เสร็จแล้วทรงเปลื้องพระภูษาทรงออก แล้วทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ที่ฆฏิการพรหมนำมาถวาย พร้อมด้วยเครื่องบริขารอย่างอื่นของนักบวช
แล้วทรงอธิษฐานเพศเป็นนักบวชที่บนหาดทราย ริมฝั่งแม่น้ำอโนมานั่นเอง

ทรงมอบพระภูษาทรง และม้าพระที่นั่งให้นายฉันนะนำกลับไปกราบทูลแจ้งข่าวแก่พระราชบิดาให้ทรงทราบ
นายฉันนะมีความอาลัยรักองค์ผู้เป็นเจ้านาย ถึงร้องไห้กลิ้งเกลือกแทบพระบาทไม่อยากกลับไป แต่ขัดรับสั่งไม่ได้ ด้วยเกรงพระอาญา

เจ้าชายหรือตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หนังสือพุทธประวัติเรียกว่า “พระมหาบุรุษ” ทรงลูบหลังม้าที่กำลังจะจากพระองค์กลับเมือง ม้าน้ำตาไหลอาบหน้า
แล้วแลบชิวหาออกเลียพื้นฝ่าพระบาทของพระองค์ผู้เคยทรงเป็นเจ้าของ

ทั้งม้าทั้งคนคือนายฉันนะน้ำตาอาบหน้า ข้ามน้ำกลับมาเมือง แต่พอลับพระเนตรพระมหาบุรุษ ม้ากัณฐกะก็หัวใจแตกออก ๗ ภาค หรือหัวใจวายตาย
นายฉันนะจึงปลดเครื่องม้าออก แล้วนำดอกไม้ป่ามาบูชาศพพญาสินธพ แล้วฉันนะก็หอบพระภูษาทรงและเครื่องม้าเดินร้องไห้กลับเมืองคนเดียว


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 22:51:13
(http://www.dhammajak.net/board/files/_16_130.jpg)

พระอินทร์ดีดพิณถวายข้ออุปมา พระมหาบุรุษทรงเลิกบำเพ็ญทุกกรกิริยา
พวกปัญจวัคคีย์พากันละทิ้งหน้าที่อุปัฏฐากหนี

พระมหาบุรุษบำเพ็ญทุกกรกิริยา เหล่าปัญจวัคคีย์ ทั้ง ๕  ตามเสด็จมาเพื่อเฝ้าอุปัฏฐาก
พระมหาบุรุษทรงทดลองดูทุกอย่าง จนถึงงดเสวยเลย แทบสิ้นพระชนม์ พระกายซูบผอม

พระอินทร์ดีดพิณถวายข้ออุปมา พอทรงเห็น แลได้ยินเช่นนั้น พระมหาบุรุษจึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกกรกิริยา
ซึ่งเป็นความเพียรทางกาย แล้วเริ่มกลับเสวยอาหารเพื่อบำเพ็ญความเพียรทางใจ
พวกปัญจวัคคีย์ก็เกิดเสื่อมศรัทธา ว่าพระมหาบุรุษคลายความเพียรเสียแล้ว เลยพากันละทิ้งหน้าที่อุปัฏฐากหนีไป


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 22:52:33
(http://www.dhammajak.net/board/files/_17_166.jpg)

เช้าวันตรัสรู้ นางสุชาดากับทาสี
มาถวายข้าวมธุปายาส โดยสำคัญว่าเป็นเทวดา

นับตั้งแต่พระมหาบุรุษเสด็จออกบวชเป็นต้นมาจนถึงวันที่เห็นอยู่ในภาพนี้ เป็นเวลาย่างเข้าปีที่ ๖
เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ก่อนพระพุทธเจ้านิพพาน ๔๕ ปี

นางสุชาดา ธิดาของคหบดีผู้หนึ่งในหมู่บ้าน ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม นางหุงข้าวมธุปายาส
คือข้าวที่หุงด้วยนมโคล้วน เป็นอาหารจำพวกมังสวิรัติ ไม่ปนเนื้อ ไม่เจือปลา ใช้สำหรับบวงสรวงเทพเจ้าโดยเฉพาะ

หุงเสร็จแล้ว นางสุชาดาสั่งให้นางทาสีหญิงรับใช้ไปทำความสะอาดปัดกวาดบริเวณต้นไทร นางทาสีไปแล้วกลับมารายงานว่า
เวลานี้รุกขเทพเจ้าที่จะรับเครื่องสังเวยได้สำแดงกายให้ปรากฏ นั่งรออยู่ที่โคนต้นไทรแล้ว นางสุชาดาดีใจเป็นกำลัง
จึงยกถาดข้าวมธุปายาสขึ้นทูนหัวเดินมาที่ต้นไทรพร้อมกับนางทาสี ก็ได้เห็นจริงอย่างนางทาสีเล่า นางจึงน้อมถาดข้าวมธุปายาสเข้าไปถวาย

พระมหาบุรุษทรงรับแล้วทอดพระเนตรดูนางสุชาดา นางทราบพระอาการกิริยาว่า พระมหาบุรุษไม่มีบาตรหรือภาชนะอย่างอื่นรับอาหาร
นางจึงกล่าวคำมอบถวายข้าวมธุปายาสพร้อมทั้งถาดนั้นถวายเสร็จแล้วเดินกลับบ้านด้วยความยินดี และด้วยความสำคัญหมายว่า พระมหาบุรุษนั้นเป็นรุกขเทพเจ้า


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 22:55:11
(http://www.dhammajak.net/board/files/_18_563.jpg)

ทรงลอยถาด ถาดจมลงไปกระทบกับถาดเดิม ๓ ใบ
พญานาคก็รู้ว่า พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้

เมื่อนางสุชาดากลับไปบ้านแล้ว พระมหาบุรุษเสด็จลุกขึ้นจากอาสนะ ทรงถือถาดทองข้าวมธุปายาส
เสด็จไปยังริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เสด็จลงสรงน้ำ แล้วขึ้นมาประทับนั่งริมฝั่ง ทรงปั้นข้าวมธุปายาสออกเป็นปั้น รวมได้ ๔๙ ปั้น แล้วเสวยจนหมด
ปฐมสมโพธิว่า “เป็นอาหารที่คุ้มไปได้ ๗ วัน ๗ หน”

เสร็จแล้วทรงลอยถาดและทรงอธิษฐานว่า
ถ้าจะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ขอให้ถาดจงลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไปไกลถึง ๘๐ ศอก
ไปจนถึงวังน้ำวนแห่งหนึ่ง ถาดนั้นจึงจมดิ่งหายไปจนถึงพิภพของกาฬนาคราช กระทบกับถาดสามใบของพระพุทธเจ้าในอดีตสามพระองค์เสียงดังกริ๊ก

พระพุทธเจ้าในอดีตสามพระองค์นั้น คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมน์ และพระกัสสปะ พระมหาบุรุษกำลังจะเป็นองค์ที่ ๔

กาฬนาคราชหลับมาตั่งแต่สมัยพระพุทธเจ้าในอดีต จะตื่นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงถาด พอได้ยิน ก็รู้ได้ว่าพระพุทธเจ้าองค์ใหม่เกิดในโลกแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงถาดของพระมหาบุรุษ ก็ลุกขึ้นมาไหว้พระพุทธเจ้าเกิดใหม่ แล้วก็หลับต่อไปอีก


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 22:56:04
(http://www.dhammajak.net/board/files/_20_161.jpg)

ทรงลาดหญ้าประทับเป็นโพธิบัลลังก์
ตกเย็นพระยามารก็กรีฑาพลมาขับไล่

เหตุการณ์ “มารผจญ” เกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนตรัสรู้ไม่กี่ชั่วยาม
พระอาทิตย์กำลังอัสดงลงลับทิวไม้
สัตว์สี่เท้าที่กำลังจะใช้งาทิ่มแทงพระมหาบุรุษนั้นมีชื่อว่า “นาราคีรีเมขล์”
เป็นช้างทรงของพระยาวัสสวดีมารซึ่งเป็นจอมทัพ
“นางสุนธรีวนิดา”ปรากฏขึ้นในขณะที่กำลังบีบมวยผม คือ “พระนางธรณี”

พระยามารยกพวกมามืดฟ้ามัวดิน มาทั้งบนเวหา บนดิน และใต้บาดาล
ขนาดเทพเจ้าที่มาเฝ้ารักษาพระมหาบุรุษต่างเผ่นหนีกลับวิมานกันหมดเพราะเกรงกลัวมาร
ครั้งนี้เมื่อแพ้แล้วก็ใช้เล่ห์ คือ กล่าวตู่พระมหาบุรุษว่ามายึดเอา “โพธิบัลลังก์” คือตรงที่พระมหาบุรุษประทับนั่ง
ซึ่งพระยามารอ้างว่าเป็นที่ของตน ยกพวกพ้องขึ้นเป็นพยานบุคคลของตน
ฝ่ายพระมหาบุรุษทรงมองหาใครเป็นพยานไม่ได้ เทพเจ้าเล่าก็เปิดหนีกันหมด
จึงทรงเหยียดพระหัตถ์ขวาออกจากชายจีวร แล้วทรงชี้พระดัชนีลงยังพื้นพระธรณี พระนางธรณีจึงผุดขึ้นเพื่อเป็นพยาน


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 22:57:12
(http://www.dhammajak.net/board/files/_19_114.jpg)

แม่พระธรณีบิดพระเกศา เกิดเป็นสมุทรธารา
พระยามารก็พ่ายแพ้แก่พระบารมี

“พระธรณีก็มิอาจดำรงกายอยู่ได้...ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้นปฐพี...”
แล้วกล่าวเป็นพยานพระมหาบุรุษ พร้อมกับบีบน้ำออกจากมวยผม น้ำนั้นคือสิ่งที่เรียกว่า “ทักษิโณทก”
อันได้แก่ น้ำที่พระมหาบุรุษทรงกรวดทุกครั้งที่ทรงบำเพ็ญบุญบารมีแต่ชาติปางก่อนเป็นลำดับมา

ซึ่งแม่พระธรณีเก็บไว้ที่มวยผม เมื่อนางบีบก็หลั่งไหลออกมา
“เป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศทั้งปวง ประดุจห้วงมหาสาครสมุทร...
หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำ ปลาสนาการไปสิ้น
ส่วนคิรีเมขลคชินทร ที่นั่งทรงองค์พระยาวัสสวดี ก็มีบาทาอันพลาด มิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้
ก็ลอยตามชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร...พระยามารก็พ่ายแพ้ไปในที่สุด”

บารมีนั้นคือความดี พระมหาบุรุษท่านทรงรำพึงว่า ชีวิต ดวงหทัย นัยน์เนตรที่ท่านทรงบริจาคให้เป็นกุศลผลทานมาก่อนนั้น
ถ้าจะเก็บรวมไว้ก็จะมากกว่าผลาผลไม้ในป่า มากกว่าดวงดาราในท้องฟ้า

"..ความดีที่ทำไว้นั้นไม่หนีไปไหน ถึงใครไม่เห็น ฟ้าดินก็เห็น ดินคือแม่พระธรณี.."


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 22:58:58
(http://www.dhammajak.net/board/files/_21_187.jpg)

พอรุ่งอรุณก็ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
เทวดาฝ่ายฟ้อนร่อนรำถวายเป็นพุทธบูชา

เมื่อพระมหาบุรุษทรงชนะมารแล้วนั้น พระอาทิตย์กำลังจะอัสดง ราตรีเริ่มย่างเข้ามา
พระมหาบุรุษยังคงประทับนั่งไม่หวั่นไหวที่โพธิบัลลังก์ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์
ทรงเริ่มบำเพ็ญสมาธิให้เกิดในพระทัยด้วยวิธีที่เรียกว่า เข้าฌาน แล้วทรงบรรลุญาณ

ทรงบรรลุญาณทั้งสามของพระมหาบุรุษนั้นเรียกว่า ตรัสรู้ความเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งเกิดขึ้นในคืนวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖
หลังจากนั้น พระนามว่า สิทธัตถะก็ดี พระโพธิสัตว์ก็ดี ที่เกิดใหม่ตอนก่อนตรัสรู้ว่าพระมหาบุรุษก็ดี
ได้กลายเป็นพระนามในอดีตหนหลัง เพราะตั้งแต่นี้ต่อไปทรงมีพระนามใหม่ว่า “อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า”
 แปลว่า พระผู้ตรัสรู้ธรรมเครื่องหลุดพ้นจากกิเลสโดยชอบด้วยพระองค์เอง

ทวยเทพต่างบรรเลงดนตรีสวรรค์ ร่ายรำ ขับร้อง แซ่ซ้องถวายเป็นพุทธบูชาและกล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณกันทั่วหน้า


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 22:59:45
(http://www.dhammajak.net/board/files/_23_171.jpg)

เสด็จประทับโคนต้นไทร
สามธิดามารมาประโลมล่อให้หลง ก็ไม่ทรงยินดี

พระยามารให้ธิดาทั้งสามนางเปลื้องภูษาอาภรณ์ทรงออก ด้วยกลทางกามารมณ์ต่างๆ เข้าไปประเล้าประโลมพระพุทธเจ้า
แต่พระพุทธเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์สิ้นเชิงแล้วไม่ทรงแสดงพระอาการผิดปกติ แม้แต่ลืมพระเนตรแลมอง
ด้วยพระพุทธเจ้าอยู่ห่างไกลจากกิเลสดังกล่าวมาโดยสิ้นเชิงนั่นเอง


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 23:00:57
(http://www.dhammajak.net/board/files/_22_206.jpg)

ย้ายไปประทับโคนไม้จิก ฝนตกพรำ
พญานาคมาขดขนดปกพระกายกำบังฝน

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับอยู่ที่นี่ ฝนเจือลมหนาวตกพรำตลอดเจ็ดวันไม่ขาดสาย
พญานาคชื่อ “มุจลินทร์” ขึ้นจากสระน้ำที่อยู่ในบริเวณแห่งเดียวกันนี้ เข้าไปวงขนด ๗ รอบ
แล้วแผ่พังพานปกพระพุทธเจ้าเพื่อป้องกันลมฝนมิให้พัด และสาดกระเซ็นมาต้องพระวรกาย
ครั้นฝนหาย ฟ้าสาง พญานาคจึงคลาดขนดออก
แล้วจำแลงแปลงเป็นเพศมาณพ ยืนเฝ้าพระพุทธเจ้าทางเบื้องพระพักตร์

(พระพุทธรูปปางนาคปรก สร้างขึ้นตามความเชื่อถือทางเมตตา)


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 23:01:39
(http://www.dhammajak.net/board/files/_24_159.jpg)

ทรงอุปมานิสัยเวไนยสัตว์ เปรียบด้วยดอกบัว ๔ เหล่า

พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม
หลังจากทรงพิจารณาดูอัธยาศัยของของคนในโลก
แล้วทรงเห็นความแตกต่างแห่งระดับสติปัญญาของคนถึง ๔ ระดับ หรือ ๔ จำพวก

จำพวกที่หนึ่ง เหมือนดอกบัวเปี่ยมน้ำ พอได้รับแสงอาทิตย์ก็บาน
จำพวกที่สอง เหมือนดอกบัวใต้น้ำ ที่จะโผล่พ้นน้ำ และที่จะบานในวันรุ่งขึ้น
จำพวกที่สาม เหมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำลึกลงไปหน่อย ซึ่งจะแก่กล้าขึ้นมาบานในวันต่อๆ ไป
จำพวกที่สี่ เหมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำลึกลงไปมาก ถึงขนาดไม่อาจขึ้นมาบานได้ เพราะตกเป็นภักษาของปลาและเต่าเสียก่อน

ครั้นแล้วพระพุทธเจ้าทรงพิจารณาถึงบุคคลที่พระองค์จะเสด็จไปโปรด
ทรงมองเห็นภาพของดาบสทั้งสองที่พระองค์เคยเสด็จไปทรงศึกษาอยู่ด้วย แต่ทั้งสองนั้นก็สิ้นชีพเสียแล้ว
ทรงเห็นเบญจวัคคีย์ว่ายังมีชีวิตอยู่ จึงทรงตั้งพระทัยเสด็จไปโปรดเบญจวัคคีย์เป็นอันดับแรก


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 23:02:20
(http://www.dhammajak.net/board/files/_25_187.jpg)

สำแดงปฐมเทศนาธัมมจักรกัปปวัตนสูตร
โปรดเบญจวัคคีย์ ให้ได้ดวงตาเห็นธรรม

พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมครั้งแรกนี้ว่า “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” หรือเรียกโดยย่อว่า ธรรมจักร
โดยเปรียบเทียบการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าครั้งนี้ว่า เหมือนพระเจ้าจักรพรรดิทรงขับจักรหรือรถศึกแผ่พระบรมเดชานุภาพ
ต่างแต่จักรหรือรถศึกของพระพุทธเจ้าเป็นธรรม หรือธรรมจักร

พอแสดงธรรมกัณฑ์นี้จบลง โกณฑัญญะ ผู้หัวหน้าเบญจวัคคีย์ได้เกิดดวงตาเห็นธรรม คือ ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน
พระพุทธเจ้าจึงเปล่งอุทานด้วยความเบิกบานพระทัย เมื่อเห็นโกณฑัญญะได้ฟังธรรมแล้วสำเร็จมรรคผลที่แม้จะเป็นขั้นต่ำ
“อัญญาสิ วตโก โกณฑัญโญ ฯลฯ” แปลว่า “โอ ! โกณฑัญญะได้รู้แล้ว ได้สำเร็จแล้ว”
ตั้งแต่นั้นมาท่านโกณฑัญญะจึงมีคำหน้าชื่อเพิ่มขึ้นว่า “อัญญาโกณฑัญญะ”

โกณฑัญญะฟังธรรมจบแล้ว ได้ทูลขอบวชเป็นพระภิกษุ
พระพุทธเจ้าจึงทรงประทานอนุญาตให้ท่านบวช ด้วยพระดำรัสรับรองเพียงว่า
“เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด”
พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่าน
ส่วนอีก ๔ ที่เหลือนอกนั้น ต่อมาได้สำเร็จและได้บวชเช่นเดียวกับพระโกณฑัญญะ

วันที่พระพุทธเจ้ากำลังทรงแสดงธรรม “ปฐมเทศนา” เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘
เป็นรุ่งขึ้นหลังจากเสด็จมาถึงและพบเบญจวัคคีย์ คือ วันอาสาฬหบูชา นั่นเอง



หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 23:03:22
(http://www.dhammajak.net/board/files/_26_402.jpg)

พระพุทธองค์ทรงประทานโอวาทปาฏิโมกข์
แก่พระอรหันต์สงฆ์ในวันเพ็ญมาฆบูชา

ภายหลัง พระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร บวชแล้วไม่นาน พระพุทธเจ้าได้ทรงประชุมพระสาวกขึ้นใน วันเพ็ญกลางเดือนสาม
ที่พระเวฬุวนาราม เมืองราชคฤห์ โดยมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธาน การประชุมพระสาวกครั้งนี้ ผู้นับถือศาสนาพุทธในสมัยก่อน
ต่อมาเห็นเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญมาก จึงกำหนดถือวันนี้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง ที่เรียกกันอยู่ทุกวันนี้ว่า “วันมาฆบูชา”

การประชุมพระสาวกของพระพุทธเจ้าครั้งนี้ แปลกกว่าทุกคราวที่มีอยู่ในสมัยพุทธกาล คือ พระสาวกมีจำนวน ๑,๒๕๐ รูป
แต่ละรูป แต่ละองค์ล้วนบวชกับพระพุทธเจ้า มีพระอุปัชฌาย์องค์เดียวกัน คือ พระพุทธเจ้า ล้วนเป็นพระอรหันต์ ต่างมาประชุมโดยไม่ได้นัดหมาย
และพระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ในที่ประชุม การประชุมพระสาวกครั้งนี้จึงเรียกอีกอย่างหนึ่ง ตามลักษณะแปลก ๔ ประการนี้ว่า “จาตุรงคสันนิบาต”

ในเวลานั้น กรุงราชคฤห์เป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นี่
บรรดาพระสาวกแยกย้ายกันออกไปประกาศพระศาสนาต่างได้ทราบว่า เวลานั้นพระพุทธเจ้ากำลังเสด็จประทับอยู่ที่กรุงราชคฤห์
เมื่อเสร็จกิจประกาศพระศาสนาจึงต่างจาริกมาเฝ้า เมื่อมาพร้อมหน้ามากตั้งพันกว่า พระพุทธเจ้าจึงประชุมพระสาวกแสดงโอวาทปาติโมกข์

“โอวาทปาติโมกข์” คือ หลักการโดยสรุปของศาสนาพุทธ มีทั้งหลักคำสอนและหลักการปกครองคณะสงฆ์ มีทั้งหมด ๑๓ ข้อด้วยกัน
เป็นพระวินัยพุทธบัญญัติทั้งหมด ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้น


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 23:04:12
(http://www.dhammajak.net/board/files/_27_114.jpg)

เสด็จไปโปรดพระญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์
พระญาติผู้ใหญ่ถือว่าสูงอายุไม่ถวายบังคม

เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบว่าขณะนั้น พระพุทธเจ้าเสด็จประทับเพื่อประกาศพระศาสนาอยู่ในแคว้นมคธ
ด้วยพระทัยปรารถนาที่จะได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ทรงอยู่ในฐานะหนึ่ง คือ พระราชโอรส พระเจ้าสุทโธทนะจึงส่งคณะฑูตไปทูลอาราธนา
ทุกคณะที่ส่งไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมแล้วสำเร็จอรหันต์ ทั้ง ๙ คณะ มีจำนวนถึงพันคน
แต่ยังไม่มีท่านใดได้กลับมาทูลรายงานให้พระเจ้าสุทโธทนะได้ทราบ

พระเจ้าสุทโธทนะจึงทรงส่งคณะอำมาตย์ เป็นคณะที่ ๑๐ ไปอีก
มี “กาฬุทายี” เป็นหัวหน้า ซึ่งเป็นผู้ที่คุ้นเคยและเป็นสหชาติ คือ เกิดวันเดียวกับพระพุทธเจ้า
ก่อนออกเดินทางไปทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า กาฬุทายีทูลขอลาบวช
เมื่อบวชแล้วจะทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้เสด็จมายังกรุงกบิลพัสดุ์ให้จงได้ พระเจ้าสุทโธทนะทรงอนุมัติ

ภายหลังเมื่อกาฬุทายี ได้ฟังธรรมจนสำเร็จอรหันต์ ได้ขอบวชเป็นพระสาวกพร้อมทั้งบริวารที่ติดตามไปแล้ว
บังคมทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์  พระพุทธเจ้าทรงรับคำทูลอาราธนา

จึงเสด็จพร้อมด้วยพระสาวก  ๒ หมื่นรูป ขณะนั้นเป็นหน้าแล้ง ย่างเข้าหน้าฝน
เสด็จออกเดินทางเป็นเวลาสองเดือน จึงถึงกรุงกบิลพัสดุ์
แล้ว เสด็จเข้าประทับในอารามของเจ้าศากยะผู้หนึ่ง ซึ่งชื่อว่า “นิโครธ”
ซึ่งพวกเจ้าศากยะพระญาติจัดถวายให้เป็นที่ประทับ อารามในที่นี้ไม่ใช่วัด แต่เป็นสวน เป็นอุทยานอยู่นอกเมือง
พวกพระประยูรญาติรวมทั้งพระเจ้าสุทโธทนะ ได้พากันมารับเสด็จและเฝ้าพระพุทธเจ้าที่อารามแห่งนี้

เจ้าศากยะ พระญาติวงศ์ของพระพุทธเจ้าที่เป็นชั้นผู้ใหญ่ ต่างถือองค์ว่าเป็นพระญาติผู้ใหญ่
มีพระชนม์สูงกว่าพระพุทธเจ้า ซึ่งขณะนั้นเพียง ๓๖ ปีกว่าๆ จึงไม่ถวายอภิวาทบังคม
แต่ส่งเจ้าชายเจ้าหญิงศากยะเยาว์วัยกว่าพระพุทธเจ้า ออกไปอยู่แถวหน้า ให้ไหว้พระพุทธเจ้าแทน
ส่วนพวกตนอยู่แถวหลังไม่ยอมไหว้

ด้วยเหตุดังกล่าวพระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ในอากาศ แล้วโปรยละอองธุลีพระบาทลงเหนือศีรษะของบรรดาเจ้าศากยะ

พระเจ้าสุทโธทนะซึ่งเสด็จมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ทรงเห็นเหตุอัศจรรย์เช่นนั้น จึงทรงประนมพระหัตถ์อภิวาทพระพุทธเจ้า
ฝ่ายพระประยูรญาติทั้งปวงในที่นั้นก็ต่างสิ้นทิฐิมานะ แล้วถวายอภิวาทพระพุทธเจ้าพร้อมกันทั่วทุกองค์

“ในทันใดนั่นเอง มหาเมฆใหญ่ได้ตั้งเค้าขึ้นมา แล้วหลั่งสายฝนลงมาห่าใหญ่ ฝนนั้นเรียกว่า ‘โบกขรพรรษ’ มีสีแดง
ผู้ใดปรารถนาหรือประสงค์ให้เปียก ย่อมเปียก ไม่ปรารถนาให้เปียก ก็ไม่เปียก โดยเม็ดฝนจะกลิ้งหล่นจากกายเหมือนหยาดน้ำกลิ้งจากใบบัว”

หมาบความว่า "พระญาติทุกพระองค์จากกันกับพระพุทธเจ้าเป็นเวลาช้านาน มาได้เห็นกันเข้า ก็ชื่นบาน เหมือนได้รับน้ำฝนชุ่มฉ่ำหฤทัย"


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 23:05:01
(http://www.dhammajak.net/board/files/_28_325.jpg)

พระพิมพาพิลาปรำพันถึงพระพุทธองค์
เสด็จพุทธดำเนินไปโปรดถึงในปราสาท

พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระนางพิมพานี้ เป็นวันเดียวกับที่เสด็จไปทรงภัตตาหารในพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธบิดา
มีพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ สองอัครสาวกตามเสด็จพระพุทธเจ้ามาในการนี้

พระนางพิมพาทรงเศร้าโศกเสียพระทัย ด้วยเข้าพระทัยว่า พระนางถูกพระพุทธเจ้าทรงทอดทิ้ง ความเสียพระทัยมีมาก
พระนางเสด็จดำเนินมาเองไม่ได้ ต้องจูงและประคองมา พอมาถึงที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่
พระนางก็ล้มฟุบลง กลิ้งเกลือกพระเศียรลงเหนือพระบาทพระพุทธเจ้า แล้วพิลาปรำพันกันแสงแทบสิ้นสมปฤดี

พระพุทธเจ้าทรงรำลึกถึงความดีของพระนางพิมพาว่า
เป็นสตรีที่จงรักภักดี ทรงซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระองค์มาหลายภพหลายชาติ
พระนางก็เป็นคู่ทุกข์คู่ยากผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์ตลอดมา

แล้วพระพุทธเจ้าตรัสชาดกอีกเป็นอันมากให้พระพุทธบิดา และพระนางพิมพาฟัง
พระนางฟังแล้ว ทรงสร่างโศกและคลายความเสียพระทัย
ทรงเกิดปีติโสมนัสในพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมจบลง
พระนางพิมพายโสธรา ก็ได้ทรงบรรลุพระโสดาบัน หรือโสดาปัตติผล


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 23:06:05
(http://www.dhammajak.net/board/files/_29_155.jpg)

ทรงมอบสมบัติพระนิพพานแก่พระราหุล
โดยให้บรรพชาเป็นสามเณรองค์แรก

เมื่อราหุลติดตามพระพุทธเจ้าไปถึงนิโครธาราม เพื่อทูลขอรัชทายาท และกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่าสิ่งที่ราหุลขอนั้นเป็นสมบัติทางโลกไม่ยั่งยืน เต็มไปด้วยความทุกข์ในการปกปักรักษา
ไม่เหมือนอริยทรัพย์ คือ ธรรมะที่พระองค์ได้ตรัสรู้มา ทรงพระพุทธดำริว่า “จำเราจะให้ทายาทแห่งโลกุตตระแก่ราหุล”

พระพุทธเจ้าตรัสเรียกพระสารีบุตรมา แล้วรับสั่งให้พระสารีบุตรเป็นอุปัชฌาย์ทำหน้าที่บวชสามเณรให้ราหุล
ราหุลจึงเป็นสามเณรองค์แรกในทางพระพุทธศาสนา (เมื่ออายุครบบวช ต่อมาได้บวชเป็นพระภิกษุและได้สำเร็จอรหันต์)

พระเจ้าสุทโธทนะไม่อาจทรงระงับความทุกข์โทมนัสครั้งนี้ได้ จึงเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่นิโครธาราม
แล้วทูลขอร้องพระพุทธเจ้าว่า ถ้าพระคุณเจ้ารูปใดจะบวชลูกหลานชาวบ้าน ก็ได้โปรดให้พ่อแม่เขาได้อนุญาตให้ก่อน
เพราะถ้าไม่อย่างนั้นจะทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้เป็นพ่อแม่มาก ดุจที่พระองค์ได้รับเมื่อราหุลบวชในคราวนี้

พระพุทธเจ้าทรงรับตามที่พระเจ้าสุทโธทนะทรงขอร้อง
จึงทรงบัญญัติพระวินัยไว้เป็นธรรมเนียมสืบมาจนทุกวันนี้ว่า
ถ้าใครจะบวช ไม่ว่าจะบวชเป็นพระหรือบวชเป็นสามเณร ต้องได้รับอนุญาตจากพ่อแม่ผู้ปกครองก่อน
ธรรมเนียมกุลบุตรผู้จะบวชที่ถือพานดอกไม้เที่ยวกราบลาพ่อแม่ผู้ปกครอง
ตลอดจนญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือทุกวันนี้ จึงเกิดจากกรณีดังกล่าวนี้



หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 23:06:51
(http://www.dhammajak.net/board/files/_30_113.jpg)

ทรงพาพระนันทะไปชมนางฟ้า
พระนันทะใคร่จะได้เป็นชายา ทรงรับรองจะให้สมหวัง

ต่อมาพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์จำนวนมากได้เสด็จไปยังกรุงสาวัตถีแห่งแคว้นโกศล
ซึ่งเป็นเมืองและแคว้นใหญ่พอๆ กับกรุงราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ พระนันทะก็ได้ติดตามเสด็จไปด้วย

แต่ตลอดเวลานับตั้งแต่บวชแล้วเป็นต้นมา พระนันทะไม่เป็นอันปฏิบัติกิจของสมณะ ใจให้รุ่มร้อนคิดจะลาสึกอยู่ท่าเดียว
เพราะความคิดถึงนางชนบทกัลยาณี เจ้าสาวคู่หมั้นซึ่งกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กับตน

ท่านพระนันทะอึดอัดระอาเกลียดชังด้วยวาทะว่า เป็นลูกจ้าง และด้วยวาทะว่า เป็นผู้อันพระผู้มีพระภาคทรงไถ่มาของพวกภิกษุผู้เป็นสหาย
จึงหลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว อยู่ไม่นานนักก็กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม
ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
ดูกรนันทะ เมื่อใดแล จิตของเธอหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่น เมื่อนั้นเราพ้นแล้วจากการรับรองนี้
ภิกษุใดข้ามเปือกตมคือกามได้แล้ว ย่ำยีหนามคือกามได้แล้ว
ภิกษุนั้นบรรลุถึงความสิ้นโมหะ ย่อมไม่หวั่นไหวในเพราะสุขและทุกข์

พระนันทะพยายามจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์อีกรูปหนึ่งในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลายเช่นกัน


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 23:08:06
(http://www.dhammajak.net/board/files/_31_111.jpg)

พระพุทธบิดาประชวร เสด็จโปรด
กระทั่งสำเร็จพระอรหันต์แล้วนิพพาน

พระพุทธเจ้าจึงรับสั่งพระอานนท์ให้แจ้งข่าวพระสงฆ์ ถึงเรื่องที่พระองค์จะเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์อีกวาระหนึ่ง

ธรรมเนียมการเสด็จจาริกทางไกลของพระพุทธเจ้ามีอยู่อย่างหนึ่งคือ ก่อนเสด็จจะรับสั่งพระสงฆ์ที่อยู่ใกล้ชิดให้บอกข่าวพระสงฆ์ทั้งมวลว่า
พระพุทธเจ้าจะเสด็จทางไกล ที่นั่น ที่นี่ เวลานั้น เวลานี้ พระสงฆ์รูปใดจะตามเสด็จก็จะได้เตรียมข้าวของอัฐบริขารไว้พร้อม

การเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ของพระพุทธเจ้าเพื่อทรงเยี่ยมพุทธบิดาที่กำลังทรงประชวรครั้งนี้ ดูเหมือนจะเป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อเสด็จถึงกรุงกบิลพัสดุ์ ได้เสด็จเข้าเยี่ยมพุทธบิดาซึ่งมีพระอาการเพียบหนักแล้ว
ทรงแสดงธรรมโปรดพุทธบิดาด้วยเรื่องความเป็นอนิจจังของสังขาร
พระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าครั้งนี้ไว้ตอนหนึ่งว่า
“ดูกรบพิตร อันว่าชีวิตแห่งมนุษย์ทั้งหลายนี้น้อยนักดำรงอยู่ โดยพลันบ่มิได้ยั่งยืนอยู่ช้า ครุวนาดุจสายฟ้าแลบอันปรากฏมิได้นาน...”

พระเจ้าสุทโธทนะซึ่งทรงสำเร็จอนาคามิผลอยู่ก่อนแล้ว ได้สดับพระธรรมเทศนาตั้งแต่ต้นจนจบ
ก็ได้สำเร็จอรหันต์ในบั้นปลายแห่งพระชนม์ชีพ หลังจากนั้นอีก ๗ วันก็สิ้นพระชนม์ (ปรินิพพาน)

พระพุทธเจ้าเสด็จสรงน้ำพระศพพุทธบิดา และถวายพระเพลิง
พร้อมด้วยพระสงฆ์ พระประยูรญาติ ชาวศากยะทั้งมวลจนเสร็จสิ้น


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 23:09:09
(http://www.dhammajak.net/board/files/_32_138.jpg)

เสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
เพื่อโปรดพระพุทธมารดา

พระพุทธเจ้าเสด็จประทับจำพรรษาที่โคนต้นปาริฉัตร หรือต้นทองหลาง
ที่พระแท่นแผ่นหิน ปูลาดด้วยผ้ากัมพลสีแดง เรียกว่า “บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์”

พระอินทร์จอมเทพทรงป่าวประกาศหมู่เทพยดาในสรวงสวรรค์
ให้มาร่วมชุมนุมเพื่อฟังธรรมเทศนาขององค์พระพุทธเจ้า 
เสียงป่าวประกาศก้องไปหมื่นโยชน์ จนตลอดถึงหมื่นจักรวาล

แม้พระนางสิริมหามายา พระพุทธมารดา
ซึ่งทรงอยู่ในเพศเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิต ก็ได้เสด็จมาฟังธรรมพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทรงแสดงอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดาตลอดพรรษา
พระพุทธมารดาได้สดับแล้วทรงบรรลุโสดาปัตติผลในที่สุด
ส่วนเทพนอกนั้นอีกจำนวนมากได้บรรลุมรรคผลตามสมควรอุปนิสัยแห่งตน


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 23:10:08
(http://www.dhammajak.net/board/files/_33_186.jpg)

ถึงวันมหาปวารณา เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
โดยบันไดแก้ว บันไดทอง บันไดเงิน

พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก หลังเสด็จจำพรรษาบนสวรรค์ เพื่อแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดาแล้ว
วันที่เสด็จลงคือ วันออกพรรษา เมืองที่เสด็จลงคือเมืองสังกัสนคร เสด็จลงตรงประตูเมือง พระบาทแรกที่ทรงเหยียบพื้นโลกนั้น
ต่อมาได้กลายเป็นสถานที่ระลึกเรียกว่า “อจลเจดีย์” เรียกอย่างไทยเราก็ว่า “รอยพระพุทธบาท”
ตามตำนานเป็นที่แห่งหนึ่งซึ่งมีรอยพระพุทธบาทปรากฏอยู่

นับแต่นั้นมาถือกันว่า วันออกพรรษาเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง จึงนิยมทำบุญตักบาตรกันในวันนี้
เพราะถือว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเคยเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรียกการตักบาตรนี้ว่า “ตักบาตรเทโว”
ย่อมาจาก “เทโวโรหณะ” แปลว่า ตักบาตรเนื่องในวันคล้ายวันพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลกนั่นเอง


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 23:10:53
(http://www.dhammajak.net/board/files/_34_149.jpg)

เช้าวันเพ็ญเดือน ๖ ทรงเสวยมังสะสุกรอ่อน
ที่บ้านนายจุนทะ นับเป็นปัจฉิมบิณฑบาต

เวลาเช้าวันรุ่งขึ้น นายจุนทะได้ถวายอาหารพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ที่บ้านของตน
อาหารอย่างหนึ่งที่นายจุนทะปรุงถวายพระพุทธเจ้าในวันนี้มีชื่อว่า “สูกรมัททวะ”
(แปลตามตัว สูกร-สุกร หรือหมู มัททวะ-อ่อน)

พระพุทธเจ้าตรัสบอกนายจุนทะให้จัดถวายสูกรมัททวะนั้น ถวายแต่เฉพาะพระองค์ ส่วนอาหารอย่างอื่นให้จัดถวายพระสงฆ์
และเมื่อพระพุทธเจ้าทรงฉันเสร็จแล้ว รับสั่งให้นายจุนทะ นำเอาสูกรมัททวะที่เหลือจากที่พระองค์ทรงฉันแล้วไปฝังเสียที่บ่อ
เพราะคนอื่นนอกจากพระองค์นั้นฉันแล้ว ร่างกายไม่อาจจะทำให้อาหารนั้นย่อยได้

เสร็จแล้วพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้นายจุนทะฟังเป็นที่ชื่นชม รื่นร่มในกุศลบุญจริยาของตน
แล้วทรงอำลานายจุนทะเสด็จต่อไปยังเมืองกุสินาราต่อไป


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 23:11:42
(http://www.dhammajak.net/board/files/_35_662.jpg)

ทรงยกพระธรรมวินัยไตรปิฎกเป็นศาสดา
ประทานปัจฉิมโอวาทแล้วปรินิพพาน

ก่อนเสด็จปรินิพพาน คือภายหลังทรงแสดงธรรมโปรดสุภัททะปริพาชกให้สำเร็จมรรคผลแล้ว
ตรัสประทานโอวาทเป็นพระพุทธดำรัสสั่งเป็นครั้งสุดท้าย
ทรงตรัสสั่งว่า พระที่มีอายุพรรษามากให้เรียกพระบวชภายหลังตน
หรือที่อ่อนอายุพรรษากว่าว่า “อาวุโส” หรือ “คุณ”
ส่วนพระภิกษุที่อ่อนอายุพรรษา พึงเรียกพระที่แก่อายุพรรษากว่าตนว่า “ภันเต” หรือ “ท่าน”

ครั้นแล้วทรงเปิดโอกาสให้พระสงฆ์ทั้งปวงทูลถาม ว่า
ท่านผู้ใดสงสัยอะไรในเรื่องที่พระองค์ทรงสั่งสอนไว้แล้ว ก็ให้ถามเสีย จะได้ไม่เสียใจเมื่อภายหลังว่าไม่มีโอกาสถาม
ในมหาปรินิพพานสูตรว่า ไม่มีพระสงฆ์องค์ใดทูลถามพระพุทธเจ้าในข้อสงสัยที่ตนมีอยู่เลย

เมื่อก่อนพระพุทธเจ้าจะเสด็จปรินิพพานนั้น
พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงตั้งพระสาวกองค์ใดให้รับตำแหน่งเป็นพระศาสดาปกครองพระสงฆ์สืบต่อจากพระองค์
เหมือนพระศาสดาในศาสนาอื่น เรื่องนี้ก็ไม่มีพระสงฆ์องค์ใดทูลถามพระพุทธเจ้า
แต่พระพุทธเจ้าก็ตรัสสั่งพระสงฆ์ไว้ชัดเจนก่อนจะปรินิพพานว่า
พระภิกษุรูปใดอย่าเข้าใจผิดว่า เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว ศาสนาพุทธหรือคำสั่งสอนของพระองค์จักไร้พระศาสดา

ตรัสบอกพระอานนท์ว่า “ดูก่อนอานนท์ ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่เราได้แสดงไว้ และบัญญัติไว้ด้วยดี
นั่นแหละจักเป็นพระศาสดาของพวกท่าน สืบแทนเราตถาคตเมื่อเราล่วงไปแล้ว”

ครั้นแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสเป็นปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายว่า
“ภิกษุทั้งหลาย ! บัดนี้เราขอเตือนพวกท่านให้รู้ว่า
สิ่งทั้งหลายที่เกิดมาในโลกมีความเสื่อมสลายเป็นธรรมดา
ท่านทั้งหลายจงทำหน้าที่อันเป็นประโยชน์แก่ตน
และคนอื่นให้สำเร็จบริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

หลังจากนั้นไม่ได้ตรัสอะไรอีกเลย
จนกระทั่งปรินิพพานในเวลาสุดท้ายของคืนวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖
หรือวันเพ็ญวิสาขะ ณ ภายใต้ต้นสาละคู่ที่ออกดอกบานสะพรั่งเป็นพุทธบูชานั่นเอง


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 28 กรกฎาคม 2554 23:13:20
http://www.youtube.com/v/eB0DToaaVwk?autoplay=1&loop=1

วันวิสาขบูชา
ปวงข้าพเจ้าทั้งหลาย เหล่าพุทธมามกะ
รำลึกถึงพระพุทธคุณอันประเสริฐ ของพระพุทธองค์นั้น
ปวงข้าพเจ้าทั้งหลายจักตั้งอยู่ในศีลแลธรรมของศาสนา
ขอนอบน้อมบูชา แด่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ
ด้วยพุทธานุภาพแห่งพระองค์
ขอปวงข้าพเจ้าทั้งหลาย ปราศจากทุกข์ พบสุขทั้งกายใจ
แลรู้แจ้งในธรรม และศีลเทอญ

ขอบคุณ MV จาก YouTube.


หัวข้อ: Re: ภาพวาดพุทธประวัติสวยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 29 กรกฎาคม 2554 08:54:59
เจริญพรโยมอาจารย์ขม

ขออานิสสงส์ผลบุญสำเร็จแด่โยมอาจารย์ขม และครอบครัว

บุญรักษา ธรรมะคุ้มครอง

เจริญพร