.สัปคับประดับมุก งานช่างล้านช้าง
เลขทะเบียน ๗
แบบศิลปะ/อายุสมัย ล้านช้าง พุทธศตวรรษที่ ๒๔
ชนิด งา หวาย ไม้ลงรักประดับมุก
ขนาด กว้าง ๘๐.๘ เซนติเมตร ยาว ๑๔๖.๒ เซนติเมตร สูง ๗๕.๔ เซนติเมตร
ประวัติ เป็นของเจ้าพระยาภูธราภัย (นุช บุณยรัตพันธุ์)
สถานที่เก็บรักษา พระที่นั่งภิมุขมณเฑียร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
สัปคับประดับมุก งานช่างล้านช้างสัปคับเป็นที่สำหรับนั่งผูกติดบนหลังช้าง พื้นสำหรับนั่งอยู่ในผังสี่เหลี่ยมผืนผ้าสานด้วยหวาย ลายเฉลวแปดเหลี่ยม มีพนักล้อมทั้งสี่ด้าน หย่องพนักด้านนอกประดับมุกลายแก้วชิงดวง พนักตอนบนโปร่งเป็นลูกกรงกลึงจากงาช้าง เสาพนักเป็นไม้ ประกอบงายอดกลึงเป็นหัวเม็ด เว้นพนักช่วงหนึ่งเป็นช่องสำหรับขึ้นนั่ง ตอนล่างของช่องประดับไม้จำหลักรูปมังกร ๒ ตัว หันหลังชนกัน ขอบรอบนอกพนักประดับกระจังที่ทำจากโลหะปิดทอง ส่วนขาของสัปคับมีโครงเป็นไม้รูปโค้งมีหวายสานประกอบ และตอนกลางของขาทั้งด้านหน้าและหลังมีแผ่นไม้ประดับมุกลายพันธุ์พฤกษา
ในหนังสือ อธิบายว่าด้วยหอพระสมุดวชิรญาณ แลพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร (พุทธศักราช ๒๔๗๐) ของราชบัณฑิตยสภา ได้กล่าวถึงประวัติของสัปคับประดับมุกหลังนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในราชยานต่างๆ ที่จัดแสดงในพระที่นั่งภิมุขมณเฑียร ว่า “๘.สัปคับมุกด์ (สันนิษฐานว่า เดิมเห็นจะเปนของเจ้าอนุเวียงจันท์) ปรากฏว่าเจ้าจันทรเทพประภาคุณ เจ้าเมืองมุกดาหาร (เปนหลานเจ้าอนุเวียงจันท์) ให้เจ้าพระยาภูธราภัย สมุหนายก ในรัชกาลที่ ๔ ใช้สำหรับเกียรติยศท่านมาจนตลอดอายุ” (ราชบัณฑิตยสภา,๒๔๗๐:หน้า ๒๑)
แต่ต่อมาในหนังสือ สมุดมัคคุเทศ นำเที่ยวหอพระสมุดและพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร (พุทธศักราช ๒๔๗๒) อธิบายแต่เพียงว่า “๑๐.สัปคับมุกด์ของเจ้าประเทศราช” (ราชบัณฑิตยสภา,๒๔๗๒: หน้า ๒๔) ทั้งนี้คงด้วยเหตุที่เมืองมุกดาหารในรัชกาลที่ ๔ มีสถานะเป็นเมืองประเทศราช เจ้าจันทรเทพสุริยวงศ์ (เจ้าหนู) จึงดำรงฐานะเจ้าประเทศราชด้วย
หากไม่ทราบประวัติเดิมมาก่อน หลายท่านคงคิดว่าเป็นงานศิลปกรรมของไทย แต่ถ้าพิจารณาจากประวัติที่ระบุว่าเป็นงานช่างล้านช้างแล้ว ส่วนประดับตกแต่งบางจุดก็แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของงานช่างเวียงจันทน์ที่แตกต่างกับงานศิลปกรรมไทยอีกด้วยภาพที่ ๒ รายละเอียดแผ่นไม้ประดับมุกลายพันธุ์พฤกษา ที่ตอนกลางของขาสัปคับ
ภาพที่ ๓ "ลายดอกกาละกับ" หน้าบันชั้นลด พระอุโบสถวัดสีสะเกด นครเวียงจันทน์
ภาพที่ ๔ "ลายดอกกาละกับ" หน้าบันชั้นลด หอไตรวัดทุ่งศรีเมือง อุบลราชธานี
ดอกกาละกับ ลวดลายเอกลักษณ์ของงานช่างเวียงจันทน์
แผ่นไม้ประดับมุกลายพันธุ์พฤกษาซึ่งประดับตอนกลางของส่วนขาของสัปคับทั้งด้านหน้าและหลังมีลักษณะพิเศษ คือ เป็นต้นไม้ที่ตอนปลายของทุกกิ่งมีดอกซึ่งมีใบขนาดเล็ก ๓ ใบอยู่ที่ส่วนบนของตัวดอก สำหรับส่วนตัวดอกมีรูปทรงคล้ายผลไม้ทรงกลมที่มีใบเลี้ยงหุ้มด้านข้าง และด้านล่างของดอกมีใบเลี้ยงขนาดเล็ก ๒ ใบ (ภาพที่ ๒)
ชาวลาวเรียกลายดอกไม้ชนิดนี้ว่า “ดอกกาละกับ” ที่วัดสีสะเกด นครเวียงจันทน์ พระอารามที่พระไชยเชษฐาธิราชที่ ๕ (เจ้าอนุวงศ์) ทรงสร้าง ได้ปรากฏลวดลายที่ใกล้เคียงกันนี้ประดับอยู่จำนวนมากทั้งที่หน้าบันของพระอุโบสถ และหน้าบันพระระเบียง และหากพิจารณาให้ดีจะพบว่าแผ่นไม้ประดับมุกนี้มีรูปนกแทรกอยู่ในภาพด้วย ซึ่งงานไม้แกะสลักที่วัดสีสะเกดก็ปรากฏรูปสัตว์ปีกในภาพสลักเช่นกัน (ภาพที่ ๓)
ดอกกาละกับเป็นลวดลายที่นิยมในแถบเวียงจันทน์ (หรือตอนกลางของสปป.ลาว) ต่างกับนครหลวงพระบางและตอนเหนือของลาว ที่จะนิยมลายก้านขดบัวเคือ (ก้านขดบัวเครือ) ลายดอกบัวบานที่เห็นไส้และเกสรดอกบัว หรือลายก้านขดดอกกะดันงา (ก้านขดดอกกระดังงา) มากกว่า
อนึ่ง ลายดอกกาละกับ ยังปรากฏในแถบเมืองอุบลราชธานีเป็นจำนวนมาก อาทิ หอพระพุทธบาท (อุโบสถ) และหอไตรวัดทุ่งศรีเมือง ทั้งนี้ จากประวัติวัดทุ่งศรีเมืองกล่าวกันว่า ญาครูช่าง ช่างพระชาวเวียงจันทน์ เป็นผู้อำนวยการก่อสร้างหอไตร (ดู ยุทธนาวรากร,๒๕๕๑: หน้า ๒๐-๒๒, และ ๕๒) (ภาพที่ ๔)ภาพที่ ๕ มังกรไม้จำหลักหันหลังชนกัน
ภาพที่ ๖ ภาพสลักมังกรที่แผงซุ้มไม้จำหลักในพระอุโบสถวัดสมณานัมบริหาร (วัดญวนสะพานขาว)
ภาพที่ ๗ ภาพถ่ายเก่าของราวเทียน (ฮาวไต้เทียน) วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร
(ที่มา :
Parmentier,1988; V.2 Planche XLIII.and fig115H)
มังกรแบบเวียดนาม
จุดที่น่าสังเกตอีกจุดหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่งานช่างที่คนไทยคุ้นเคย คือ ตอนล่างของช่องที่เว้นพนักซึ่งประดับไม้จำหลักรูปมังกร ๒ ตัว หันหลังชนกัน (ภาพที่ ๕)
มังกร ๒ ตัวนี้มีลักษณะที่แปลก กล่าวคือมีเครายาวเป็นแผงรอบศีรษะและขนเคราห้อยตกลงเบื้องล่าง มิได้ลู่ไปด้านหลังศีรษะอย่างมังกรจีนทั่วไป และเหนือศีรษะมีขนที่ซ้อนเป็นชั้นๆ ยาวขนานกับปาก มังกรที่มีขนคอเป็นแผงในลักษณะนี้ อาจเทียบเคียงกับภาพสลักมังกรที่แผงซุ้มไม้จำหลักในพระอุโบสถวัดสมณานัมบริหาร (วัดญวนสะพานขาว) (ภาพที่ ๖) แต่อย่างไรก็ดีมังกรที่วัดแห่งนี้ก็ไม่ปรากฏขนที่ซ้อนเป็นชั้นเหนือศีรษะ
ในงานศิลปกรรมล้านช้าง ปรากฏหลักฐานความนิยมผสมผสานอิทธิพลหรือแรงบันดาลใจจากศิลปะเวียดนาม จนเกิดเอกลักษณ์เฉพาะในศิลปะลาว ตัวอย่างที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ ราวเทียน (ฮาวไต้เทียน) ฉากไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจก รูปเขาสัตบริภัณฑ์ ปลายของราวเทียนประดับรูปมังกรขนาดใหญ่ (ภาพที่ ๗) ซึ่งสันนิษฐานว่าพระไชยเชษฐาธิราชที่ ๕ (เจ้าอนุวงศ์) สร้างถวายไว้ที่หอพระ วัดพระพนม ปัจจุบันชิ้นส่วนของมังกรนี้เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์รัตนโมลีศรีโคตรบูร วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร (ภาพที่ ๘)
ตามบันทึกของ เอเจียน แอมอนิเย นักสำรวจ ซึ่งเดินทางมาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างพุทธศักราช ๒๔๒๖-๒๔๒๗ ระบุถึงตำแหน่งที่ตั้งวิหารที่พระธาตุพนมซึ่งเจ้าอนุวงศ์ทรงสร้างว่า “ที่ด้านตะวันออกมีกุฏิของพระภิกษุสงฆ์ และวิหารเป็นจำนวนมาก เสาทำด้วยอิฐ หลังคามุงด้วยดินขอ วิหารหลังหนึ่งในจำนวนที่มีนั้น อ้างว่าสร้างโดยเจ้าอนุจากนครเวียงจันทน์ซึ่งพังทลายไปครึ่งหนึ่งแล้ว วิหารลงรักปิดทอง มีจิตรกรรมและประติมากรรมที่ประตูวิหารทั้ง ๓ ด้าน...” (แอมอนิเย,๒๕๓๙: หน้า ๑๔๙)
ทั้งนี้ ในพงศาวดารย่อเมืองเวียงจันทน์ได้ระบุถึงการฉลองหอพระ ที่พระธาตุพนมของเจ้าอนุวงศ์เมื่อพุทธศักราช ๒๓๕๕ ไว้ว่า “ศักราชได้ ๑๗๔ ตัวปีเตาสัน (วอก) เจ้ามหาชีวิตเวียงจันทน์ ลงมาฉลองหอพระในพระมหาธาตุ...” (กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์,๒๕๔๖: หน้า ๑๗๗) และอีกฉบับระบุว่า “ศักราชได้ ๑๗๕ ปีเต่าสัน เดือนเจียง (อ้าย) แรม ๔ ค่ำวันอังคาร เจ้าเวียงจันทน์ไปฉลองวัดธาตุ คืนมาเมื่อเดือนยี่ ขึ้นสามค่ำวันพฤหัสบดีฮอด (ถึง) มื้อ (วัน) นั้น...” (เรื่องเดียวกัน: หน้า ๑๘๑)
แม้ไม่มีหลักฐานเอกสารยืนยันแต่น่าเชื่อว่าฉากราวเทียนปิดทองประดับกระจกรูปเขาสัตบริภัณฑ์นี้คงเป็นหนึ่งในสิ่งของที่เจ้าอนุวงศ์ทรงสร้างถวายเป็นพุทธบูชาแก่วัดพระธาตุพนม ซึ่งอาจจะเป็นวัตถุชิ้นเดียวกับ “ลับแลญวน” ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงบันทึกไว้คราวเสด็จตรวจราชการมณฑลอีสาน พุทธศักราช ๒๔๔๙ ว่า เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๔๙ ได้ทอดพระเนตรพระธาตุพนม “...และมีลับแลญวนและของอื่นว่าเป็นของเจ้าอนุเวียงจันทน์ถวายไว้หลายอย่าง...” (ดำรงราชานุภาพ,๒๕๓๘: หน้า ๑๒๓) ด้วยก็เป็นได้
เจ้าพระยาภูธราภัย (นุช บุณยรัตพันธุ์) และเจ้าจันทรเทพสุริยวงศ์ (เจ้าหนู)
ตามประวัติของสัปคับประดับมุกนี้เป็นของเจ้าพระยาภูธราภัย (นุช บุณยรัตพันธุ์) ซึ่งดำรงตำแหน่งสมุหนายก ภายหลังจากที่เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อพุทธศักราช ๒๔๐๖ (ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี, ๒๕๔๘: หน้า ๑๙๗) ตำแหน่งของสมุหนายก อัครมหาเสนาบดีฝ่ายพลเรือน ซึ่งกำกับกรมมหาดไทย กรมที่ปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือ โดยที่เมืองมุกดาหารก็เป็นหนึ่งบรรดาเมืองเหล่านั้น ทั้งนี้ตามประวัติของท่านในสมัยรัชกาลที่ ๓ ขณะมีบรรดาศักดิ์ที่หลวงนายศักดิ์ นายเวรมหาดเล็ก ได้มีโอกาสไปราชการทัพเวียงจันทน์กับเจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) ผู้บิดา และเมื่อกลับจากราชการทัพ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนตำแหน่งยศเป็นพระสุริยภักดี เจ้ากรมตำรวจสนมทหารซ้าย (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕, ๒๔๒๑: หน้า ๗๖)
ส่วนเจ้าจันทรเทพสุริยวงศ์ (เจ้าหนู) เจ้าเมืองมุกดาหาร ระหว่างพุทธศักราช ๒๔๐๘-๒๔๑๒” เป็นโอรสของเจ้าอุปราช (ติสสะ) แห่งนครเวียงจันทน์ ซึ่งสวามิภักดิ์และรับพระราชทานดื่มน้ำพิพัฒนสัตยาต่อกรุงเทพฯ แล้วอพยพครอบครัวและไพร่พลเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลบางยี่ขัน บ้านสำหรับเจ้าเมืองเวียงจันทน์ลงมาพักแต่ก่อน (ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี, ๒๕๓๘: หน้า ๒๕ และ ๒๙-๓๐) นอกจากนี้เจ้าจันทรเทพสุริยวงศ์ยังมีศักดิ์เป็นลุงของเจ้าจอมมารดาดวงคำ ในรัชกาลที่ ๔ ด้วยเจ้านางท่อนแก้ว มารดาของเจ้าจอมมารดาดวงคำ เป็นธิดาของเจ้าอุปราช (ติสสะ) (ดู ยุทธนาวรากร, ๒๕๕๖: หน้า ๘๙-๙๑)ภาพที่ ๘ ชิ้นส่วนของมังกร พิพิธภัณฑ์รัตนโมลีศรีโคตรบูร
พุทธศักราช ๒๔๐๖ เจ้าหนูได้ดำรงตำแหน่งพระนครศรีบริรักษ์ เจ้าเมืองขอนแก่นถึงพุทธศักราช ๒๔๐๘ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ตั้งให้พระนครศรีบริรักษ์ (เจ้าหนู) เป็นเจ้าจันทรเทพสุริยวงศ์ ดำรงรัฐสีมามุกดาหาราธิบดี เจ้าเมืองมุกดาหาร พระราชทานเครื่องราชอิสริยยศเสมือนเจ้าเมืองประเทศราช (สุรจิตต์, ๒๕๔๓: หน้า ๑๖) และปรากฏธรรมเนียมการถวายต้นไม้เงินต้นไม้ทองโดยเริ่มถวายครั้งแรกในพุทธศักราช ๒๔๑๐ (เรื่องเดียวกัน: หน้า ๒๐) ต่อมาในต้นรัชกาลที่ ๕ กรมการเมืองมุกดาหารได้ฟ้องกล่าวโทษเจ้าจันทรเทพสุริยวงศ์ ว่าประพฤติตนไม่เหมาะสม เบียดบังเงินหลวงและเบียดเบียนข่มเหงราษฎรจนได้รับความเดือดร้อน สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และเจ้าพระยาภูธราภัย สมุหนายก ได้ปรึกษาเห็นพร้อมกันให้นำความขึ้นถวายบังคมทูลพระกรุณา ให้ถอดเจ้าจันทรเทพสุริยวงศ์ ออกจากตำแหน่งเมืองมุกดาหาร เมื่อพุทธศักราช ๒๔๑๒ (เรื่องเดียวกัน : หน้า ๒๐-๒๓)
อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏหลักฐานว่าเจ้าจันทรเทพสุริยวงศ์ได้มอบสัปคับหลังนี้แก่เจ้าพระยาภูธราภัยเมื่อใด แต่ทั้งนี้ควรจะเป็นช่วงเวลาหลังจากที่เจ้าพระยาภูธราภัยได้ดำรงตำแหน่งสมุหนายกแล้ว ในช่วงรัชกาลที่ ๔-๕
สรุป
จากลวดลายประดับมุกและมังกร เป็นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าสัปคับหลังนี้มิใช่งานช่างไทย แต่หากพิจารณาจากประวัติร่วมด้วยแล้วก็จะสันนิษฐานได้ว่าควรเป็นงานช่วงหลวงล้านช้าง สกุลช่างเวียงจันทน์ ดังนั้น งานประดับมุกที่เก็บรักษาในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ควรจะมีการทบทวนเสียใหม่ว่า มีงานประดับมุกชิ้นอื่นใดอีกบ้างที่เป็นงานช่างลาวเช่นเดียวกับสัปคับหลังนี้เรื่อง-ภาพ : "สัปคับประดับมุก งานช่างล้านช้าง" หนังสือศิลปากร, สำนักบริหารกลาง กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์, กรมศิลปากร จัดพิมพ์เผยแพร่