[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ตลาดสด => ข้อความที่เริ่มโดย: Compatable ที่ 09 มกราคม 2555 12:23:16



หัวข้อ: 10 อันดับงานวิจัยใต้สะดือแห่งปี 2011
เริ่มหัวข้อโดย: Compatable ที่ 09 มกราคม 2555 12:23:16
10 อันดับงานวิจัยใต้สะดือแห่งปี 2011

(http://images.thaiza.com/108/108_20081207145026..jpg)

เว็บไซต์ข่าววิทยาศาสตร์ชั้นนำของสหรัฐฯ จัดอันดับ 10 งานวิจัยใต้สะดือยอดเยี่ยมของปี 2011 มีทั้งเรื่องเซ็กส์ทอยที่ชาวสหรัฐฯ โปรดปราน ปลาหมึกที่มีเพศสัมพันธ์พิสดาร และใครจะรู้ล่ะว่าการนั่งสมาธิเพิ่มความสุขทางเพศรสได้ บางครั้งวิทยาศาสตร์ก็ลงไปแตะเรื่องใต้สะดือแล้วก้ได้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจออกมา ปีที่ผ่านมาก็เช่นกัน เมื่อมีนักวิจัยลงไปสำรวจเรื่องชวนให้ขวยเขินจำพวก การถึงจุดสุดยอดเร็วเกินไป, เซ็กส์ทอย, และการมีเพศสัมพันธ์กับสัตว์ ทั้ง 10 เรื่องต่อไปนี้ถูก Livescience จัดให้เป็น 10 อันดับงานวิจัยใต้สะดือประจำปี 2011
 
1.) ไม่ใช่เพียงผู้ชายเท่านั้นที่รู้สึกว่าตนถึงจุดสุดยอดเร็วเกินไป
 
จากงานวิจัยของวารสารเพศวิทยา Sexologies ฉบับเดือน ต.ค. 2011 การถึงจุดสุดยอดเร็วเกินไปเกิดในเพศหญิงมากกว่าที่คิด ในการสำรวจขั้นต้นจากกลุ่มตัวอย่างผู้หญิงชาวโปรตุเกส โดยโรงพยาบาลในโปรตุเกสเปิดเผยว่ามีผู้หญิงร้อยละ 14 ประสบกับปัญหาการถึงจุดสุดยอดไม่พึงปรารถนาก่อนเวลาอันควรอยู่บ่อยๆ ผู้หญิงกลุ่มนี้ไม่สามารถควบคุมการถึงจุดสุดยอดของตัวเองได้ และมักจะรู้สึกอึดอัดหากจะมีเพศสัมพันธ์ต่อ ทำให้คู่นอนรู้สึกไม่ดี นักวิจัยเผยว่าพวกเขาจะทำการวิจัยต่อยอดเพื่อศึกษาว่า การถึงจุดสุดยอดเร็วเกินไปในเพศหญิงนั้น จะถูกจัดเป็นความผิดปกติในการมีเพศสัมพันธ์เช่นเดียวกับการหลั่งเร็วในเพศชายได้หรือไม่
 
2.) ชาวอเมริกันโปรดปรานไวเบรเตอร์
 
เรื่องนี้อาจจะไม่น่าแปลกใจนัก ในปีที่ผ่านมามีการสำรวจพบว่าชาวอเมริกันดูจะชื่นชอบเซ็กส์ทอย อย่างน้อยก็ในกลุ่มผู้หญิง จากการสำรวจของสหรัฐฯ พบว่า กลุ่มตัวอย่างราวครึ่งหนึ่งเห็นด้วยกับประโยคที่ว่า "ไวเบรเตอร์ (เซ็กส์ทอยที่เป็นเครื่องระบบสั่น) เป็นส่วนหนึ่งของวิธีทางเพศของผู้หญิงที่ดีต่อสุขภาพ" เปรียบเทียบกับร้อยละ 10 ของกลุ่มตัวอย่างที่มองประโยคนี้ในแง่ลบ รวมถึงผู้มีความเชื่อที่ว่าการใช้ไวเบรเตอร์เป็นการดูถูกคู่นอนของพวกเธอ
ก่อนหน้านี้คณะผู้วิจัยทีมเดียวกันเคยสำรวจพบว่า มีกลุ่มตัวอย่างผู้หญิงร้อยละ 53 และผู้ชายร้อยละ 45 เคยใช้ไวเบรเตอร์มาก่อน และพบความเกี่ยวข้องระหว่างการใช้ไวเบรเตอร์กับความพึงพอใจทางเพศ
 
3.) การทำสมาธิช่วยเพิ่มความสุขทางเพศรส
 
เรื่องนี้เป็นเรื่องเซ็กส์ในเหล่าสตรีเพศอีกแล้ว งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งในเดือน พ.ย. ปีที่ผ่านมาพบว่า ผู้หญิงที่ "ทำสมาธิวิปัสสนา" จะมีร่างกายที่ไวต่อการตอบสนองสิ่งเร้าทางเพศเช่น รูปอิโรติก มากขึ้น นักวิจัยรายงานในวารสารเวชศาสตร์กายจิต (Psychosomatic Medicine) ว่า การทำสมาธิที่เน้นให้คนอยู่กับปัจจุบันขณะ จะช่วยยับยั้งความวิตกกังวลและความรู้สึกไม่ปลอดภัยที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์ได้
 
4.) มนุษย์โบราณก็มีการผสมข้ามพันธุ์
 
ก่อนหน้านี้ในปี 2010 เคยมีข่าวการสำรวจพบว่า มนุษย์เผ่าพวกเราและนีแอนเดอทาล เคยมีความสัมพันธ์กัน แต่ในปี 2011 มีการสำรวจไปไกลกว่านั้น เมื่อมีการค้นพบในเดือน มิ.ย. ว่า นักวิจัยค้นพบหลักฐานทางดีเอนเอ ที่บอกว่ามนุษย์ยุคปัจจุบันมีชิ้นส่วนของพันธุกรรมนีแอนเดอทาลอยู่ร้อยละ 9 ยกเว้นในทวีปแอฟริกา นั่นหมายความว่า การทดลองมีเพศสัมพันธุ์กันข้ามเผ่าพันธุ์จนเกิดการผสมยีนส์กันน่าจะเกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่มนุษย์เราอพยพออกจากทวีปแอฟริกา
 
และในทวีปเอเชียเมื่อ 23,000 ถึง 45,000 ปีที่แล้ว มนุษย์เราก็มีความใกล้ชิดกับมนุษย์พันธุ์เดนีโซวาน ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ที่แตกแขนงเผ่าพันธุ์มาจากเครือญาตินีแอนเดอทาล
 
อีกนัยหนึ่ง การมีเพศสัมพันธ์ข้ามพันธุ์อาจจะเกี่ยวเนื่องกับการคุมกำเนิดด้วยก็ได้ เมื่องานวิจัยในเดือน ก.ย. 2011 เผยว่าการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างมนุษย์กับนีแอนเดอทาลจะมีโอกาสเกิดลูกเพียงร้อยละ 2 เท่านั้น
 
5.) วัยรุ่นคิดว่าออรัลเซ็กส์ มีความเสี่ยงน้อยกว่า
 
แม้จะมีหลักฐานชี้ว่าการทำออรัลเซ็กส์ (การทำรักด้วยปาก) มีความเสี่ยงบางส่วนต่อมะเร็งหู คอ จมูก แต่วัยรุ่นก็คิดว่าการออรัลเซ็กส์มีความเสี่ยงน้อยกว่าการสอดใส่ทางช่องคลอดหรือทวารหนัก ในเดือน ก.พ. 2011 มีการนำเสนองานวิจัยในที่ประชุมประจำปีของสมาคมเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์แห่งอเมริกา (American Association for the Advancement of Science) ซึ่งเปิดเผยว่า มีวัยรุ่นร้อยละ 14 คิดว่าการทำออรัลเซ็กส์ไม่ได้มีความเสี่ยงใดๆ ต่อสุขภาพ ในความจริงคือมีไวรัสอยู่ตัวหนึ่งที่ชื่อ papilloma virus (HPV) ที่สามารถติดต่อระหว่างคน และความเสี่ยงต่อการติดไวรัสนี้ในปากและคอจะเพิ่มขึ้นหากยิ่งมีการทำออรัลเซ็กส์ให้คู่นอนมากคน




หัวข้อ: Re: 10 อันดับงานวิจัยใต้สะดือแห่งปี 2011
เริ่มหัวข้อโดย: Compatable ที่ 09 มกราคม 2555 12:23:49
6.) การได้รับวัคซีนต้านไวรัส ไม่ได้เป็นการส่งเสริมให้วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์มากขึ้น
 
ยังคงอยู่ในประเด็นเรื่องเพศของวัยรุ่น งานวิจัยล่าสุดเมื่อเดือน ธ.ค. 2011 เปิดเผยว่าการที่วัยรุ่นรับวัคซีนป้องกันเชื้อ HPV ไม่ได้ทำให้พวกเขาอยากสำส่อนทางเพศเพิ่มขึ้น ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้จะได้รับการตีพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์ป้องกันของสหรัฐฯ (American Journal of Preventative Medicine) โดยศูนย์สถิติและควบคุมโรครายงานว่าวัยรุ่นผู้หญิงที่ได้รับวัคซีนป้องกัน HPV ไม่ได้มีพฤติกรรมเสี่ยงเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับวัยรุ่นหญิงที่ไม่ได้รับวัคซีน
 
ผู้วิจัยรานงานว่า วัยรุ่นหญิงที่ได้รับวัคซีน HPV จะใช้ถุงยางตอนมีเพศสัมพันธ์มากกว่าวัยรุ่นหญิงที่ไม่ได้รับวัคซีน น่าจะเป็นเพราะพวกเธอได้รับความรู้เรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ดังนั้นการรับวัคซีน HPV ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องอายเลย
 
7.) นักศึกษาชอบคุยโวเรื่องเพศมากกว่าทำจริง
 
ในเดือน ก.ย. นักวิจัยได้เปิดโปงเรื่องที่อาจทำให้นักศึกษาจอมคุยต้องทำตัวลีบลงไปบ้าง แม้นักศึกษาจะเชื่อว่าการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงวัยเรียน รวมถึงการนอกใจเป็นเรื่องปกติ แต่ก็มีหลายรายที่เป็นการเล่าขวัญชาวหอพัก มากกว่าจะทำจริง
 
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเนบราสก้า-ลินคอน ได้สอบถามนักศึกษาว่าเพื่อนของพวกเขามีเพศสัมพันธ์กับนักศึกษาคนอื่นมากน้อยขนาดไหน แล้วก็พบว่าสิ่งที่รับรู้มาไม่ค่อยตรงกับความจริงเท่าไหร่ ตัวอย่างเช่น มีนักศึกษาร้อยละ 90 คิดว่า การมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นอย่างน้อย 2 คนเป็น "เรื่องปกติ" สำหรับวัยนักศึกษา แต่ในความจริงแล้วมีเพียงร้อยละ 37 เท่านั้นที่มีเพศสัมพันธ์กับจำนวนคนที่ว่ามา การคุยโวเรื่องบนเตียงไม่เคยจะเก่าเลยจริงๆ
 
8.) ปลาหมึกน้ำลึกปล่อยสเปิร์มแล้วชิ่ง
 
แม้ว่าสัตว์จะไม่เรื่องมากในเรื่องเพศเท่ามนุษย์ พวกมันไม่ค่อยเรียกร้องหาความเป็นส่วนตัวเท่าใดนัก แต่เจ้าปลาหมึกน้ำลึกอย่าง Octopoteuthis deletron มีเซ็กส์ที่หวือหวากว่านั้น พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้ำลึกอันมืดมิดแถบชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย น้อยครั้งที่พวกมันจะได้เจอปลาหมึกตัวอื่นที่อยู่ในสปีชีส์เดียวกัน นักวิจัยรายงานในวารสาร Biology Letters ว่าเมื่อปลาหมึกพวกนี้พบเจอพวกเดียวกัน มันไม่ใช้เวลาดูด้วยซ้ำว่าตัวที่มันเจอเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย แต่พวกมันจะฉีดกลุ่มสเปิร์มไปที่ตัวที่เพิ่งจะเจอกันทันที จากนั้นก็ชิ่งหนีไป ฟังดูเป็นเรื่องน่าอายสำหรับตัวที่ถูกยิงสเปิร์มใส่ แต่เป็นเรื่องดีสำหรับนักวิจัยในการติดตามการพยายามสืมพันธุ์ของพวกมัน โดยกลุ่มสเปิร์มก็จะยังคงติดตัวปลาหมึกตัวเป้าหมายขณะที่พวกมันว่ายน้ำต่อไป
 
9.) แบททีเรียชวนแหวะบนโต๊ะกาแฟ
 
พักเรื่องเซ็กส์ๆ ไว้ชั่วคราว เพราะมีอีกงานวิจัยชิ้นหนึ่งของปี 2011 ที่เป็นข่าวร้ายเอามากๆ สำหรับโต๊ะกาแฟของหนุ่มโสด เนื่องจากนักวิจัยด้านจุลชีววิทยาบอกว่า ห้องพักของชายหนุ่มโสดจะมีแบททีเรียมากกว่าห้องพักของสาวโสด 15 เท่า และแบททีเรียบางชนิดที่พบก็เป็นแบททีเรียชนิดเดียวกับที่อยู่ในอุจจาระ
ความจริงอีกข้อหนึ่งคือ มีการตรวจพบโคลิฟอร์มแบททีเรียในอุจจาระดังกล่าวบนโต๊ะกาแฟของกนุ่มโสดในอัตรา 7 ต่อ 10 ของกลุ่มตัวอย่างที่สำรวจ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีแบททีเรียที่ว่าคือการที่ผู้ชายมักเอาเท้าพาดกับโต๊ะในขณะที่ยังใส่รองเท้าอยู่
 
แต่หญิงโสดก็อย่าได้ใจไป มีการตรวจพบโคลิฟอร์มแบททีเรียในที่พักของพวกเธอด้วยเช่นกัน เพียงแค่มีความหนาแน่นน้อยกว่าที่พักของชายโสดเท่านั้นเอง จุดสำคัญอื่นๆ ที่พบโคลิฟอร์มแบททีเรียพวกนี้ได้แก่ ร๊โมทโทรทัศน์, โต๊ะข้างเตียงนอน และลูกบิดประตู
 
10.) การมีเพศสัมพันธ์กับสัตว์และมะเร็งองคชาติ
 
แม้จะเป็นอันดับสุดท้าย แต่ก็ชวนให้หวาดเสียว (หรือหวาดผวา) ไม่แพ้อันดับอื่น เมื่อนักวิจัยได้เผยแพร่ผลงานในวารสารเวชศาสตร์ทางเพศ (Sexual Medicine) ในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมาเปิดเผยว่าการมีเพศสัมพันธ์กับสัตว์มีส่วนเกี่ยวโยงกับโรคมะเร็งองคชาติ
 
นักวิจัยค้นพบความเกี่ยวข้องนี้จากการศึกษากลุ่มตัวอย่างชาย 492 คนในแถบชนบทของบราซิล พวกเขาพบว่ามีถึงร้อยละ 35 ของกลุ่มตัวอย่างที่บอกว่าตนมีเพศสัมพันธ์กับสัตว์ครั้งหนึ่งในชีวิต และนักวิจัยก็พบว่าคนที่ป่วยเป็นมะเร็งองคชาติมักจะเป็นคนเดียวกับที่มีเพศสัมพันธุ์กับสัตว์ พวกเขาตั้งสมมุติฐานว่าการบาดเจ็บขององคชาติและสารคัดหลั่งในสัตว์สปีชี่ส์อื่นอาจเป็นตัวทำให้เกิดเชื้อโรคที่เป็นเหตุของมะเร็ง เช่นเดียวกับ papillomo ไวรัสของคน