คำว่า | | “กาหล” | | หมายความว่า วุ่นวาย หรือ อลหม่าน พูดเป็นคำแผลง แทน โกลาหล เหตุแต่มีชื่อขุนนางตำแหน่งเจ้ากรม |
. | | . | | แตรสังข์ว่า หลวงกาหล เกิดโจษจันกันขึ้นว่า จะมาจากศัพท์ โกลาหล หรืออะไรเห็นกันต่างๆ เกิดแต่ |
. | | . | | จะพูดล้อผู้ที่เห็นว่าเป็นศัพท์เดียวกัน ใครเห็นอะไรอลหม่านหรือ วุ่นวาย จึงว่า กาหล เลยเป็นคำแผลงขึ้น |
คำว่า | | “กู” | | หมายความว่า ประพฤติทุจริตไม่มีละอาย แต่แรงว่า คำว่า “นุ่ง” ซึ่งมาแต่ติเตียนภิกษุอลัชชีว่าเหมือน |
. | | . | | คฤหัสถ์นุ่งเหลือง เมื่อเกิดคำแผลงว่า “นุ่ง” ขึ้นแล้ว ต่อมามีเรื่องที่จะกล่าวถึงภิกษุที่ประพฤติเป็นอลัชชี |
. | | . | | โดยเปิดเผยนอกหน้า จึงติว่าราวกับอวดว่า “กูเป็นอลัชชี” ทีเดียว จึงเกิดคำ “กู” ขึ้นในคำแผลง |
คำว่า | | “เก๋” | | มาแต่คำภาษาอังกฤษว่า “เค” หมายความว่าโอ่โถงเป็นต้น ได้ยินว่าเมื่อเสด็จอินเดียครั้งนั้น แรกแต่งตัว |
. | | . | | อย่างฝรั่ง มีข้าราชการที่ไปในเรื่อพระที่นั่งคนหนึ่งผูกผ้าผูกคอสีแดง มีข้าราชการอีกคนหนึ่งเป็นเชื้อญวน |
. | | . | | ได้ไปเรียนวิชาที่เมืองอังกฤษแต่ดึกดำบรรพ์ จะชมโดยคำอังกฤษ จึงพูดเป็นสำเนียงว่า “เก๋จริงคุณ” ผู้ที่ไป |
. | | . | | ตามเสด็จในคราวนั้น ที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษยังมีมาก จึงเอามาพูดว่า เก๋ ส่วนผู้ที่รู้ภาษาอังกฤษก็เห็นขันที่สำเนียง |
. | | . | | จึงพูดว่า เก๋ บ้าง คำว่าเก๋จึงเลยเป็นคำแผลง เก่าแก่กว่าคำอื่นๆ บรรดาได้อธิบายมาทั้งหมด |
คำว่า | | “โก๋” | | หมายความว่า หลง มาแต่เจ้านายแต่ก่อนพระองค์หนึ่ง มีมหาดเล็กสำหรับขึ้นท้ายรถตามติดพระองค์ ชื่อโก๋ |
. | | . | | เวลาจะต้องประสงค์อะไรก็เป็นเรียกอ้ายโก๋ บางทีอ้ายโก๋ไม่อยู่ ก็หลงเรียกด้วยติดพระโอษฐ์ ทีหลังมีผู้ใด |
. | | . | | ร้องเรียกอะไรหลงๆ จึงว่ากันว่า หลงราวกับเรียกอ้ายโก๋ คำว่า โก๋ จึงเลยเป็นคำแผลง หมายความว่า หลง |
. | | . | | |
คำว่า | | “ขนดหาง” | | คำนี้ใช้พูดกันตามอุปมาโบราณ คือว่าโกรธเหมือนพระยานาค อันบุคคลประหารที่ขนดหาง เพราะฉะนั้น |
. | | . | | เเมื่อพูดเป็นคำแผลงว่า ขนดหาร หรือ ขนด หมายความว่า โกรธอย่างฉุนเฉียว |
คำว่า | | “ค้างคาว” | | คู่กับคำว่า “กา” สำหรับใช้อุปมาด้วยบุคคลผู้นอนดึกและนอนหัวค่ำ พวกนอนหัวค่ำเรียกพวกนอนดึก |
. | | . | | ว่าเป็นพวกค้างคาว ข้างพวกนอนดึกก็เรียกพวกนอนหัวค่ำว่าเป็นพวกกา พอพลบก็ง่วงเหงาหาวนอน |
. | | . | | คำว่า “ค้างคาว” และ “กา” จึงเลยพูดกันเป็นคำแผลง |
คำว่า | | “คร่าว” | | หมายความว่า สั่งอย่างเหลวๆ มาแต่จางวางตำรวจแต่ก่อนคนหนึ่ง ไม่สันทัดกระบวนปลูกสร้าง |
. | | . | | ไปตรวจงานที่ตำรวจทำ ไม่รู้ว่าจะติอย่างไร ไปสั่งเปรยๆ แต่ว่า คร่าวอย่างไรไม่ติด ที่จริงตรงนั้นคร่าว |
. | | . | | จึงถูกไม่เป็นที่มีหัวเราะเยาะเลยเอาคำ “คร่าว” มาอุปมาในบรรดาการที่สั่งเหลวๆ |
คำว่า | | “ครึ” | | หมายความว่า ยากที่จะเข้าใจ มาแต่ว่าผู้ที่อธิบายอะไรๆ มายกศัพท์แสงต่างๆ ให้ฟัง ยกดังครึคระๆ |
. | | . | | คนฟังไม่ใคร่เข้าใจ |
คำว่า | | “โค้ง” | | หมายความว่า อย่างจีน มาแต่กิริยาที่จีนคำนับประสานมือ แล้วโค้งตัวลงไป จึงเรียกกันว่า โค้งแทน |
. | | . | | เรียกว่าคำนับ ทีหลังเลยใช้เป็นคำแผลง แทนที่หมายจะว่า เป็นอย่างจีน ในสิ่งและการทั้งปวง เป็นต้นว่า |
. | | . | | เห็นหน้าตาท่าทาง ผู้ใดออกจะเป็นจีน ก็มักพูดกันว่า ดูโค้งๆ อยู่อย่างไรดังนี้เป็นตัวอย่าง |
คำว่า | | “โคม” | | ย่อมาแต่โคมลอย แปลว่า เหลวไหล มูลเหตุของศัพท์นี้มาแต่หนังสือพิมพ์ตลกของอังกฤษอย่างหนึ่ง |
. | | . | | เรียกซื่อว่า ฟัน ใช้รูปโคมลอยเป็นเครื่องหมายอยู่หลังใบปก หนังสือพิมพ์นั้นเล่นตลกเหลวไหลไม่ขบขัน |
. | | . | | เหมือนหนังสือพิมพ์ตลกตลกอย่างอื่น คือ ปันช เป็นต้น จึงเกิดคำติกัน เมื่อใครเห็นเล่นตลกไม่ขบขัน |
. | | . | | จึงว่าราวกับหนังสือพิมพ์ฟันบ้าง ว่าเป็นโคมลอย (เครื่องหมายของหนังสือนั้น) บ้าง จะพูดให้สั้น |
คำว่า | | “ชา” | | หมายความว่า ไม่รู้สึกเสียเลย เหมือนกับเป็นเหน็บชา |
คำว่า | | “ช่างเถอะ” | | หมายความว่า ไม่น่าเชื่อ มาแต่มีบางคนที่เจรจาเท็จ จนผู้อื่นรู้เช่นกันเสียโดยมาก เมื่อมีผู้มากล่าวขึ้นว่า |
. | | . | | คน (เจรจาเท็จ) นั้น เขาบอกว่าเช่นนั้นๆ ผู้ที่ฟังมักพูดว่า คนนั้นบอกว่ากระไรก็ช่างเถอะ คำช่างเถอะ |
. | | . | | จึงเลย เป็นคำแผลง สำหรับ หมายความว่าไม่น่าเชื่อ |
คำว่า | | “ซึมซาบ” | | หมายความว่า ความนิยมในคติอย่างหนึ่งอย่างใด อันเป็นคติที่ผิดและควรจะคิดเห็นได้ แต่หลงเชื่อ |
. | | . | | ว่าถูกต้อง ถ้าว่าใครซึบซาบ ก็หมายว่าเป็นผู้เชื่อถือคติเช่นนั้น อุปมาเหมือนคติอันนั้นซึมซาบอยู่ใน |
. | | . | | สันดานเสียแล้ว ทำอย่างไรๆก็ไม่ถอนออกได้ |
คำว่า | | “ซ้องหัตถ์” | | หมายความว่าเนยแขก มาแต่คำแปลคัมภีร์ ภาษามคธ มีเรื่องต่างๆ ที่กล่าวถึงเนย มักประมาณ |
. | | . | | ตวงด้วยซ้องหัตถ์ บางทีเนยขาดไปเพียงซ้องหัตถ์หนึ่ง ก็ถึงเกิดวิวาทบาดทะเลาะ หรือได้ |
. | | . | | บริโภคเนยเพียงซ้องหัตถ์เดียวก็หายไข้ หายเจ็บ ขบขันที่เนยแขกสิเหม็นเหลือทน แต่ใน |
. | | . | | คัมภีร์ นับถือถึงตวงด้วยซ้องหัตถ์ ทีหลังมีเรื่อง พูดกันถึงเรื่องเนย มีผู้อยากทราบว่าเป็นเนย |
. | | . | | อย่างไหนผู้หนึ่งประสงค์จะบอกว่าเนยแขก บอกว่า “เนยอย่างซ้องหัตถ์นั้นแหละ” ฮากัน |
. | | . | | แต่นั้นจึงมักชอบเรียกเนยแขกกันว่าเนยซ้องหัตถ์ |
คำว่า | | “ตะโกน | | หมายความว่าทำบุญอวดพระ มาแต่ประเพณีการพระราชกุศลที่มีปลาปล่อย เซ่นตรุษจีน เป็นต้น |
. | | “ปลาปล่อย” | | เจ้าพนักงานต้องเข้าไปกราบทูลรายงานต่อหน้าพระสงฆ์ว่าปล่อยปลาแล้ว รับสั่งว่า “ทำบุญ อวดพระ” |
. | | . | | การทำบุญอวดพระอย่างอื่นๆ จึงรวมเรียกเป็นคำแผลงว่า “ตะโกนปลาปล่อย” |
คำว่า | | “ตื้น” | | หมายความว่า ไม่รู้จริงจัง มาแต่มีบางคนชอบพูดสำทับผู้อื่น เมื่อแสดงความเขลาที่ไม่รู้ของตนขึ้น |
. | | . | | ผู้นั้นมักติเตียนว่า “รู้ตื้น ๆ ก็เอามาพูด ด้วย” ผู้ที่ฟังเห็นขบขัน เอาอย่างมาล้อกันเอง จึงเลยเป็น |
. | | . | | คำแผลง ถ้าใครแสดงความที่ไม่รู้ใน คติอันควรรู้ มักติกันว่า “ตื้น” |
คำว่า | | “เตี้ย” | | หมายความว่า “พูดโดยไม่เกรงใจ” มาแต่ขุนนางคนหนึ่งชอบทักใครๆ โดยไม่เกรงใจ จะยกตัวอย่าง |
. | | . | | ครั้นนั้นมีผู้กล่าวกันว่า พระราชาคณะองค์หนึ่งเล่นหนัง เวลาขุนนางคนนั้นพบพระราชาคณะองค์นั้น |
. | | . | | ทีหลังได้ยินมักทักว่า “เจ้าคุณตโจ สบายดีหรือ” ผู้ที่ได้ยินพากันสั่นหัวว่าทักกันอะไรอย่างนั้นน่ากลัว |
. | | . | | ใครพูดหรือทำอะไรอย่างไม่เกรงใจ จึงกล่าวกันว่า ราวกับขุนนางคนนั้นทักปฏิสันถารคำว่า “ทัก” |
. | | . | | จึงเป็นคำแผลงสำหรับใช้ หมายความว่า พูดโดยไม่เกรงใจ |
คำว่า | | “ทึ่ง” | | หมายความว่า ต้องการจะใครรู้ มาแต่อาการของนกอิมิว นกกระจอกเทศอย่างหนึ่ง ได้มาแต่ |
. | | . | | ออสเตรเลีย เลี้ยงปล่อยไว้ในสนามหน้าพระที่นั่งจักรี เวลานกนั้นเห็นคนหรืออะไรที่แปลกประหลาด |
. | | . | | อยากรู้ว่าเป็นอย่างไร เดินทำกิริยาเข้าไปเลียบเคียง เปล่งเสียงจากอกดังทึ่งๆ ทึ่งๆ ทีหลังเมื่อใคร |
. | | . | | เห็นผู้อื่นไต่ถามอยากรู้เรื่องอะไรเซ้าซี้ มักว่า มาทึ่งๆ ราวกับนกอิมิว จึงเกิดเป็นคำแผลงว่า “ทึ่ง” |
คำว่า | | “นุ่ง” | | หมายความว่า คดโกง มาแต่ติเตียนภิกษุอลัชชี ว่าเป็นแต่คฤหัสถ์นุ่งเหลือง มิใช่พระใช่สงฆ์ |
. | | . | | แต่แรกมักใช้แต่เฉพาะที่เนื่องด้วยภิกษุอลัชชี ดังเช่นเห็นพระสงฆ์ จะไต่ถามกันว่า ภิกษุองค์นั้น |
. | | . | | องค์นี้เป็นอลัชชีหรือไม่ มักถามกันว่า นุ่งหรือไม่นุ่ง คำว่า “นุ่ง” จึงเลยเป็นคำแผลง |
คำว่า | | “ใบโต” | | มาแต่คำแผลงว่า โคมลอย นั้นเอง พูดกันว่า “โคมลอยใบโต” หมายความว่า เหลวไหลเต็มที |
คำว่า | | “ปา” | | และ “ทุ่ม” ๒ คำนี้แปลว่า ยอให้ชอบใจ ย่อมาแต่ปา และทุ่มก้อนหินผาลงไปในเหว จงดูอธิบายที่คำ “เหว” |
คำว่า | | “แป้น” | | หมายความว่า นบนอบอย่างที่สุด มาแต่พูดกันว่า หมอบจนก้นแป้น |
คำว่า | | “ปอดเสีย” | | หมายความว่า ตกใจกลัวอย่างแรง มาแต่หมอฝรั่งตรวจว่าเป็นโรคปอดเสีย แต่แรกก็เฉยๆ ครั้นแปล |
. | | . | | ได้ความว่าเป็นฝีในท้อง ก็ตกใจดีฝ่อ คำว่า “ปอดเสีย” จึงเป็นที่หมายของความตกใจกลัวอย่างแรง |
คำว่า | | “พโยมยาน” | | มาจากศัพท์โคมลอยนั้นเอง หมายความก็อย่างเดียวกัน จงดูอธิบายที่ศัพท์ โคมลอย |
คำว่า | | “พัด” | | หมายความว่า รบเร้า มาแต่มีขุนนางคนหนึ่งชอบถือพัดด้ามจิ้วติดตัวเสมอ ขุนนางคนนั้น เมื่อมีกิจ |
. | | . | | กิจจะไต่ถามอะไรต่อราชเลขาธิการ ไปนั่งเกาะเก้าอี้ เอาพัดๆ ตัวเองบ้าง พัดราชเลขาธิการบ้าง |
. | | . | | อยู่จนเสร็จธุระหาไม่ก็ไม่ไป จึงเกิดเป็นคำพูดขึ้นในห้องราชเลขาธิการ ถ้าใครไปรบเร้าจะเอาอะไร |
. | | . | | ก็ว่า นี่จะมาพัดเอาให้ได้ อย่างขุนนางคนนั้นหรือคำว่า “พัด” จึงใช้เป็นคำแผลง หมายความว่า “รบเร้า” |
คำว่า | | “พื้น” | | เดิมหมายความว่า อารมณ์ พื้นเสีย พื้นเก่า พื้นโบราณ หมายความว่าอารมณ์ไม่ผ่องใส คือมีโทสะ |
. | | . | | เจือปน ถ้าพื้นดี พื้นใหม่ พื้นเรี่ยม หมายความว่าอารมณ์ผ่องแผ้ว มีปีติยินดีเป็นเจ้าเรือน แต่การที่ใช้ |
. | | . | | คำพื้น มักพูดกันถึงที่อารมณ์เป็นโทสะโดยมาก ภายหลังเมื่อพูดแต่ว่า พื้น คำเดียว มักเข้าใจว่ามีโทสะ |
. | | . | | เรื่องวัตถุนิทานของคำนี้ เดิมไทยที่ไปยุโรปกลับมาชั้นเก่าๆ มักมาเล่าว่า ที่ทะเลแดงนั้นร้อนนัก เพราะ |
. | | . | | พื้นเป็นแต่หินและกรวดทราย ต่อมาบางคนในพวกนั้นเกิดโทสะ ผู้ที่เห็น กระชับกันว่า ถึงพื้นทะเลแดง |
. | | . | | หรือยัง คำว่า พื้นและ ทะเลแดง จึงกลายเป็นคำแผลง หมายความว่าโทสะกลัาและเกิดคำคู่กันขึ้นว่า |
. | | . | | พื้น อยู่นอธโปล คือหัวโลกช้างเหนือที่น้ำแข็งเสมอ หมายความว่า อารมณ์เยือกเย็น ทีหลังมาเมื่อเห็น |
. | | . | | ใครๆ นั่งบึ้งๆ ซึมๆ จึงมักถามกันว่าพื้นอยู่ที่ไหนต่อมาอีกคราวนี้ถ้าเห็นใครนั่งบึ้งๆ ก้มหน้าเหมือนกับ |
. | | . | | แลดูพื้นเรือนที่ตรงนั้น จึงถามผู้ที่ไปด้วยกัน ให้ได้ยินถึงคนที่นั่งก้มหน้าว่าพื้นตรงนั้นเก่าหรือใหม่ |
. | | . | | เป็นการกระทบสัพยอกผู้ที่ก้มดูพื้น จึงเกิดคำ พื้นใหม่พื้นเก่า พื้นเก่ากลายมาเป็นพื้นโบราณอีก |
คำว่า | | “มีด” | | หมายความว่า ไม่รู้เค้าเงื่อนทีเดียว ย่อมาแต่ “มืดมนอนธกาล” หรือ “มืดเแปดด้าน” นั้นเอง |
คำว่า | | “ยูดี” | | หมายความว่า ประชด มาแต่ชื่อหนังสือพิมพ์ตลกของอังกฤษฉบับหนึ่งชื่อ ยูดี หนังสือพิมพ์ยูดี |
. | | . | | นั้นมักประชดรัฐบาล ใครพูดจาประชดประชัน จึงว่า “พูดราวกับหนังสือยูดี” ด้วยเหตุนี้คำว่า |
. | | . | | “ยูดี” จึงมักใช้ในความอย่างว่าประชด |
คำว่า | | “หยอด” | | หมายความว่า ชอบมาก มาแต่พูดกันว่า “เป็นของรักราวกับจะหยอดลงไปในนัยน์ตา |
. | | หรือ “หยอดตา” | | . |
คำว่า | | “รวมๆ” | | หมายความว่า ไม่กระจัดชัดเจน มีผู้ใหญ่บางคนแต่ก่อนอธิบายอะไรผู้อื่นไม่ใคร่เข้าใจ จึงกล่าวกันว่า |
. | | . | | ท่านผู้นั้นอธิบายอะไรดัง รวมๆ รวมๆ คำ “รวม” จึงเลยเป็นคำแผลง |
คำว่า | | “เรียว” | | หมายความว่า เลวลงทุกที เหมือนกับของที่เรียวเล็กลงไป |
คำว่า | | “ลมจับ” | | หมายความว่า เสียดายเป็นอย่างยิ่ง มาแต่เรื่องเล่ากันถึงคนขี้ตระหนี่คนหนึ่ง เพื่อนฝูงขออะไรเล็กน้อย |
. | | . | | ขัดไม่ได้ต้องให้ไป ครั้นเมื่อเขาไปแล้ว เกิดเป็นลมด้วยความเสียดายของ |
คำว่า | | “เหว” | | หมายความว่า ชอบให้ยอ มาแต่พูดกันถึงคนชอบยอว่าคนนั้นๆ ถึงจะยอเท่าไรก็ไม่อิ่มใจ เหมือนกับ |
. | | . | | จะเอาหินผาทุ่มลงไปในเหวที่ลึกไม่เต็มได้ ใช้เป็นคำแผลงสังเขปลงว่า “เหว” บ้าง บางทีพูดแผลง |
. | | . | | ไปเป็น “เหว” (คือ เว มี ห นำ) อีกอย่างหนึ่ง แปลความก็อย่างเดียวกัน |
คำว่า | | “เหวย” | | ก็คือ “เสวย” นั้นเอง ที่ใช้พูดกันว่า “เหวย” มาแต่เลียนล้อเจ้านายที่ยังทรงพระเยาว์ เพราะตรัส |
. | | . | | ตามอย่างพี่เลี้ยงแม่นม แต่ไม่ชัด จึงว่า “ฉันจะเหวยนั่นเหวยนี่” |
คำว่า | | “สัพพี” | | หมายความว่า ประจบประแจง มาแต่เจ้านายผู้ใหญ่แต่ก่อนบางพระองค์ มีพระไปเฝ้าเวลาคํ่าทุกคืน |
. | | . | | ถึงฤดูเข้าวสาทรงธรรม พระที่ไปเฝ้าก็มีธูปเทียนจุดบูชาธรรม ครั้นเทศน์จบพระที่ไปเฝ้าก็พากันเข้าไป |
. | | . | | ไปนั่งรับสัพพี ผู้ที่มีความคิดอย่างใหม่ๆ บางคนติเตียนว่าเป็นการสัพพีประจบประแจงเพราะไม่ได้นิมนต์ |
. | | . | | และไม่ได้รับทาน ทีหลังเมื่อเห็นผู้ใดทำกิริยาประจบประแจง จึงพูดว่า “ราวกับพระสัพพีที่วังนั้น” |
. | | . | | คำ “สัพพี” จึงเลยใช้เป็นคำแผลงกันทั่วไป |
คำว่า | | “สีเหลือง” | | ตรงนี้ ตรงกับ “นุ่งสีเหลือง” หมายความอย่าง เดียวกับคำว่า “นุ่ง” นั่นเอง |
คำว่า | | “อี๋” | | หมายความว่า สนุกรื่นรมย์ มาแต่ขุนนางคนหนึ่ง มีอัธยาศัยแปลกกับผู้อื่น ถ้าเกิดรื่นรมย์สนุกสนานอะไร |
. | | . | | ขึ้นมาก็เที่ยวบอกแก่คนนั่นคนนี้ บอกพลางหัวเราะดังอี๋ๆ ไปด้วยพลาง คนทั้งหลายเห็นขบขันเมื่อได้ยิน |
. | | . | | เสียงจึงมักถามว่า “นั่นอี๋อะไร” ด้วยเข้าใจว่าคงมีเรื่องอะไรสำหรับบอก คำว่า “อี๋” จึงเลยเป็นคำแผลง |
คำว่า | | “อูแอ” | | เป็นคำเจ้านายที่ทรงพระเยาว์เลียนเสียงสังข์แตรเครื่องประโคม ใช้เป็นคำแผลงมักหมายความว่า แห่ |
คำว่า | | “ฮ่องเส็ง” | | หมายความว่า อ้างถึงอะไรๆ อย่างเหลวไหล มาแต่ผู้ซึ่งชอบแสดงความจดจำของเก่าแก่แต่ก่อน |
. | | . | | อวดพวกชั้นหนุ่มๆ ที่ไม่เคยเห็น มีผู้หนึ่งแสดงว่า เมื่อกระนั้นที่ในท้องพระโรงพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย |
. | | . | | มีนาฬิกาฮ่องเส็งตั้งอยู่เรือนหนึ่ง แต่ครั้นไล่เลียงว่านาฬิกาฮ่องเส็งนั้นรูปร่างเป็นอย่างไร และเหตุใด |
. | | . | | จึงเรียกนาฟิกาฮ่องเส็ง ก็ไม่สามารถจะอธิบายได้จึงเป็นข้อขัน ทีหลังใครมาอธิบายอะไรอย่างลึกลับ |
. | | . | | ให้เกิดสงสัยจึงมักกล่าวกันว่า อย่างนาฬิกาฮ่องเส็งละซิ จึงเลยมาพูดกันเป็นคำแผลง |