อริยสัจสี่หลังจากที่ได้วาดภาพสีสวยสดของเจ้าลิงให้ดูแล้ว จนเห็นลักษณะ ต่าง ๆ ของมันทั้งที่หื่นกระหาย โหยหา ก้าวร้าว และอื่น ๆ เราลอง หันมาพิจารณาดู ว่ามันจะจัดการกับปัญหาเหล่านี้ของมันได้อย่างไร
เราจะกลับเข้าและไปพ้นอัตตาได้ ก็โดยใช้สมาธิภาวนาทำการทวน กระแสกลับโดยผ่านสถานการณ์ทั้งห้า และพัฒนาการขั้นสุดท้ายของ
สกนธ์ทั้งห้า ก็คือรูปแบบความคิดที่กระเจิดกระเจิง ไม่สม่ำเสมอที่ ผ่านแวบเข้ามาในใจอยู่เสมอ ความคิดนานาประการจะเกิดขึ้นขณะ เจ้าลิงกำลังเพ้อคลั่งอยู่ในภูมิทั้งหกทั้งความคิดฟุ้งซ่าน ความคิดกระ โดดปุปปับ ความคิดดั่งละคร ความคิดดั่งภาพยนต์ ฯลฯ เราจะเริ่ม เห็นความสับสนในจุดนี้และที่จะเข้าใจความสับสนนี้ให้ชัดเจนได้ การเข้าใจในเรื่องอริยสัจน์ ๔ จะช่วยได้มาก
อริยสัจน์ ๔ นี้คือหัว ข้อธรรมทรงแสดงเป็นครั้งแรก คือ เป็นการหมุนกงล้อ
" ธรรมจักร " เป็นครั้งแรก
อริยสัจน์ ๔ นี้ประกอบด้วย
ความจริงที่ว่าด้วยทุกข์ ๑ ( ทุกข์ ) ความจริง ว่าด้วยเหตุแห่งทุกข์ ๑ ( สมุทัย ) ความจริงว่าด้วยเป้าหมาย ( นิโรธ) และ ความจริงว่าด้วยมรรค ๑ ( มรรค ) เราจะเริ่มต้นที่ความจริงว่าด้วยทุกข์ ซึ่งหมายถึงว่า เราจะเริ่มมีความสับสนและระส่ำระสายของเจ้าลิง
ทุกข์ นั้น หมายถึง ความทนทรมาณ ความคับแค้นใจ หรือความเจ็บปวด ความคับแค้นใจเกิดขึ้นเพราะจิตใจต้องหมุนเวียนไปมาอย่างไม่มีจุดเริ่ม หรือจุดจบ กระบวนความคิดแล่นไปเรื่อย ๆ ทั้งความคิดเกี่ยวกับอดีต ความคิดเกี่ยวกับอนาคต และความคิดเกี่ยวกับปัจจุบันนี้ ก่อให้เกิดความ กลัดกลุ้ม ความคิดทั้งหลายล้วนได้รับแรงกระตุ้นจากความคับแค้นใจ ความทุกข์ จนกลายเป็นสิ่งเดียวกันด้วยซ้ำไป ทุกข์นี้คือ ความรู้สึกวน เวียน ไม่รู้จบ ว่าชีวิตเรายังไม่สมบูรณ์ ยังพร่องอยู่ บางสิ่งบางอย่างไม่ เข้าที่ ยังไม่พอ เราจึงพยายามถมช่องว่างนั้น พยายามจัดให้เข้าที่เข้าทาง แสวงหาความพึงพอใจหรือความมั่นคงที่แปลกพิเศษ การต่อสู้ดิ้นรนและ การยึดครองเหล่านี้ ล้วนน่ากลัดกลุ้ม ก่อให้เกิดความเจ็บปวด ท้ายที่สุด เราจะเริ่มกลัดกลุ้มกับการที่เป็นเพียง " ตัวฉัน " อยู่เท่านี้
ดังนั้น การทำความเข้าใจทุกข์ ก็คือการทำความเข้าใจความกระเจิดกระ เจิงของจิตใจ เราถูกผลักไสไปที่นั่นที่ด้วยพลังมหาศาล ไม่ว่าจะกิน จะ นอน จะทำงาน จะเล่นหรือจะทำอะไรก็แล้วแต่ ชีวิตดูจะเต็มไปด้วย ความทุกข์ ความคับแค้นใจและความเจ็บปวด ถ้าเรากำลังสนุกสนาน เพลิดเพลิน เราก็กลัวจะสูญเสียมันไป เราจะดิ้นรนไขว่คว้าหาความเพลิด เพลินมาก ยิ่งขึ้น ๆ พยายามทับถมมันเข้าไป ถ้าเราต้องทุกข์ด้วยความคับ แค้นใจอยู่ตลอดเวลา กิจทุกประการดูจะบรรจุเอาความเจ็บปวดหรือความ คับแค้นใจไว้หมด ไม่ว่างเว้น
รูปแบบชีวิตที่เราสร้างขึ้น กลับไม่ปล่อยให้เรามีเวลาได้ลิ้มรสชาติของมัน ได้อย่างจริงจัง เพราะมีแต่ความยุ่งเหยิงไม่ว่างเว้น ใฝ่หาแต่ชั่วขณะต่อไป ไขว่คว้าคุณลักษณะของชีวิตอยู่ไม่ยั้ง นั่นแหละทุกข์ อริยสัจน์ข้อหนึ่ง การ ทำความเข้าใจและเผชิญหน้ากับความทุกข์นี้แหละเป็นก้าวแรก
เมื่อได้กำหนดรู้ชัดในความคับแค้นใจของเราแล้ว เราจะลองสืบสาวหา เหตุผลหาแหล่งที่มาของความคับแค้นใจนั้น ถ้าเราลองเฝ้าดูความคิดและ การกระทำของเรา เราจะพบว่า เราไม่ได้ว่างเว้นจากการดิ้นรนหล่อเลี้ยง อุ้มชูตังเองเลย แล้วเราจะตระหนักได้ว่าการดิ้นรนนี้ นั้นคือ กระบวนการ ที่ว่า อัตตาของเราเกิดขึ้นและปฏิบัติงานอย่างไร นี้เป็นอริยสัจน์ข้อที่สอง ได้แก่ความจริงว่าด้วย
เหตุแห่งทุกข์ ดังที่เราได้เอ่ยไว้แล้ว ในกันฑ์ที่ว่าด้วย
วัตถุนิยมทางศาสนธรรม ว่าหลาย คนเข้าใจผิดไปแล้วว่า ในเมื่ออัตตาเป็นต้อของความทุกข์ดังนี้แล้ว เป้า หมายของศาสนธรรมจึงต้องอยู่ที่การเอาชนะและทำลายอัตตาเสีย พวกเขา จะดิ้นรนหาทางกำจัดมือไม้ของอัตตา แต่ดังที่เราได้กล่าวแต่ต้นแล้ว ว่า การต่อสู้ดิ้นรนนี้เป็นเพียงอีกรูปแบบหนึ่งของอัตตา เราจึงวนไปเวียนมา พยายามหาทางปรับปรุงตนเองด้วยการต่อสู้ดิ้นรนจนกว่าเราจะตระหนัก ได้ว่า อาการทะยานอยากที่จะปรับปรุงตัวเองนี้ก็เป็นปัญหาหนึ่งในตัวของ มันเอง ญาณหยั่งรู้จะเข้ามาก็เพียงเมื่อเกิดช่องว่างขึ้นในการต่อสู้ของเรา เพียงเมื่อเราเลิกพยายามกำจัดความคิดของเราออกไป เพียงเมื่อเราหยุด แบ่งแยกความคิดดีเลวที่ต่อสู้กัน เพียงเมื่อเราปล่อยให้ตัวเราเองได้สักว่า เห็นธรรมชาติของความคิดทั้งหลาย และคุณลักษณะนี้ จะเผยตัวตัวออก มาเพียงเมื่อปราศจากการต่อสู้ดิ้นรน เราจึงค้นพบอริยสัจน์ข้อสาม ความ จริงว่าด้วยเป้าหมาย นั่นคือ การเลิกไขว่คว้า สิ่งที่เราต้องการ ก็คือเพียง แต่ทิ้งความพยายามที่จะปกป้องและสร้างตัวตนให้แก่ตัวเราเองเสีย แล้ว สภาพที่ตื่นขึ้นจะปรากฏเอง แต่ครั้นแล้ว เราจะเริ่มรู้สึกว่า เพียงแต่
" ปล่อยไป " นี้ เป็นไปได้ก็แต่ในชั่วขณะสั้น ๆ เราต้องมีแบบแผนบาง ประการช่วยนำเราสู่
" การปล่อยวาง " เราจะต้องก้าวสู่ศาสนมรรค อัตตาจะต้องถ่ายถอนตังเองออกไปดั่งรองเท้าคู่เก่าที่สวมใส่ในการจาริก จากทุกข์ไปสู่ความหลุดพ้น
ฉะนั้น จึงขอให้เราลองพิจารณาศาสนมรรคนี้ดู กล่าวคือ การบำเพ็ญ สมาธิภาวนาอันเป็นอริยสัจน์สี่ การบำเพ็ญสมาธิภาวนามิใช่การพยายาม เข้าสู่ภาวะจิตตกสู่ภวังค์หรือถูกอะไรบางอย่างเข้าสิง ทั้งในอินเดียและ ในธิเบตต่างก็มีระบบการทำสมาธิภาวนาแบบที่เรียกว่า " การเพ่ง " กล่าว คือ การบำเพ็ญสมาธิในแบบนี้ อยู่ที่การกำหนดรวมจิตไปที่จุดใดจุดหนึ่ง เป็นพิเศษ เพื่อให้บังคับควบคุมจิตใจได้มากขึ้น และนำมาใช้ในการเพ่ง ในการปฏิบัติแบบนี้ ผู้ปฏิบัติจะเลือกวัตถุมาจ้อง ครุ่นคิดสร้างนิมิตแล้ว ทุ่มเทความตั้งใจทั้งหมดลงไปในวัตถุนั้น ในการกระทำเช่นนั้น ข้าพเจ้า เรียกการปฏิบัติทำนองนี้ว่า
" จิตกรีฑา " ( กสิน ) เพราะมันไม่ได้เกี่ยว ข้องอะไรกับบูรณภาพในสถาการณ์ชีวิตอย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ มันยังมีพื้นฐานอยู่ที่การแบ่ง
นี่ กับ นั่น ผู้เพ่งและสิ่งถูกเพ่ง ยิ่งกว่าจะไป พ้นทัศนะชีวิตแบบทวิภาค
ในทางตรงกันข้าม การทำสมาธิมิได้หมายถึงการเพ่ง นี่เป็นข้อสำคัญที่จะ ต้องรู้ เพราะ
การเพ่งมักเป็นการเสริมกำลังให้อัตตา แม้จะไม่ได้ตั้งใจให้ เป็นเช่นนั้นก็ตาม แม้กระนั้นก็ดีเพราะเหตุที่การเพ่งนั้นเนื่องอยู่กับจุดใด จุดหนึ่งและวัตถุภายในใจ เราจึงมักดำดิ่งสู่ศูนย์กลางของ
" หัวใจ " เรา เริ่มต้นด้วยการเพ่งดอกไม้ หิน หรือไฟ จับจ้องวัตถุนั้นอย่างแน่วนิ่ง แต่ ภายในใจนั้น เรากำลังดำดิ่งสู่หัวใจให้ลึกลงไปเท่าที่จะทำได้ เรากำลัง ทำให้ตัวตนของรูปทรงต่าง ๆ แน่นหนายิ่งขึ้น อันเป็นคุณลักษณ์ที่มั่นคง และแน่นิ่ง ในระยะยาวการปฏิบัติเช่นนี้อาจเป็นผลเสียได้เพราะการที่ต้อง อาศัยกำลังความตั้งใจอย่างมากมายของผู้ปฏิบัตินี่เอง อาจทำให้เรากักขัง ตัวเองในแง่ที่ทำให้เคร่งขรึมตามตัวและทื่อทึบ การปฏิบัติเช่นนี้ไม่ได้นำ เราสู่การเปิดหรือพละกำลังหรืออารมณ์ขัน มันหนักเกินไปและทำให้เรา ติดรูปแบบได้ง่าย ในแง่ที่ผู้ปฏิบัติจะกำหนดกฏเกณฑ์ตายตัวให้กับตนเอง เราคิดว่า เราจำเป็นต้องเคร่งเครียดและเคร่งขรึม นี้จะทำให้ความคิดของ เรามีแต่ทัศนะแบบขันแข็ง โดยคิดว่า ยิ่งเรากักจิตใจของเราได้มากเพียงใด ก็เท่ากับว่าเราประสบความสำเร็จแล้วเพียงนั้น ความคิดเช่นนี้ ติดรูปแบบ และนิยมการใช้อำนาจบังคับ ความคิดในลักษณะนี้ มักมุ่งอยู่กับอนาคต และใกล้ชิดกับอัตตา
" ฉันอยากเห็นผลเช่นนี้ เช่นนั้น ฉันมีทฤษฎีหรือ ความฝันใอุดมคติ ที่ฉันอยากทำให้เป็นผลขึ้นมา " เรามักจะมีชีวิตอยู่กับ อนาคต โดยระบายสีทัศนะต่อชีวิตของเรา ให้สวยสดไปด้วยความคาด หวังว่าจะได้รับผลอันอุดมเช่นนั้นเช่นนี้ เพราะการคาดหวังดังนี้นี่เอง ที่ทำให้เราพลาดจากความเที่ยงตรงและการเปิด ทั้งภูมิปัญญาในปัจจุบัน เรากลับต้องมนตร์มืดบอดและถูกเป้าหมายอันอุดมของเราท่วมทับ
ลักษณะอันขันแข็งของอัตตา ย่อมเป็นที่แลเห็นได้ง่ายในโลกแห่งวัตถุ นิยมที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ ถ้าคุณอยากเป็นเศรษฐีเงินล้าน นับแต่แรก คุณจะพยายามเป็นเศรษฐีเงินล้านเสียก่อนในทางจิตใจ คุณจะเริ่มต้นด้วย ด้วยการวาดภาพพจน์ ตัวคุณเองในฐานะเศรษฐีเงินล้าน และพยายาม กระทำการอย่างหนักเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย คุณจะผลักไสตัวเองไปตาม ทิศทางนั้นโดยไม่ยอมพิจารณาแม้แต่น้อย ว่าคุณจะประสบความสำเร็จ หรือไม่ แนวทางการพิจารณาดังนี้นับว่าเป็นการเอาผ้าผูกตาตนเอง ทำให้ คุณไม่ไวต่อปัจจุบันขณะ เพราะคุณใช้ชีวิตอยู่ในอนาคตของคุณมากเกิน ไปและในการทำสมาธิภาวนา เราก็อาจฉวยเอาวิธีพิจารณาแบบผิด ๆ เช่นนี้มาใช้ได้เช่นกัน
เพราะเหตุนี้ การบำเพ็ญสมาธิภาวนาที่แท้จริง คือ
หนทางก้าวออกจาก อัตตา ฉะนั้น ประเด็นแรกจึงอยู่ที่ว่า คุณจะต้องไม่ใส่ใจกับการบรรลุ สภาพจิตที่ตื่นขึ้นในอนาคตจนเกินไป การบำเพ็ญสมาธิภาวนานั้นสำคัญ เป็นรากฐาน
ที่สถานการณ์ในปัจจุบันขณะ คือสภาพจิตใจในปัจจุบัน สมาธิภาวนาใดที่มุ่งอยู่เหนืออัตตา จะจับต้องอยู่ที่ปัจจุบันขณะ ด้วยเหตุ นี้จึงเป็นวิถีชีวิตที่สามารถยิ่ง หากคุณกำหนดรู้ภาวะปัจจุบันของคุณและ สภาพรอบ ๆ ตัวได้อย่างหมดจด คุณก็จะไม่พลาดสิ่งใด เราอาจหากลวิธี ทางสมาธิภาวนาที่จะนำมาใช้อำนวยความสะดวกแก่การกำหนดรู้เยี่ยงนี้ ได้มาก แต่กลวิธีเหล่านี้ ล้วนเป็นเพียงหนทางที่จะก้าวออกจากอัตตา กลวิธี เป็นดั่งของเล่นสำหรับเด็กเล็ก ครันเด็กโตพอแล้ว ก็ทิ้งของเล่นไป ใน ขณะเดียวกัน กลวิธีก็เป็นสิ่งจำเป็นในการพัฒนาความอดกลั้นและไว้ใช้ หลีกการฝันเฟื่องใน " ประสบการณ์ทางศาสนธรรม " การปฏิบัติทั้งหมด ของเรา จะต้องวางรากฐานอยู่บนสัมพันธภาพระหว่างเรากับปัจจุบันขณะ
คุณไม่จำเป็นจะต้องผลักไสตัวเองให้บำเพ็ญสมาธิภาวนา ขอคุณเพียง แต่ปล่อยวาง ถ้าคุณทำได้ดังนี้ ความรู้สึกที่ว่างและปลอดโปร่งจะมาเอง อันเป็น
การปรากฏของธรรมชาติแห่งพุทธะหรือ
ภูมิปัญญาขั้นพื้นฐานซึ่ง กำลังแผ้วทางผ่านพ้นความสับสนทั้งปวง ครั้นแล้วคุณเริ่มจะเข้าใจ
" ความจริงว่าด้วยหนทางดับทุกข์ " อันเป็นอริยสัจข้อที่สี่ เป็นความเรียบ ง่าย ดังเช่นว่า
การกำหนดรู้อย่างก้าวของคุณ ( จงกรม ) แรกเริ่มคุณจะกำ หนดรู้การยืน แล้วคุณจะกำหนดรู้ว่าเท้าขวาของคุณกำลังยกขึ้น กำลัง ย่างกำลังสัมผัส กำลังก้าวลงไป ครั้นแล้วก็มาที่เท้าซ้าย ยก ย่าง สัมผัส ก้าว เราอาจใช้รายละเอียดในการกระทำมากมาย ที่จะช่วยให้แลเห็น
ความเรียบง่ายและคมชัดในการดำรงอยู่กับชั่วขณะนี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้การปฏิบัติเช่นนี้ก็ทำนองเดียวกับ
การกำหนดรู้ลมหายใจ ( อานาปานสติ ) คุณกำหนดรู้ลมหายใจเข้าที่ผ่านปลายจมูก ลมหายใจออก และลมที่แหวก บรรยากาศออกไป มันเป็นความเที่ยงตรงที่คมชัด ลงรายละเอียด และเป็น ลำดับขั้น ทั้งยังเรียกง่ายในตัวเอง ถ้าการกระทำใดเป็นไปอย่างเรียบง่าย คุณจะเริ่มตระหนักถึงความเที่ยงตรงของมัน เราจะเริ่มตระหนักได้ว่าทุก สิ่งทุกอย่างที่เรากระทำอยู่ในชีวิตประจำวัน ล้วนงดงามและมีความหมาย
หากคุณรินน้ำชา คุณกำหนดรู้การเหยียดแขน สัมผัสกาน้ำชา ยกมันขึ้น และรินน้ำชาจนกระทั่งน้ำชาสัมผัสถ้วยจนเต็มถ้วย แล้วคุณก็หยุดริน วางกาน้ำชาลงอย่างเหมาะเจาะ ดังที่กระทำกันในพิธีเลี้ยงน้ำชาของชาว ญี่ปุ่น คุณเริ่มกำหนดรู้ว่าทุกขณะที่เที่ยงตรง ล้วนภูมิฐาน อันที่จริง เรา ต่างพากันหลงลืมไปสนิท ว่ากิจกรรมทุกประการ ล้วนเรียบง่ายและ เที่ยงตรงได้ การงานทุกอย่างในชีวิตของเรา ล้วนบรรจุความเรียบง่าย เที่ยงตรงไว้แล้ว ฉะนั้นจึงเป็นการงานที่งดงามและภูมิฐานอย่างยิ่งทั้งสิ้น
การสนทนาสื่อสารกันและกันก็เป็นกิจที่งดงามได้ หากเรามองมันในแง่ ที่เรียบง่ายและเที่ยงตรง ทุกขณะที่เราหยุด ในขณะที่กำลังพูด จะเป็น ดั้งการเว้นวรรคตอน เราพูดทิ้งช่องว่าง ไม่จำเป็นจะต้องเป็นรูปแบบที่ เคร่งขรึมตายตัวเลย แต่จะงดงามตรงที่คุณไม่รีบเร่ง คุณไม่ได้พูดรัวจน ถี่ยิบ อย่างหยาบกระด้าง เราไม่จำเป็นต้องถ่ายเทข้อมูลข่าวสารออกไป แล้วหยุดชะงักเพื่อให้คนอื่นตอบโต้ด้วยความรู้สึกว่ากำลังโยนกลองให้ ผู้อื่น แต่เราสามารถกระทำการอย่างภูมิฐานและเหมาะเจาะได้ เพียงแต่ ทิ้งช่วงบ้างเท่านั้น ช่วงว่างนี้แหละ ที่สำคัญในการสื่อสารกับคนอื่นพอ ๆ กับการพูดคุย คุณไม่จำเป็นต้องท่วมทับคู่สนทนาด้ยถ้อยคำ ความนึก คิด และรอยยิ้มไปในทันทีทั้งหมด คุณสามารถทิ้งช่วงว่างได้ แล้วยิ้ม พูดไปพักหนึ่ง แล้วทิ้งช่วงว่าง แล้วพูดคุยต่อ ทิ้งช่วงว่าง เว้นวรรค ตอน คุณลองคิดดูเถิดว่า ถ้าเราเขียจดหมายถึงคนอื่น โดยที่ไม่ได้เว้น วรรคตอนเลย การสื่อสารนั้นจะดูยุ่งเหยิงเพียงใด และคุณก็ไม่จำเป็น ต้องระวังตัวหรือเกร็งอยู่กับการทิ้งช่วงว่าง
เพียงแต่ปล่อยให้มันไหลรี่ ไปตามธรรมชาติของมันเท่านั้น การมองเห็นความเที่ยงตรงของสถานการณ์ในทุกขณะโดยอาศัยกลวิธี ต่าง ๆ เช่นการเดินจงกรมนี้เรียกว่า สมถะภาวนา ( สมถะ ) สมถะภาวนา นี้เกี่ยวกับหินยานมรiค หรือ " ยานลำน้อย " อันเป็นมรรคที่แคบและเคร่ง ครัด สมถะหมายถึง " ความสงบ " มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้า ทรงสอนหญิงชาวบ้านผู้หนึ่งให้ฝึกสติ ขณะชักถังน้ำขึ้จากบ่อ พระองค์ ทรงสอให้เธอมีสติกำหนดรู้การเคลื่อนไหวแต่ละขณะของแขนและมือ นี้เป็น
การฝึกกำหนดรู้คุณลักษณ์ของปัจจุบันขณะ ฉะนี้จึงเป็นสมถะ คือ พัฒนาการแห่งความสงบสันติ เพราะเมื่อคุณแลเห็น
ปัจจุบันกาลอยู่ทุก ขณะ ก็จะไม่มีที่เหลือให้สิ่งใดอื่นนอกจากการเปิดและความสงบ