รำลึก 100 ปี “ไททานิค”
ในภาพยนตร์เรื่องไททานิค บทสรุปของเรื่องราวบนแผ่นฟิล์มคือการอับปางลงอย่างไม่มีวันกลับ พร้อมกับความรักนิรันดร์ของแจ๊คกับโรสที่กลายเป็นตำนานชู้รักเรือล่มอันยิ่งใหญ่ ทว่าในความเป็นจริงหลังจากเรือที่ไม่มีวันจมอย่างไททานิคชนหินโสโครกจนหักเป็นสองท่อนและจมลงเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2455 นั้น เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของคนอีกกลุ่มที่ต้องรีบทำงานแข็งกับเวลาที่ผ่านไปเพื่อระบุว่าใครรอดและใครเสียชีวิต
เมืองฮาลิแฟกซ์ ในมณฑลโนวาสโกเทียของแคนาดา ท่าเรือใหญ่ที่สุดและตั้งอยู่ใกล้กับจุดที่ไททานิคจมไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 1,200 กิโลเมตร คนในเมืองนี้จึงต้องรับบทบาทสำคัญในโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งของศตวรรษที่ 20
เฟรเดอริค ลาร์ดเนอร์ กัปตันเรือแม็คเคย์-เบนเน็ตต์ เรือวางสายโทรเลขใต้ทะเล ซึ่งถูกสร้างมาเพื่อให้แล่นผ่านน้ำแข็งและหมอก มันถูกติดตั้งอุปกรณ์สำหรับค้นหาสายโทรเลขใต้ทะเลลึกและซ่อมแซมสายเหล่านั้น แต่สำหรับครั้งนี้งานของเขาคือต้องไปถึงจุดเรือจมให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และกู้ศพจากเรือไททานิคขึ้นมา ลูกเรือซึ่งเป็นคนท้องถิ่น 75 คนจากหมู่บ้านชาวประมงซึ่งอยู่ใกล้เมืองฮาลิแฟกซ์ที่สุดขนโลงศพขึ้นเรือลำนี้แทนที่สายโทรเลข พวกเขาจะได้รับค่าจ้างสองเท่าสำหรับช่วงเวลาน่ากลัวหลายวันที่รออยู่ข้างหน้าได้
ก่อนที่ไททานิคจะหักสองท่อนและจมลง มีผู้โดยสารเพียงหนึ่งในสามเท่านั้นที่สามารถลงเรือชูชีพได้ พวกเขาถูกรับขึ้นเรือโดยสารที่ผ่านมาเพียงลำเดียวที่ไปถึงจุดเกิดเหตุ ส่วนคนที่เหลือถูกทิ้งไว้ให้เสียชีวิต ในคืนที่ไททานิคจม อุณหภูมิน้ำในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือลบสององศาต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง ในสภาพเลวร้ายสุด ๆ เช่นนี้ กัปตันลาร์ดเนอร์รู้ว่าระยะเวลารอดชีวิตโดยเฉลี่ยนั้นไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
เวลาเดียวกันนั้น จอห์น เฮนรี บาร์นสเตด นายทะเบียนของเมืองฮาลิแฟกซ์ ที่คอยจดบันทึกว่าใครเกิด ใครแต่งงาน และใครตายซึ่งตามปกติแล้วมันเป็นงานที่ไม่น่าสนใจ แต่ไม่ใช่ในเวลานี้เพราะงานของเขาคือเตรียมการสำหรับศพผู้เสียชีวิต และระบุตัวตนของทุก ๆ ศพ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเทคโนโลยีนิติวิทยาศาสตร์ในปี 1912 ห้องดับจิตทั้งเมืองถูกเตรียมให้ว่างไว้ และสัปเหร่อจากทั่วทั้งมณฑลก็เตรียมพร้อมที่จะทำงาน
บาร์นสเตดไม่ปล่อยให้มีสิ่งใดเป็นไปตามยถากรรม สมัยเป็นหนุ่ม บาร์นสเตดได้เห็นผู้บังคับบัญชาของเขาล้มเหลวในการทำภารกิจนำศพกลับบ้านจากเรืออีกลำของบริษัทไวท์สตาร์ ที่ชื่อ อาร์เอ็มเอส แอตแลนติก ซึ่งอับปางที่ชายฝั่งของมณฑลโนวาสโกเทีย พวกเขาระบุตัวตนได้ไม่กี่ศพ ทรัพย์สินถูกขโมยและครอบครัวของพวกเขาต้องสิ้นหวัง บาร์นสเตดปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกไม่ได้
การระบุตัวตน การเขียนหมายเลข และทรัพย์สิน คือวิธีการของบาร์นสเตด ทุกศพจะถูกเขียนหมายเลข และหมายเลขนั้นพร้อมด้วยคำบรรยายรูปพรรณสัณฐานและรายการทรัพย์สินจะอยู่กับศพนั้นเสมอ
รำลึกครบ 100 ปีไททานิค : 15 เม.ย. 55
เมืองฮาลิแฟกซ์ มณฑลโนวาสโกเทีย แคนาดา
17 เมษายน สองวันหลังจากไททานิคจมลง และยังไม่มีความชัดเจนว่าจริง ๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น หรือมีกี่คนรอดชีวิต บนเรือที่มาช่วยเหลือซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปนิวยอร์ก มีนางแมเดลีนซึ่งขณะนั้นตั้งครรภ์ได้ห้าเดือน ภรรยาของผู้โดยสารที่รวยที่สุดบนเรือไททานิครวมอยู่ด้วย สามีของเธอคือ จอห์น เจค็อบ แอสเตอร์ และหลานสาวของเขาคือแจ๊คกี้ แอสเตอร์ เดร็กเซล
เกือบสี่วันแล้วหลังจากเรือไททานิคจม เรือช่วยเหลือก็นำผู้รอดชีวิตกลับมาก็มาถึงนิวยอร์ก การกลับบ้านครั้งประวัติศาสตร์ของเรือลำนี้เกิดขึ้นตรงจุดที่ปัจจุบันคือท่าเทียบหมายเลข 54 ซึ่งไม่ได้ใช้งานแล้ว ในท่าเรือเวสต์ไซด์ของนิวยอร์ก พอเรือช่วยเหลือเข้าเทียบท่า เมื่อวินเซนต์เห็นแมเดลีนอยู่คนเดียว เขาก็รู้ว่าพ่อของเขาจะไม่มีวันได้กลับมาบ้านอีกแล้ว แต่ถ้ายังไม่พบศพและระบุตัวตน ก็ไม่มีใครแน่ใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจอห์น เจค็อบ แอสเตอร์ ไม่มีใครแน่ใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนเหล่านั้นที่ไม่ได้กลับบ้าน
21เมษายน เรือแม็คเคย์-เบนเน็ตต์ไปถึงจุดเรืออับปาง หลายศพลอยไปแล้ว แต่พวกลูกเรือก็ต้องประหลาดใจที่อีกหลายศพยังเกาะกลุ่มกันอยู่ท่ามกลางซากอับปางศพเหล่านี้ต้องถูกกู้ ถอดเสื้อผ้า ตรวจสอบ และจดบันทึกตามคำสั่งของบาร์นสเตด
ขั้นแรกศพถูกวางเรียงบนดาดฟ้าเรือ แล้วเสื้อผ้าก็ถูกถอดออก และสิ่งของแต่ละชิ้นจะถูกเขียนบรรยายและจดบันทึกไว้ หลังจากนั้นเสื้อผ้าจะถูกเผาเพื่อป้องกันพวกนักล่าของที่ระลึก จะต้องมีสองคนอยู่ด้วยเสมอขณะเก็บทรัพย์สินจากแต่ละศพ นี่หมายความว่าจะปล่อยให้มีสิ่งใดถูกเก็บไว้ผิดที่หรือถูกขโมยไปไม่ได้ รายการของที่อยู่ในกระเป๋าของผู้ตายถูกบันทึกไว้อย่างครบถ้วน เพื่อช่วยในการระบุตัวตน ทั้งบนเรือและบนฝั่งตรงกัน
หมายเลขซึ่งกำหนดให้ศพจะถูกส่งมอบให้บาร์นสเตดที่บนฝั่ง และจะอยู่กับบุคคลนั้นไปตลอดการจดบันทึกทั้งหมด หลักการระบุตัวตน การใส่หมายเลข และการเก็บทรัพย์สินของบาร์นสเตดยังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน ในหน่วยงานกู้ภัย ดับเพลิง ตำรวจ และยามฝั่ง
22 เมษายน ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ มีข่าวมาถึงเรือแม็คเคย์-เบนเน็ตต์ว่าวินเซนต์ แอสเตอร์ได้เสนอเงิน 10,000 ดอลลาร์ หรือเท่ากับสองแสนห้าหมื่นดอลลาร์ในปัจจุบัน เป็นเงินรางวัลสำหรับการหาศพบิดา และก็ดูเหมือนจะมีคนได้รางวัลนั้น จอห์น เจค็อบ แอสเตอร์ถูกระบุตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยอักษรย่อปักด้วยไหมในคอปกเสื้อของเขา โดยกระดุมข้อมือเพชร และเงินสด 3,000 ดอลลาร์ในกระเป๋า
แม้จะหาบางคนพบแต่ไม่ได้หมายความว่าทุคนจะได้กลับบ้าน เมื่อโลงศพ 70 โลงที่นำไปกับเรือถูกใช้จนหมด และศพมีสภาพแย่มากจนระบุตัวตนไม่ได้ การฝังศพในทะเลจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดในขณะนั้น พวกเขาต้องอาศัยน้ำลึกอย่างน้อย 600 ฟุต และน้ำหนักถ่วงในผ้าห่อศพเพื่อป้องกันไม่ให้ศพลอยขึ้นมา กัปตันลาร์ดเนอร์คาดการณ์เรื่องนี้ไว้อยู่แล้ว จึงใส่ตะแกรงเหล็กมาในห้องเก็บสินค้าใต้ท้องเรือ ศพเกือบทั้งหมดที่ถูกฝังในทะเลนั้นเป็นผู้โดยสารชั้นสามหรือลูกเรือ ซึ่งถูกส่งกลับลงสู่ก้นทะเลลึกโดยมีพิธีกรรมทางศาสนาอย่างเหมาะสม