สาวอยากสวยต้องเสี่ยงเตือนฉีดฟิลเลอร์ถึงตาบอด เป็นข่าวที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีก เมื่อจักษุแพทย์พบว่ามีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยอาการตาบอดจากการไปฉีดฟิลเลอร์ กระแสการเสริมความงามด้วยการฉีดสารต่างๆ ให้หน้าตึง เรียวเล็ก ลบรอยเหี่ยวย่น และทำให้จมูกสวย เป็นสิ่งที่วงการแพทย์นำสารต่างๆ มาใช้ แต่ก็พบว่ามีรายงานผลกระทบจากการใช้สารเหล่านี้ด้วย โดยเฉพาะสารเติมเต็มอย่าง "ฟิลเลอร์" ที่เป็นตัวการทำให้ตาบอด
พล.ต.ท.นพ.อรรถพันธ์ พรมณฑารัตน์ นายกสมาคมศัลยกรรมและเวชศาสตร์เพื่อการเสริมสวยประเทศไทยและอนุกรรมการคุ้มครองประชาชนในเรื่องการประกอบวิชาชีพเวชกรรม การโฆษณา ด้านเสริมความงาม แพทยสภา อนุกรรมการสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคและแก้ไขปัญหาด้านความงาม อธิบายว่า การทำจมูกให้สวยนั้น ปัจจุบันนิยมใส่ซิลิโคนแท่งหรือใช้กระดูกอ่อนจากใบหู ซี่โครง หรือในจมูก ขึ้นอยู่กับเทคนิคของแพทย์แต่ละคน ซึ่งวิธีที่เป็นที่ยอมรับคือ การผ่าตัด
ส่วนการฉีดฟิลเลอร์ก็นิยม เพราะสารไฮยาลูลอนิคแอซิดนั้นสามารถสลายตัวเองได้และการฉีดก็ง่ายกว่าการผ่าตัด แต่สารฟิลเลอร์จะมีลักษณะเหมือนนมข้นหวาน เป็นสารหนืดๆ สีใส ซึ่งเมื่อฉีดเข้าไปจะไหลไปตำแหน่งข้างๆ ที่ใต้ตา แก้ม จะไม่คงรูป
เมื่อฉีดสาร 4-5 วัน ก็จะเริ่มเกิดการอักเสบและกลายเป็นของแข็ง โดยสารที่บอกว่าสลายตัวได้ ไม่ได้สลายตัวจริง ทำให้เกิดผิวหนังนูนๆ จะตุงที่จมูก หว่างตา บวมแดง สุดท้ายต้องมาเอาออก
การฉีดสารใดๆ ก็ตาม ควรถามหมอว่าจะฉีดสารอะไร และขอดูฉลากยา ให้หมอผสมยาให้ดูต่อหน้า สอบถามว่าอย.อนุญาตให้ฉีดที่ตำแหน่งนั้นๆ หรือไม่ ผลข้างเคียงเป็นอย่างไร รักษาได้หรือไม่
ด้าน นพ.ไพศาล ร่วมวิบูลย์สุข ประธานราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาวะตาบอดจากการฉีดสารแปลกปลอมเพื่อความสวยงามถือว่ามีอันตราย โครงสร้างใบหน้านั้น มีลักษณะของเส้นเลือดโยงใยเหมือนกิ่งก้านสาขา การฉีดฟิลเลอร์ที่ตำแหน่งใดก็ตามบนใบหน้ามีความเสี่ยง เพราะไม่มีทางทราบว่าตำแหน่งใดมีเส้นเลือดเชื่อมไปที่ดวงตา และจะเสี่ยงมากขึ้นเมื่อฉีดสารใกล้ดวงตา คือที่จมูกและหว่างคิ้ว
จากรายงานของทั่วโลก พบว่าผู้ที่ตาบอดจากการฉีดฟิลเลอร์นั้น ตาบอดถาวรโดยไม่สามารถรักษาได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งกรณีเส้นเลือดอุดตันนั้น ทางการแพทย์จะพบในกรณีเกิดลิ่มเลือดอุดตันบริเวณเส้นเลือดดวงตาได้ แต่จะรักษาได้ด้วยการยิงเลเซอร์หรือผ่าตัด แต่ฟิลเลอร์นั้นไม่สามารถใช้เลเซอร์หรือผ่าตัดได้ ซึ่งมีความพยายามรักษาด้วยการฉีดสารละลาย แต่ก็ยังไม่พบว่ามีรายงานทางการแพทย์ที่ประสบความสำเร็จ