มีน้อยคนนักที่จะรู้จักทรัพย์ภายใน ซึ่งได้แก่ ความเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่สงเคราะห์ผู้ยากไร้ การทำบุญทำทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนาข้าฯ(พญายมราช)ได้เคยตั้งคำถามแก่ผู้ที่หมดบุญหรือสิ้นบุญจากโลกมนุษย์ ได้มาอยู่ในภพแห่งวิญญาณ ไม่เคยมีใครเข้าใจหรือตอบ คำถามข้าฯ ได้ถูกต้องเลย เพราะสมัยอยู่ในโลกมนุษย์ ไม่เคยสนใจเรื่องเหล่านี้เลย ข้าฯ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร กรรมใดใครก่อคนนั้นก็รับกรรมไป คนบางคนเป็นถึงเศรษฐี มหาเศรษฐี อัครมหาเศรษฐี ตกที่ร้อนทั้งนั้น เพราะมัวแต่ทำการค้าขาย ทำมาหากิน เขาก็ได้แต่ทรัพย์ภายนอก ส่วนทรัพย์ภายในไม่มีเวลาที่จะสั่งสมไว้คนบางคนหาทรัพย์มาได้แล้ว ก็เกิดหน้ามืด อวดเก่งคิดว่าไม่มีใครเก่งเกินหน้าไปได้บวกกับความโลภไม่มีที่สิ้นสุด ก็เกิดความอาฆาต พยาบาทแย่งชิงความเป็นใหญ่โดยการจ้างมือปืนฆ่ากันไปฆ่ากันมา เงินที่หาได้มาได้ไม่ทันได้ใช้ถูกกฎหมายบ้านเมืองจับได้เสียก่อนจึงติดคุกติดตารางเสียผู้เสียคนไปก็มาก บุคคลเหล่านี้เมื่อสิ้นบุญจากโลกมนุษย์ไปแล้ว โอกาสที่จะกลับไปเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากเสียแล้ว จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะเกิดจากกิเลสตัณหาของคนไม่รู้จักหมดจักมอด ภพชาติแห่งการเวียนว่ายตายเกิดจึงไปจุติ สู่ที่ต่ำกว่ามนุษย์เพราะเป็นพวกที่มืดบอด ไม่สนใจสิ่งที่เรียกว่า ทรัพย์ภายในสิ่งที่ข้า ฯ พญายมราชจะบอกหรือสั่งไปยังโลกมนุษย์นั้น ขอให้เริ่มต้นด้วยเมตตาเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าขึ้นต้นด้วย อาฆาตแล้ว สิ่งที่จะตามมาก็คือการจองเวรกันอย่างนี้ก็ไม่สิ้นสุดเพราะในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเวร ย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร แต่เวรจะไม่ระงับด้วยการจองเวร........................ผมนั่งนิ่งเงียบ ฟังพญายมราชพูด ซึ่งพญายมราชก็ได้พูดต่อไปอีกว่า………………..
คนในโลกมนุษย์นับถือศาสนาเสียเปล่า แต่ไม่รู้จักและไม่ค่อยสนใจพุทธศาสนา ถ้าจะรู้จักหรือนับถือพระภิกษุสงฆ์สักองค์หนึ่ง ยึดถือเอาเป็นอาจารย์ก็ไม่ดูตาม้าตาเรือ เป็นสมมุติสงฆ์ทั้งนั้น เข้าตำราที่ว่า เหลืองห่มตอ ไม่มีคุณค่าใด ๆ ต่อพุทธศาสนิกชนแม้แต่น้อย ซึ่งผิดกับพระอริยสงฆ์ พระปฏิบัติ พระสุปฏิปัณโณ ซึ่งส่วนมากท่านจะกินน้อย พูดน้อย สมถะ ไม่โอ้อวด บุญกุศลที่เกิดจากพระสมมุติสงฆ์ กับพระอริยสงฆ์นั้นต่างกันราวฟ้ากับดินcredit by http://www.mindcyber.com