อายตนะนิพพาน = ธรรมกาย = อัตตา มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ และมีเมืองพระนิพพานด้วยพระพุทธเจ้าครัสไว้ใน ๑. นิพพานสูตรที่ ๑ ว่า:
[๑๕๘] ......ดูกรภิกษุทั้งหลาย "อายตนะนั้นมีอยู่" ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้าพระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลายเราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ
ที่มา :
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=25&A=3977&Z=3992***************************************************
สังเกตคำว่า
"อายตนะนั้นมีอยู่" แสดงว่าอายตนะนิพพานนั้นมีอยู่จริง
"หาอารมณ์มิได้นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ" เป็นอายตนะที่ไม่มีอารมณ์หาทุกข์มิได้
พุทธวจนะบทนี้เป็นข้อสรุปว่าพระนิพพานนั้น สามารถเข้าถึงได้โดยอายตนะนั้นมีอยู่
แต่เป็นอายตนะที่ปราศจากทุกข์ ไม่มีการไป ไม่มีการมา ไม่มีการจุติ
แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มี เพราะทรงกล่าวยืนยันชัดหนักแน่นว่า "อายตนะ
อายตนะนั้นมีอยู
อ้างอิง:
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีอายตนะ (อ่านว่า อายะตะนะ) แปลว่า ที่เชื่อมต่อ, เครื่องติดต่อ หมายถึงสิ่งที่เป็นสื่อสำหรับติดต่อกัน ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น แบ่งเป็น 2 อย่างคือ
อายตนะภายใน หมายถึงสื่อเชื่อมต่อที่อยู่ในตัวคน บ้างเรียกว่า อินทรีย์ 6
มี 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งหมดนี้เป็นที่เชื่อมต่อกับอายตนะภายนอก
อายตนะภายนอก หมายถึงสื่อเชื่อมต่อที่อยู่นอกตัวคน บ้างเรียกว่า อารมณ์ 6 มี 6 คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ทั้งหมดนี้เป็นคู่กับอายตนภายใน เช่น รูปคู่กับตา หูคู่กับเสียง เป็นต้น
อายตนะภายนอกนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อารมณ์ เมื่อตาเห็นรูป เรียกว่า สัมผัส รู้ว่ามีการเห็น เรียกว่าวิญญาณ เกิดความรู้สึกขึ้นเมื่อตาเห็นรูป เรียกว่า เวทนา
สรุปเมื่อพระพุทธเจ้ายืนยันว่า
อายตนะนิพพานมีอยู่ และไม่ใช่เป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และไม่ใข่วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ แต่
อายตนะภายในแปลว่า มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และก็มีอายตนะภายในแปลนอกด้วย อายตนะภายนอกนั้นก็คือ
เมืองพระนิพพาน มหายานเรียกว่า
พุทธเกษตรอายตนะนิพพานภายใน นั้นคือ ธรรมกาย ซึ่งธรรมกายนี้เป็น"อัตตา" ยืนยันได้จากพุทธพจน์ที่ผมยกมา
อ้างอิง 1. [ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร พระอวโลกิเตศวรสอนพระสารีบุตรว่า
"
ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้
ก็คืออายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง "
อ้างอิง 2.[ ขุทฺทกนิกาย จริยา อรรถกถาปกิณณกกถา เล่ม 74 หน้า 571
"...หรือบารมีย่อมตักตวงคุณมีศีลเป็นต้นอื่นไว้ในสันดานของตนเป็นอย่างยิ่ง หรือบารมีย่อมทำลายปฏิปักษ์อื่นจาก
ธรรมกายอันเป็นอัตตา...."
...