[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 26 เมษายน 2555 20:08:10



หัวข้อ: พระธรรมปาโมกข์รูปที่ ๑๓ : พระธรรมปาโมกข์ (บุญมั่น มนฺตาสโย)
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 26 เมษายน 2555 20:08:10
พระธรรมปาโมกข์ยุคกรุงรัตนโกสินทร์



(http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=33356.0;attach=2236;image)

พระธรรมปาโมกข์ (บุญมั่น  มนฺตาสโย) วัดปทุมวนาราม  กรุงเทพมหานคร



พระธรรมปาโมกข์
รูปที่ ๑๓
พระธรรมปาโมกข์ (บุญมั่น  มนฺตาสโย)



พระธรรมปาโมกข์ (บุญมั่น  มนฺตาสโย)   เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ เมษายน ปีจอ ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๒๙ ณ บ้านคลองคราม ในคลองบางกอกน้อย  เป็นบุตรชายคนแรกของนายพันโท  พระบริคุตวรภัณฑ์ (คง สรวิสูตร์) ยกกระบัตรทหารบก  ท่านรอด เป็นมารดา  ท่านมีพี่สาวร่วมมารดาคนหนึ่ง คือคุณชุมแสง เทพหัศดินทร์  ซึ่งถึงแก่กรรมไปนานแล้ว  และมีน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับท่านอีก ๒ คน คือ นางพิมลเสนี (ประพันธ์  หงสกุล)  คนหนึ่ง กับนายเพชร์  สรวิสูต  อีกคนหนึ่ง  ซึ่งทั้งสองท่านนี้ได้ถึงแก่กรรมไปก่อนแล้วเช่นกัน

เมื่อเยาว์วัย ท่านได้มีโอกาสติดตามคุณโยมบิดาเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงในพระบรมมหาราชวังเป็นประจำ  และได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบเป็นรุ่นแรก รุ่นเดียวกับมหาอำมาตย์ตรีพระยาภะรตราชา (ม.ล.ทศทิศ  อิศรเสนา) เรียนจบประโยคหนึ่งแตกฉานในภาษาไทยเป็นอย่างดี และภาษาอังกฤษพอสมควร

เมื่อท่านมีอายุได้ ๑๗ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดบวรนิเวศวิหาร  ได้มีโอกาสถวายการปฏิบัติต่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส จนเป็นที่โปรดปรานเพราะความขยัน อดทน และอยู่จนดึกเป็นนิจ  ด้วยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงงานอยู่จนเลยสองยามแล้วจึงจะเสด็จเข้าที่พระบรรทม  ท่านเฝ้ารับใช้รวดเร็วทันพระทัยและรู้พระทัยเป็นอย่างดี โดยมิได้คำนึงถึงเวลาพักผ่อนของท่านเอง

ท่านเป็นสามเณรอยู่ได้ปีเศษ  ก็ลาสิกขาออกไปรับราชการของประเทศชาติในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติเป็นเวลาประมาณ ๓ ปีเศษ ก็ลาออก เพื่อไปหาความสงบและพักผ่อนเพื่อสุขภาพ  ในที่สุด ท่านก็ได้ตัดสินใจอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดนรนาถสุนทริการาม วัดเดียวกับที่คุณโยมบิดาของท่านเคยบรรพชา  โดยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ  กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า วัดราชบพิธ  ทรงเป็นพระอุปัชฌายะ  พระวินัยมุนี เป็นพระกรรมวาจา  เมื่อวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๐

พรรษาแรกที่อุปสมบท  ท่านได้ไปจำพรรษาอยู่ในวัดเล็ก ๆ ในป่าจังหวัดนครสวรรค์ หลังจากออกพรรษาแล้ว ท่านก็โดยสารรถไฟกลับกรุงเทพฯ พักอยู่ที่วัดนรนาถฯ บ่ายวันหนึ่ง ท่านนั่งรถรางมาลงที่สะพานยศเส (สะพานกษัตริย์ศึก ปัจจุบัน)  แล้วเดินต่อไปจนถึงชานเมืองได้พบวัดปทุมวนาราม ก็รู้สึกสนใจในความสงบร่มเย็นของวัดนี้   ท่านจึงเดินเข้าไปดูในลานวัด และพบกับพระวิสุทธสารเถระ (ผิว)  ผู้เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๔  ท่านจึงเข้าไปทำความเคารพและสนทนาอยู่พักหนึ่ง  จนเกิดความประทับใจในการต้อนรับของเจ้าอาวาส  ท่านจึงกราบขอมาอยู่วัดปทุมวนารามตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  พระวิสุทธสารเถระ  เดิมเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดพระบาทตากผ้า  จังหวัดอุตรดิตถ์  มีผู้คนเคารพนับถือมาก  เดิมเป็นเจ้าอาวาสวัดปทุมวนารามองค์ที่ ๓ มรณภาพลง  พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงจึงโปรดให้นิมนต์ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสวัดปทุมวนารามสืบแทนต่อไป และอยู่มาไม่นานก็มรณภาพลง  กรมพระสวัสดิ์  จึงนิมนต์พระอาจารย์หนู  จิตปัญโญ  ซึ่งเป็นเพื่อสหธรรมมิก เดินธุดงค์กับพระอาจารย์มั่น  ภูริทัตตเถระ จากวัดบูรพา  จังหวัดอุบลราชธานี  มาเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๕ ของวัดปทุมวนารามต่อไป  เพราะฉะนั้น พระอาจารย์มั่นฯ จึงได้ลงมาพักอยู่ด้วยเป็นเวลาถึง ๓ ปี
          
พระธรรมปาโมกข์ (มนฺตาสโย  บุญมั่น  สรวิสูตร์)  มีความสนใจในทางธรรมปฏิบัติมาก จึงเข้ารับการอบรมกรรมฐานจากท่านอาจารย์มั่นฯ  และได้ติดตามธุดงค์ไปกับพระอาจารย์ในภาคเหนือ  แล้วเลยเข้าไปอยู่เมืองมะระแหม่ง ๒ ปี กับที่เมืองเมาะตะมะอีก ๒ ปี  การอยู่ในประเทศพม่าต้องแอบพูดภาษาไทยกันอย่างเบา ๆ เพราะพม่ามีชาตินิยม  จึงไม่พอใจที่จะได้ยินภาษาอื่นนอกจากภาษาพม่า  เมื่อกลับประเทศไทยท่านอาจารย์มั่นฯ เข้ามาทางเชียงรายและเชียงใหม่  ส่วนพระธรรมปาโมกข์ลงเรือที่เมืองเมาะตะมะ มาขึ้นที่นครศรีธรรมราช แล้วเดินทางกลับวัดปทุมวนาราม เช่นเดียวกับพระอาจารย์มั่นฯ ซึ่งมาถึงกรุงเทพฯ ภายหลัง  และคงพักอยู่วัดปทุมวนารามชั่วระยะหนึ่ง  จึงมีการเดินทางไปธุดงค์ด้วยกันอีก  โดยมุ่งไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  เลยไปถึงประเทศลาว เลาะมาตามริมฝั่งแม่น้ำโขง  ข้ามฟากเข้าประเทศไทยที่ปากเซ ขึ้นที่วัดธาตุพนม  แล้วเดินทางต่อไปยังจังหวัดสกลนคร  อุดรธานี  แล้วขึ้นรถไฟมาลงที่นครราชสีมา  เดินธุดงค์ต่อไปยังเพชรบูรณ์ พิษณุโลก  อุตรดิตถ์  จนมาถึงปากน้ำโพ  จึงขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพฯ  ซึ่งเป็นการธุดงค์เที่ยวสุดท้าย  ครั้นเมื่อเจ้าอาวาสองค์ที่ ๕  ถึงแก่มรณภาพลง  สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์  ก็ทรงแต่งตั้งให้ท่านรักษาการเจ้าอาวาส และเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๖ ในกาลต่อมา  ท่านได้รับสมณศักดิ์มาตามลำดับ คือ
   - ๖ พ.ย. ๒๔๗๖  พระครูประทุมธรรมธาดา
   - ๕ ธ.ค. ๒๔๙๑  พระปัญญาพิสารเถร
   - ๕ ธ.ค. ๒๕๐๐  พระปัญญาพิสารเถร (ชั้นราชในนามเดิม)
   - ๕ ธ.ค. ๒๕๐๕  พระเทพมงคลปัญญาจารย์
   - ๕ ธ.ค. ๒๕๒๐  พระธรรมปาโมกข์

พระธรรมปาโมกข์ทำอะไรก็ทำจริง ๆ เช่นการเดินธุดงค์ก็เดินจริง ๆ เป็นระยะทางทั้งหมดมากมายน่าพิศวง  ส่วนการแสดงธรรมเทศนานั้น เมื่อได้กลับจากธุดงค์อยู่วัดปทุมวนารามแล้ว ท่านก็แสดงได้ดีเป็นที่สบอารมณ์แก่ผู้ฟัง  เมื่อสมเด็จพระพันวษาอัยยิกาเจ้า เสด็จมาทรงสดับพระธรรมเทศนาในวันธรรมสวณะ  ที่สำคัญก็ทรงรับสั่งให้ท่านมั่นเทศน์ เจ้านายและคหบดีก็นิมนต์ให้ท่านไปเทศน์อยู่เสมอ จนเกือบจะไม่มีเวลาพักผ่อน  แต่ท่านก็ต้องรับนิมนต์เพราะไม่อยากจะขัดศรัทธา

พระธรรมปาโมกข์มีจริยาวัตรเรียบร้อยนิ่มนวล เป็นที่น่าเลื่อมใสศรัทธาแก่บรรดาผู้ที่ได้มีโอกาสวิสาสะโดยทั่วไป  ซึ่งรวมทั้งคหบดีและเจ้านายหลายพระองค์  ท่านได้รับนิมนต์ไปในงานพระราชพิธีอยู่เสมอ จึงมีโอกาสได้เฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ อย่างใกล้ชิด  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ก็ได้เสด็จมาที่วัดปทุมวนารามอยู่เนือง ๆ ครั้งสุดท้ายได้เข้าเฝ้าเมื่อ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๒๐  ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จมายกช่อฟ้าในพระอุโบสถที่ซ่อมใหม่ เมื่อเสร็จพิธีแล้วล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ก็เสด็จไปถวายความเคารพแด่พระบรมอัฐิของสมเด็จพระราชบิดา ซึ่งบรรจุไว้ในเจดีย์ที่โรงเรียนพระปริยัติธรรม  และเมื่อเสด็จออกจากโรงเรียนก็ทรงพระราชดำเนินผ่านกุฏิของพระธรรมปาโมกข์ ซึ่งคอยเฝ้าอยู่ที่กุฏิ  ล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ก็ได้หยุดรับสั่งกับท่านอยู่เป็นเวลานานพอสมควรจึงเสด็จกลับ

พระธรรมปาโมกข์มีสุขภาพดีมาตลอด  มีความแข็งแรง อดทน สามารถเดินธุดงค์อยู่เป็นเวลานานปีโดยปราศจากโรคภัยอันตราย เมื่อจำพรรษาอยู่ที่วัดปทุมวนารามท่านออกบิณฑบาตเป็นประจำและบางครั้งไปตามถนนสุขุมวิทจนเกือบถึงพระโขนง  ท่านรับนิมนต์เจ้านายและคหบดีที่มีวังและคฤหาสน์ในย่านสุขุมวิทอยู่เป็นนิจ  ทำให้เกิดความใกล้ชิดและเกิดศรัทธาแก่เจ้านายและคหบดีเหล่านั้น  เป็นเหตุให้มีผู้ติดตามมาทำบุญที่วัดปทุมวนาราม เมื่อวัยชราท่านไม่สามารถออกบิณฑบาตได้ และท่านได้หกล้มหลายครั้ง ครั้งที่สำคัญครั้งแรกท่านต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เป็นเวลาสองเดือนเศษ ประมาณ ๒ ปีต่อมา  ท่านก็ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลตำรวจนานถึงสองเดือน  ในปลาย พ.ศ. ๒๕๒๒  ท่านเป็นลมล้มในกุฏิ  ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์อีกเป็นแรมเดือน  แล้วย้ายมาอยู่โรงพยาบาลสงฆ์เพื่อความสะดวกบางประการ  ทุกครั้งที่ท่านป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์เป็นประจำหลายประการ  การป่วยของท่านครั้งสุดท้ายท่านมีพระฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถตั้งไว้ที่โต๊ะหัวนอนเตียง  และทุกเวลาเพลท่านจะสวดมนต์ถวายพระราชกุศลแด่ล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์ ในระยะหลัง ๆ นี้ ท่านฉันได้น้อยและมีอาการอ่อนเพลีย

ครั้นมาถึงวันอังคารที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๒๒  เวลา ๘.๔๕ น. ท่านจำวัดแล้วก็ถึงแก่มรณภาพด้วยความสงบ นับอายุได้ ๙๓ ปี ๗ เดือน ๒๐ วัน และพรรษา ๗๓








กิมเล้ง : http://www.sookjai.com (http://www.sookjai.com)

ข้อมูลคัดลอกจาก
- อังกุรปัญญานุสรณ์ : บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด, ๒๕๔๕