หัวข้อ: สิ่งที่ไม่ควรพูดจงอย่าพูด{ภาษาชาวบ้าน} เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 29 พฤษภาคม 2554 08:39:18 (http://www.seesod.com/storage36/fod4XLH1ok1304866747/l.jpg) (http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=19987.0;attach=1169;image) (http://uyfz9q.bay.livefilestore.com/y1puwwLyY1hQGevKbPEFyCjgBoQn3NSNeo-y8gjotl_lxJ--glH5i3PgMx-t56j5hxrXEdhp0j_jvxReSFv7ti_moNX3z_jaCAr/hyooneunhye.gif?psid=1) ถาม......มีคนเคยบอกว่าการที่เราพูดอย่างไม่คิด - คำพูดนั้นแม้จะเป็นเพียงคำสั้น ๆ แต่ก็สามารถทำให้เสียมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่ไปได้ และได้ศัตรูมาเพิ่มจริงหรือเปล่า ? ตอบ.......พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เป็นเครื่องเตือนที่ดีทุกแง่มุมของชีวิต รวมไปถึงการพูดด้วยการใคร่ครวญไตร่ตรองให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนจะพูดอะไรจะทำ อะไร(ด้วยกุศล)ย่อมเป็นสิ่งที่ดีควรอย่างยิ่งที่จะเป็นอย่างนั้นการพูดเป็นสิ่งที่ สำคัญในชีวิตประจำวัน จำเป็นจะต้องพูดคุยสนทนากับผู้อื่นอยู่เสมอและเป็นที่น่า พิจารณาว่าในวันหนึ่ง ๆ โดยปกติของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่นั้นย่อมเป็นไปหวั่นไหวด้วย อำนาจของอกุศลเสียเป็นส่วนใหญ่ตามการสะสมไม่ใช่ว่าจะพูดด้วยกุศลจิตตลอด บางครั้งก็พูดด้วยอกุศลจิตจึงมีวจีทุจริตเกิดขึ้นค่อนข้างมากในชีวิตประจำวัน แต่เวลาที่หิริ(ความละอายต่ออกุศลธรรม)โอตตัปปะ(ความเกรงกลัวต่ออกุศลธรรม) มีกำลังมากขึ้นก็จะทำให้พูดสิ่งที่ดีเพิ่มขึ้น ซึ่งแต่ก่อนอาจจะพูดไปโดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้น จะเป็นโทษเป็นภัยอย่างไรแต่เวลาที่หิริโอตตัปปะเกิดขึ้นจะทำให้พิจารณาเห็นได้ ว่าสิ่งใดที่ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ก็สามารถที่จะเว้นไม่พูดในขณะนั้นได้ ไม่ได้ห้ามการพูดไม่ใช่ไม่ให้พูดพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า สิ่งใดที่พูดไป แล้วแม้จะเป็นเรื่องจริงเป็นการเพิ่มอกุศลให้กับทั้งคนพูดและคนฟังก็ไม่ควรพูด แต่ถ้าสิ่งใดเมื่อพูดไปแล้วเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นแห่งกุศลธรรมควรพูดแต่จะ เป็นไปได้มากแค่ไหน ขึ้นอยู่กับความเข้าใจและเห็นประโยชน์ แต่ละบุคคลมีความประพฤติเป็นไปตามการสะสมถึงแม้ว่าเราจะพูดดีให้คำแนะ นำที่ดีพูดความจริงให้เห็นโทษของอกุศลให้เห็นคุณของกุศล เป็นต้นแต่บุคคลนั้น ไม่รับฟังไม่เห็นด้วยไม่ชอบก็มีแสดงว่าเขาเป็นศัตรูกับเราเพราะขณะนั้นเขา เป็นอกุศลแต่เราจะไม่เป็นศัตรูของเขาคือไม่เป็นอกุศลไม่โกรธแ่ต่พร้อมเสมอ ที่จะมีเมตตาเกื้อกูลเท่าที่จะเป็นไปได้หรือถ้าจะมองในทางกลับกันถ้าเป็นบุคคล ที่สะสมมาดีเป็นบัณฑิตมีจิตน้อมไปในทางที่เป็นกุศลอยู่เสมอ เมื่อเราพูดผิดพูด ไม่ดีก็จะไม่ถือโทษโกรธในความผิดดังกล่าวพร้อมที่จะให้อภัยและแนะนำให้เห็น โทษดังกล่าวด้วยแต่ละบุคคลจึงเป็นแต่ละหนึ่งจริง ๆ พระธรรม เป็นเรื่องของการขัดเกลากิเลสไม่ใช่การเพิ่มกิเลสเพราะฉะนั้น ถ้าพิจารณาเห็นว่าสิ่งใดเป็นโทษไม่เป็นประโยชน์ก็ควรจะงดเว้นในสิ่งนั้นแล้ว เจริญกุศลธรรมในชีวิตประจำวันมีการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม เป็นต้นความ เข้าใจพระธรรมจะเป็นเครื่องปรุงแต่งให้มีความประพฤติที่ดีงามทั้งทางกาย - ทางวาจา และทางใจ........................................... พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม 2 หน้าที่ 442 (:LOVE:)๓.สุตสูตร (:LOVE:) ว่าด้วยสิ่งที่ควรกล่าวและไม่ควรกล่าว {๑๘๓}สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหาร - เวฬุวันกลันทกนิวาปสถานใกล้พระนครราชคฤห์ครั้งนั้นแลวัสสการ - พราหมณ์ผู้เป็นมหาอำมาตย์ในแคว้นมคธเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ ประทับได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึก ถึงกันแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระ - ภาคเจ้าว่าพระโคดมผู้เจริญข้าพเจ้ามีวาทะอย่างนี้มีทิฏฐิอย่างนี้ว่าผู้ใด ผู้หนึ่งย่อมกล่าวสิ่งที่ตนเห็นว่าเราเห็นอย่างนี้โทษแต่การพูดนั้นไม่มีผู้ใด ผู้หนึ่งย่อมกล่าวสิ่งที่ตนได้ฟังมาว่าเราได้ฟังมาอย่างนี้โทษแต่การพูดนั้น ไม่มีผู้ใดผู้หนึ่งย่อมกล่าวสิ่งที่ตนทราบ(ทางจมูก ลิ้น กาย)ว่าเราทราบ อย่างนี้โทษแต่การพูดนั้นไม่มีผู้ใดผู้หนึ่งย่อมกล่าวสิ่งที่ตนรู้แจ้ง(ทางใจ) ว่าเรารู้แจ้งอย่างนี้โทษแต่การพูดนั้นไม่มี พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าดูก่อนพราหมณ์เราไม่กล่าวสิ่งที่เห็น ทั้งหมดว่าควรกล่าวและไม่กล่าวสิ่งที่เห็นทั้งหมดว่าไม่ควรกล่าวเราไม่ กล่าวสิ่งที่ได้ฟังทั้งหมดว่าควรกล่าวและไม่กล่าวสิ่งที่ได้ฟังทั้งหมดว่าไม่ ควรกล่าวเราไม่กล่าวสิ่งที่ทราบทั้งหมดว่าควรกล่าวและไม่กล่าวสิ่งที่ ทราบทั้งหมดว่าไม่ควรกล่าวเราไม่กล่าวสิ่งที่รู้แจ้งทั้งหมดว่าควรกล่าว และไม่กล่าวสิ่งที่รู้แจ้งทั้งหมดว่าไม่ควรกล่าวดูก่อนพราหมณ์แท้จริง เมื่อบุคคลกล่าวสิ่งที่ได้เห็นอันใดทำให้อกุศลธรรมเจริญขึ้นกุศลธรรม เสื่อมไปเรากล่าวสิ่งที่ได้เห็นเห็นปานนั้นว่าไม่ควรกล่าวแต่เมื่อบุคคล กล่าวสิ่งที่ได้เห็นอันใดทำให้อกุศลธรรมเสื่อมไปกุศลธรรมเจริญขึ้นเรา กล่าวสิ่งที่ได้เห็นเห็นปานนั้นว่าควรกล่าวดูก่อนพราหมณ์เมื่อบุคคลกล่าว สิ่งที่ได้ฟังมาอันใดสิ่งที่ได้ทราบอันใดสิ่งที่รู้แจ้งมาอันใดทำให้อกุศล ธรรมเจริญขึ้นกุศลธรรมเสื่อมไปเรากล่าวสิ่งที่ได้ฟังมาเห็นปานนั้น สิ่งที่ได้ทราบมาเห็นปานนั้นสิ่งที่รู้แจ้งเห็นปานนั้นว่าไม่ควรกล่าวแต่ เมื่อบุคคลกล่าวสิ่งที่ได้ฟังมาอันใดสิ่งที่ได้ทราบมาอันใดสิ่งที่รู้แจ้ง อันใดทำให้อกุศลธรรมเสื่อมไปกุศลธรรมเจริญขึ้นเรากล่าวสิ่งที่ได้ฟังมา เห็นปานนั้นสิ่งที่ได้ทราบมาเห็นปานนั้นสิ่งที่รู้แจ้งเห็นปานนั้นว่า ควรกล่าวครั้งนั้นแลวัสสการพราหมณ์มหาอำมาตย์ในแคว้นมคธชื่นชม อนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าลุกจากอาสนะแล้วหลีกไป (:LOVE:)จบสุตสูตรที่ ๓ (:LOVE:) พึงพิจารณาวาจาที่จะพูด{จูฬราุหุโลวาทสูตร} พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม 2 ภาค 1 หน้าที่ 267 {๑๓๐}ดูก่อนราหุลเธอปรารถนาจะทำกรรมใดด้วยวาจาเธอพึง พิจารณาวจีกรรมนั้นเสียก่อนว่าเราปรารถนาจะทำกรรมใดด้วยวาจาวจีกรรม ขอเรานี้พึงเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้างเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้างและเพื่อ เบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่นบ้างวจีกรรมนี้เป็นอกุศลมีทุกข์เป็นกำไรมีทุกข์ เป็นวิบากกระมังหนอถ้าเธอพิจารณาอยู่พึงรู้อย่างนี้ว่าเราปรารถนาจะทำ กรรมใดด้วยวาจาวจีกรรมของเรานี้พึงเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้างเพื่อ เบียดเบียนผู้อื่นบ้างและเพื่อเบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่นบ้างวจีกรรมนี้เป็น อกุศลมีทุกข์เป็นกำไรมีทุกข์เป็นวิบากดังนี้ไซร้วจีกรรมเห็นปานนั้น เธอไม่ควรทำโดยส่วนเดียวแต่ถ้าเธอพิจารณาอยู่พึงรู้อย่างนี้ว่าเราปรารถนา จะทำกรรมใดด้วยวาจาวจีกรรมของเรานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่อเบียดเบียนคนบ้าง เพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้างและเพื่อเบียดเบียนทั้งคนและผู้อื่นบ้างวจีกรรมนี้ เป็นกุศลมีสุขเป็นกำไรมีสุขเป็นผลดังนี้ไซร้วจีกรรมเห็นปานนั้นเธอ ควรทำดูก่อนราหุลแม้เมื่อเธอกำลังทำกรรมด้วยวาจาเธอก็พึงพิจารณา วจีกรรมนั้นแหละว่าเราทำอยู่ซึ่งกรรมใดด้วยวาจาวจีกรรมของเรานี้ย่อม เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้างเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้างและเพื่อเบียดเบียน ทั้งตนและผู้อื่นบ้างวจีกรรมนี้เป็นอกุศลมีทุกข์เป็นกำไรมีทุกข์เป็นวิบาก กระมังหนอถ้าเธอพิจารณาอยู่พึงรู้อย่างนี้ว่าเราทำอยู่ซึ่งกรรมใดด้วยวาจา วจีกรรมของเรานี้ย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นและ เพื่อเบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่นวจีกรรมนี้เป็นอกุศลมีทุกข์เป็นกำไรมีทุกข์ เป็นวิบากดังนี้ไซร้ธอพึงเลิกวจีกรรมเห็นปานนั้นเสียแต่ถ้าเธอพิจารณาอยู่ พึงรู้อย่างนี้ว่าเราทำอยู่ซึ่งกรรมใดด้วยวาจาวจีกรรมของเรานี้ย่อมไม่เป็น ไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้างเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้างและเพื่อเบียดเบียนทั้งตน และผู้อื่นบ้างวจีกรรมนี้เป็นกุศลมีสุขเป็นกำไรมีสุขเป็นวิบากดังนี้ไซร้ เธอพึงเพิ่มวจีกรรมเห็นปานนั้นดูก่อนราหุลแม้เธอทำกรรมด้วยวาจาแล้ว เธอก็พึงพิจารณาวจีกรรมนั้นแหละว่าเราได้ทำแล้วซึ่งกรรมใดด้วยวาจาวจี - กรรมของเรานี้ย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้างเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เพื่อเบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่นบ้างวจีกรรมนี้เป็นอกุศลมีทุกข์เป็นกำไรมี ทุกข์เป็นวิบากกระมังหนอถ้าเธอพิจารณาอยู่พึงรู้อย่างนี้ว่าเราได้ทำแล้ว ซึ่งกรรมใดด้วยวาจาวจีกรรมของเรานี้ย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้างเพื่อ เบียดเบียนผู้อื่นบ้างเพื่อเบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่นบ้างวจีกรรมนี้เป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกำไรมีทุกข์เป็นวิบากดังนี้ไซร้วจีกรรมเห็นปานนั้นเธอพึงแสดง เปิดเผยทำให้ตื้นในพระศาสนาหรือในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายผู้วิญญู ครั้นแล้วพึงสำรวมต่อไปแต่ถ้าเธอพิจารณาอยู่พึงรู้อย่างนี้ว่าเราได้ทำแล้ว ซึ่งกรรมใดด้วยวาจาวจีกรรมของเรานี้ย่อมไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้างเพื่อเบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่นบ้างวจีกรรมนี้เป็น กุศลมีสุขเป็นกำไรมีสุขเป็นวิบากดังนี้ไซร้เธอพึงมีปีติและปราโมทย์ ศึกษาในกุศลธรรมทั้งกลางวันและกลางคืนอยู่ด้วยวจีกรรมนั้นแหละ (:LOVE:)เป็นกุศลก็ไม่พ้นจากสังสารวัฎฎ์ (:LOVE:) ตราบใดที่ยังมีสังสารวัฎฎ์ก็ไม่พ้นกรรมตั้งแต่ขณะเกิด เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีกรรมก็ไม่ต้องเกิด แต่ละคนเกิดมาต่างกัน เพราะกรรมต่างกันกรรมนั้นมีทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม อกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้วสามารถให้ผลได้เมื่อยังมีสังสารวัฎฎ์ เมื่อกลัวผลของอกุศลกรรม ก็ควรเจริญกุศลกรรมให้มากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ โดยเฉพาะกุศลกรรมที่จะทำให้พ้นจากสังสารวัฎฎ์ เพราะเมื่อยังเป็นกุศลกรรมที่ทำแล้วก็ไม่พ้นจาก{สังสารวัฎฎ์} ข้อมูนี้มาจากมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาบ้านธัมมะ 136 หมู่ 5 ต.หนองควาย อ.หางดง จ.เชียงใหม่ 50230 ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา จะเดินทางมาร่วมสนทนาธรรมที่บ้านธัมมะเชียงใหม่ วันที่ ๑๔ - ๑๕ - ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๔ ท่านสามารถเข้าร่วมการสนทนาและถามปัญหา ตามวันเวลาต่อไปนี้ วันอังคารที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๔ เวลา ๑๔:๐๐-๑๖:๓๐ น. วันพุธที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๔ เวลา ๐๙:๓๐-๑๒:๐๐ น.ที่บ้านธัมมะ และเวลา ๑๓:๓๐ - ๑๖:๐๐ น. ที่ห้องประชุมเดชะตุงคะ กองบิน 41 วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๔ เวลา ๐๙:๓๐ - ๑๒:๐๐ น. มีอาหารกลางวันจัดไว้สำหรับทุกท่าน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ .. มูลนิธิ ฯ 02 - 4680239 และบ้านธัมมะ 053 - 431678 My Blog...........http://7star2011.wordpress.com (http://7star2011.wordpress.com) http://www.se-ed.com/ads/pr/sile/song/07.%20Track%207.wma |