สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 15-21 ม.ค. 2567
<span class="submitted-by">Submitted on Sun, 2024-01-21 10:39</span><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><p><strong>ประชากรลด – เศรษฐกิจไทยไม่อาจรอเด็กเกิดใหม่เข้าสู่ตลาดแรงงาน</strong></p>
<p> หากประเทศไทยต้องการเพิ่มกำลังแรงงาน อาจขยายอายุการทำงานไปถึง 65 ปี แทนการเร่งอัตราการเกิดของประชากร เนื่องจากประชากรเกิดใหม่จะต้องรออย่างน้อย 18-25 ปี จึงจะเข้าสู่ตลาดแรงงาน ซึ่งอาจไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาตลาดแรงงานที่กำลังจะต้องเผชิญในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า</p>
<p>ใน 10 เดือนแรกของปี 2566 มีจำนวนเด็กเกิดใหม่ 433,030 คน ในขณะที่มีจำนวนคนตายถึง 472,546 คน ทำให้ประชากรไทย ณ เดือนตุลาคม ปี 2566 ลดลง 37,516 คน จาก 66.09 ล้านคนในปี 2565</p>
<p>โดย ณ สิ้นปีงบประมาณ 2565 ประชากรไทยมีเพศชาย 32.27 ล้านคน และเพศหญิง 33.82 ล้านคน มีสัญชาติไทย 64.87 ล้านคน</p>
<p>Generation Alpha ผู้ที่เกิดหลังปี 2555 11.28% และ Generation Z ผู้ที่เกิดปี 2540-2555 มีสัดส่วน 20.23% (สัญชาติไทยรวม 2 Generation คิดเป็นสัดส่วนของประชากรอยู่ที่ 31.42%)</p>
<p>Generation Y ผู้ที่เกิดปี 2524-2539 มีสัดส่วน 23.25% (สัญชาติไทย 23.26%)</p>
<p>Generation X ผู้ที่เกิดปี 2508-2523 มีสัดส่วน 24.65% (สัญชาติไทย 24.71%)</p>
<p>Baby Boomer ผู้ที่เกิดปี 2489-2507 มีสัดส่วน 17.07% (สัญชาติไทย 17.13%)</p>
<p>ก่อน Baby Boomer: ผู้ที่เกิดก่อนปี 2488 มีสัดส่วน 3.52% (สัญชาติไทย 3.48%)</p>
<p>จากสถิตินี้แสดงให้เห็นว่ามีจำนวนผู้มีสัญชาติอื่นอาศัยในไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ในกลุ่มก่อน Baby Boomer มีผู้มีสัญชาติอื่นเพียงประมาณ 6 หมื่นคน แต่ในกลุ่ม Generation Alpha และ Generation Z รวมกันมีถึง 3.7 แสนคน</p>
<p>ตัวเลขจำนวนประชากรที่มีสัญชาติไทย ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 (อ้างอิงจากข้อมูลของสำนักบริหารการทะเบียน) อยู่ที่ 65,066,812 คน ลดลง 39,669 คน จาก 65,106,481 คน ณ สิ้นปี 2565 และมีประชากรที่ไม่ใช่สัญชาติไทยเพิ่มจาก 983,994 คน ณ สิ้นปี 2565 เป็น 991,155 คน</p>
<p>สถิติตัวเลข ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยมีจำนวนผู้เสียชีวิตมากกว่าจำนวนผู้เกิดใหม่อยู่ถึงกว่า 4.6 หมื่นคน ภายในเวลา 11 เดือน</p>
<p>จากตัวเลขสถิติแรงงาน สำนักงานสถิติแห่งชาติ ณ สิ้นปี 2565 ประเทศไทยมีกำลังแรงงานอยู่ประมาณ 40 ล้านคน เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2562 สัดส่วนแรงงานต่อประชากรทั้งหมดอยู่ที่ 62% ในขณะที่มีผู้มีอายุตั้งแต่ 15-60 ปี มีอยู่ 43.7 ล้านคน ณ สิ้นปี 2565 และมีผู้มีอายุระหว่าง 61-65 ปีอยู่ 3.9 ล้านคน</p>
<p>ใน 2 ปีที่ผ่านมา กลุ่ม Gen Z ที่มีจำนวนประชากรน้อยกว่า Gen อื่น เริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงาน ในขณะที่ Gen Baby Boom อยู่ในอายุเกษียณในปีนี้เป็นปีสุดท้าย หรือก็คือ ในปีหน้าจะมีคนที่อยู่ในวัยหลังเกษียณ 20.59%</p>
<p>กำลังแรงงานจะหายไปจากระบบราว 9.1 แสนคนในปี 2567 เนื่องจากเกษียณอายุที่ 60 ปี แต่มีแรงงานที่เข้ามาใหม่เพียง 7.9 แสนคน และส่วนต่างระหว่างกำลังแรงงานที่หายไปกับแรงงานเข้าใหม่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากประเทศอยู่ในสถานการณ์นี้อีกแค่ 10 ปี จะมีกำลังแรงงานหายไปจากตลาดรวมราว 3 ล้านคน</p>
<p>กองทุนประกันสังคมต้องแบกรับผลของกำลังแรงงานที่หายไปนี้ และผู้เสียภาษีเองก็ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายภาครัฐที่มาพร้อมกับสังคมสูงวัย ไม่ว่าจะเป็นเบี้ยเกษียณอายุ ระบบสาธารณสุข และการปรับระบบโครงสร้างพื้นฐานให้เหมาะกับสังคมสูงวัย</p>
<p>เศรษฐกิจไทยไม่สามารถรอเด็กเกิดใหม่เติบโตอีก 18-25 ปี เพื่อเข้าสู่ตลาดแรงงาน ภาครัฐควรใช้มาตรการอื่นแทนการเร่งอัตราการเกิด ที่จะสามารถแก้ปัญหาจำนวนแรงงานลดลงได้รวดเร็วกว่ามาตรการเร่งอัตราการเกิดแบบเดิมๆ เพราะตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ปัญหานี้มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น</p>
<p>
ที่มา: ข่าวช่อง 7HD, 21/1/2567</p>
<p><strong>ดีอีเปิด 10 "ข่าวปลอม" ประจำสัปดาห์ที่ประชาชนให้ความสนใจสูงสุด อันดับ 1 เพจปลอมกรมพัฒนาฝีมือแรงงานรับสมัครพนักงาน</strong></p>
<p>20 ม.ค. 2567 นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะโฆษกกระทรวงฯ เปิดเผยถึง ผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมของ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่ 12-18 ม.ค. 2567 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 1,194,201 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ ทั้งสิ้น 140 ข้อความ</p>
<p>ทั้งนี้ช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ ข้อความที่มาจาก Social Listening จำนวน 113 ข้อความ ตามมาด้วยการแจ้งเบาะแสผ่าน Line Official จำนวน 27 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ 97 เรื่อง และจากการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว 59 เรื่อง</p>
<p>ทั้งนี้ ดีอี ได้แบ่งข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย</p>
<p>กลุ่มที่ 1 นโยบายรัฐบาล ข่าวสารทางราชการ ความสงบเรียบร้อยของสังคม ขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงภายในประเทศ จำนวน 53 เรื่อง อาทิ กรมการจัดหางาน แนะนำงานสร้ายรายได้ 890-2,800 บาท รับและส่งชิ้นงานฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย เป็นต้น</p>
<p>กลุ่มที่ 2 ผลิตภัณฑ์สุขภาพ วัตถุอันตราย เครื่องสำอาง รวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมาย จำนวน 19 เรื่อง อาทิ ผิวไม่ใส เพราะหายใจไม่สุด มีเสมหะพิษ ที่ขับออกไม่หมด สะสมที่ปอด เป็นต้น</p>
<p>กลุ่มที่ 3 ภัยพิบัติ จำนวน 4 เรื่อง อาทิ วันที่ 17-19 ม.ค.นี้ หลายพื้นที่ตั้งแต่ ภาคเหนือ มาถึงภาคกลาง อุณหภูมิจะลดลงอีกโดย กทม.อุณหภูมิต่ำสุด 20 องศา เป็นต้น</p>
<p>กลุ่มที่ 4 เศรษฐกิจ จำนวน 21 เรื่อง อาทิ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดให้ลงทุน Gold Trading การลงทุนหุ้นเริ่มต้น 50$ (1,750 บาท) กองทุนปันผลเริ่มต้น 500$ (17,490 บาท) กำไรสูงสุด 20% เป็นต้น</p>
<p>โดย แบ่งเป็นเรื่องการหลอกลวงธุรกรรมทางการเงิน จำนวน 18 เรื่อง</p>
<p>สำหรับ ข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจในลำดับต้นๆ ในสัปดาห์ล่าสุดนี้ พบว่าส่วนใหญ่เป็น ข่าวด้านกลุ่มนโยบายรัฐบาล ข่าวสารทางราชการ รองลงมาเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และกลุ่มเศรษฐกิจ ตามลำดับ</p>
<p>โดยข่าวที่ได้รับความสนใจจากประชาชน มากที่สุด 10 อันดับ ได้แก่</p>
<p>1.รับสมัครพนักงานแพ็กของ รายได้เฉลี่ย 450 บาท/ต่อวัน ผ่านเพจกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน</p>
<p>2.สินเชื่ออเนกประสงค์กรุงไทย 5 พลัส วงเงินสูงสุด 2 ล้านบาท ผ่านเพจ Loan Versatile 5 Plus</p>
<p>3.กรมการจัดหางาน แนะนำงานสร้างรายได้ 890-2,800 บาท รับและส่งชิ้นงานฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย</p>
<p>4.เพจเฟซบุ๊ก Loan 5 Plus ที่ปรึกษาด้านสินเชื่อธนาคารกรุงไทย</p>
<p>5. งินกู้ด่วน 5,000-300,000 บาท ทุกอาชีพก็กู้ได้ ผ่านเพจ KA PRO ติดต่อผ่านไลน์</p>
<p>6.กลุ่ม Line ร่วมกับ SET เรียนรู้การซื้อ-ขายหุ้นฟรี ลงทุนเริ่มต้น 1,000 บาท รับปันผล 4,000-8,000 บาท/สัปดาห์</p>
<p>7. เพิ่มเงินบำนาญรายเดือนให้ข้าราชการรายละ 5,000 – 10,000 บาท</p>
<p>8. ฟันผุติดต่อกันได้ผ่านการหอมหรือจูบ</p>
<p>9. อุปกรณ์ Power Factor Saver ประหยัดค่าไฟฟ้าได้ 50% ไม่ผิดกฎหมาย</p>
<p>10. เปิดลงทุน Gold Trading เริ่มต้น 50$ (1,750 บาท) กองทุนปันผลเริ่มต้น 500$ (17,490 บาท) กำไรสูงสุด 20%</p>
<p>
ที่มา: คมชัดลึก, 20/1/2567</p>
<p><strong>รมว.แรงงานยืนยันเงินเยียวยาแรงงานไทยจากอิสราเอล 5 หมื่นจ่ายเร็ว ส่งเอกสาร กต. กว่า 4.7 พันราย</strong></p>
<p>นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือแรงงานไทยที่กลับจากประเทศอิสราเอล เนื่องจากเกิดการสู้รบในพื้นที่ ซึ่งได้ยื่นคำร้องเพื่อขอรับเงินเยียวยาแรงงานไทยจากสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศอิสราเอล รายละ 50,000 บาท ว่าหลังจากที่สำนักงบประมาณได้อนุมัติเงินงบประมาณโครงการเยียวยาฯ ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2566 กระทรวงแรงงานได้เร่งดำเนินการจ่ายเงินเยียวยาฯให้ผู้มีสิทธิฯ ทันทีในวันที่ 27 ธันวาคม 2566 ดังนั้น จนถึงวันที่ 18 มกราคม 2567 รวม 15 วัน กระทรวงแรงงานได้โอนเข้าบัญชีให้ผู้มีสิทธิหรือทายาทของแรงงานแล้ว จำนวน 1,210 ราย คิดเป็นจำนวนเงิน 60,500,000 บาท ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จไม่เกินเดือน ก.พ. นี้</p>
<p>“ขอยืนยันว่า เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานเร่งดำเนินการอย่างเต็มที่ ดำเนินการทันที และไม่ล่าช้า เพื่อให้พี่น้องแรงงานที่กลับจากอิสราเอลได้รับเงินเยียวยา 50,000 บาท โดยเร็วที่สุด ส่วนหนึ่งที่ยังไม่ได้รับเงินเนื่องจากบางรายเอกสารไม่สมบูรณ์ ยังไม่ได้เซ็นในเอกสาร จึงมีการส่งกลับไปให้แก้ไข ทั้งนี้ คาดว่าจะทยอยโอนเงินเยียวยาได้มากขึ้นวันละอย่างน้อย 250 – 300 ราย เพื่อให้ดำเนินการแล้วเสร็จให้ครบไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์นี้” นายพิพัฒน์ กล่าว</p>
<p>ด้าน นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตนและเจ้าหน้าที่ทุกคนได้เร่งทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อให้แรงงานไทยได้รับสิทธิประโยชน์โดยเร็วที่สุด ในส่วนของความคืบหน้าค่าพาหนะเดินทางของแรงงานที่กลับจากอิสราเอล ซึ่งมีแรงงานไทยได้ติดต่อสอบถามมายังกระทรวงแรงงานเป็นจำนวนมากถึงเรื่องที่ยังไม่ได้รับเงินค่าเดินทางกลับจากอิสราเอลดังกล่าวนั้น เกี่ยวกับความคืบหน้าในเรื่องนี้ ขณะนี้ กระทรวงแรงงานได้ดำเนินการส่งคำร้องขอรับเงินค่าเดินทางฯ ไปยังกระทรวงการต่างเทศ (กต.) เรียบร้อยแล้ว จำนวน 4,729 คน จากจำนวนผู้มายื่นคำร้องตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2566 – วันที่ 15 มกราคม 2567 ทั้งสิ้น 5,012 คน จำแนกเป็น ค่าตั๋วเครื่องบิน 2,698 คน และค่าแท็กซี่ 3,699 คน</p>
<p>“ในการยื่นคำร้องขอรับค่าเดินทางกลับจากอิสราเอลนั้น กระทรวงแรงงานจะทำหน้าที่รับเรื่องของคนไทยทุกคนที่เดินทางกลับประเทศไทยเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบในอิสราเอล ทั้งกลุ่ม นักเรียน นักศึกษา และแรงงานไทย ซึ่ง กต.จะเป็นผู้พิจารณาค่าชดเชย/ค่าใช้จ่าย หลังจากยื่นเอกสารกับกระทรวงแรงงานแล้ว กต.จะดำเนินการจ่ายค่าพาหนะให้แรงงานต่อไป” นายไพโรจน์ กล่าวและว่า แรงงานไทยที่ยื่นคำขอไว้แล้วแต่ยังไม่ได้รับค่าเงินค่าเดินทางกลับจากอิสราเอล สามารถติดตามการยื่นคำขอได้ที่ Hotline call center กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ โทร.02 572 8442</p>
<p>
ที่มา: มติชนออนไลน์, 18/1/2567</p>
<p><strong>เชื่อแนวรบยิว-อามาส มีจุดสิ้นสุด รอเปิดพื้นที่สีเขียวส่งแรงงานไทยไปอิสราเอลอีกระลอก</strong></p>
<p>นายพงศ์ศักดิ์ ศรีมานนท์ จัดหางานจังหวัดพิษณุโลก นายวีระศักดิ์ สุวรรณโณที่ปรึกษาจัดหางานจังหวัดพิษณุโลก/อนุกรรมธิการการมีส่วนร่วมของประชาชา-วุฒิสภาพร้อมคณะภาคีเครือข่าย ระดมแนวคิดการจัดหาแรงงานยังตำแหน่งที่ว่างงาน โดยเฉพาะให้ผู้ว่างงานมาลงทะเบียนและภาคเอกชนจะเป็นผู้เลือกหรือช็อปปิ้งในระบบออนไลน์</p>
<p>พร้อมรับฟังสถานการณ์การสู้รบในอิสราเอลว่า จะเปิดพื้นที่สีเขียวบริเวณใดบ้าง หรือยังมีพื้นที่สีแดงเขตใดบ้างเพื่อเตรียมส่งแรงงานไทยกลับไปทำงานในต่างแดนอีก</p>
<p>จัดหางานจังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่า ใครที่อยากไปทำงานต่างประเทศ หากไม่เข้าใจ จะต้องมาที่สำนักงานจัดหางานทุกแห่ง ไม่ต้องรอให้กลุ่มมิชฉาชีพ อ้างว่า จะหางานให้ทำ แม้จะอ้างผ่านระบบแรงงานก็ตาม หากถูกหลอกแล้วย้อนกลับมาหาหน่วยงานราชการ จะแก้ไขลำบาก ยากที่จะทวงเงินคืน ที่ผ่านมาพบเจออยู่บ่อยครั้ง</p>
<p>อันดับแรก คนที่จะไปต่างประเทศ ต้องมาตรวจสอบว่า บริษัทดังกล่าว มีตัวตนหรือไม่ ขึ้นทะเบียนกับกรมการจัดหางานหรือไม่ หรือ แม้จะทราบว่าบริษัทดังกล่าวนั้นมีจริง แต่อาจมีบุคคลอื่นแอบอ้างชื่อ โดยที่บริษัทไม่รู้ก็ได้ ซึ่งจัดหางานจังหวัด ทราบถึง ตัวบุคคลนั้นๆว่า เป็นพนักงานจริงหรือไม่</p>
<p>ส่วนสถานการณ์ในอิสราเอล ยืนยันว่า การรบคงไม่ยืดเยื้อ แบบไม่มีจุดสิ้นสุด นายจ้างฝั่งอิสราเอล ยังต้องมีการผลิตหรือประกอบธุรกิจ ณ.วันนี้ กระทรวงแรงงานได้หารือกับกระทรวงต่างประเทศว่า พื้นที่อิสราเอล เป็นสีเขียวหรือสีแดงบริเวณใดบ้าง หากรับรองว่า เป็นพื้นที่สีเขียว ก็พร้อมจัดส่งแรงงานได้ หากคนไทยมีความประสงค์</p>
<p>อย่างไรก็ตาม หากถามว่า สถานการณ์ปกติหรือยัง ณ.วันนี้ คงตอบเพียงว่า ยัง แต่แรงงานแถบประเทศรัฐเซียหรือประเทศใกล้เคียงได้เดินทางไปทำงานบ้างแล้วในพื้นที่ปลอดภัย ซึ่งก็ทำงานได้ปกติ เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่ประเทศอิสราเอล จะประกาศสงครามยาว และเป็นไปไม่ได้ที่นักธุรกิจจะหยุดการผลิต มิฉะนั้นประเทศก็อยู่ไม่ได้ สรุปคือ อิสราเอลยังต้องหาแรงงานไทยอยู่</p>
<p>เท่าที่สอบถาม แรงงานไทยที่กลับมาเพราะสงคราม ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ทำงานอะไร บอกเพียงว่า ช่วงนี้ต้องการผักผ่อน ไม่คิดจะทำอะไร คาดว่า แรงงานไทยคงหาโอกาส รอจังหวะสถานการณ์คลี่คลายแล้วย้อนกลับเข้าไปทำงานในอิสราเอลใหม่ โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมในต่างแดน</p>
<p>
ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์, 16/1/2567</p>
<p><strong>แรงงานโรงแรมยังขาดหนัก ผู้ประกอบการ 60% รับกระทบคุณภาพบริการ</strong></p>
<p>สมาคมโรงแรมไทย (THA) เปิดเผยว่า สมาคมได้ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย สำรวจดัชนีเชื่อมั่นผู้ประกอบการที่พักแรม (Hotel Business Operator Sentiment Index) เดือนธันวาคม 2566 (สำรวจระหว่างวันที่ 8-25 ธันวาคม 2566) จากผู้ตอบแบบสำรวจจำนวน 75 แห่ง พบว่าโรงแรมกว่า 60% ยังเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงาน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน</p>
<p>โดยมีผู้ประกอบการเพียง 35% ที่ระบุว่าสถานการประกอบการไม่มีปัญหาเรื่องแรงงาน และผู้ประกอบการที่บอกว่ามีปัญหาและยอมรับว่ากระทบต่อคุณภาพการให้บริการ แต่ไม่กระทบจำนวนลูกค้าที่รับได้ และ 15% ที่มีปัญหาระบุว่า การขาดแคลนแรงงานยังกระทบกับจำนวนลูกค้าที่รับได้ แต่ไม่กระทบกับคุณภาพการให้บริการ ส่วนอีก 15% ยอมรับว่ากระทบทั้งคุณภาพการให้บริการและจำนวนลูกค้าที่รับได้</p>
<p>อย่างไรก็ตาม โรงแรมกว่า 50% สามารถปรับราคาห้องพักได้สูงกว่าช่วงก่อน COVID-19 โดยเฉพาะโรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้นไป ขณะที่โรงแรมระดับไม่เกิน 3 ดาวส่วนใหญ่ยังปรับราคาได้จำกัด</p>
<p>ทั้งนี้ โรงแรมในภาคใต้มีสัดส่วนของโรงแรมที่ปรับราคาได้สูงกว่าก่อน COVID-19 สูงกว่าภาคอื่น ๆ ขณะที่โรงแรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่ยังมีราคาห้องพักใกล้เคียงกับช่วงก่อน COVID-19</p>
<p>
ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, 16/1/2567</p>
<p><strong>สนค. เผยวิกฤตการศึกษาไทย ระดับคะแนนต่ำในภูมิภาคอาเซียน เด็กเมินสายอาชีวะ ส่งผลกระทบขาดแคลนแรงงานสายอาชีพ</strong></p>
<p>15 ม.ค. 2567 นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวถึง การพัฒ นาการค้า การลงทุน และเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดด ในปัจจุบันส่งผลกระทบต่อแรงงานที่จำเป็นต้องอาศัยทักษะและกระบวนการคิดที่ตอบสนองต่อตลาดแรงงาน</p>
<p>จึงมีเสียงสะท้อนให้มีการปรับปรุงระบบการศึกษาของไทย เพื่อให้ประเทศสามารถผลิตแรงงานที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการแต่ละภาคส่วนได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากบางส่วนมองว่า แรงงานของไทยยังมีจำนวนที่ไม่เพียงพอที่จะตอบสนองในบางอุตสาหกรรม</p>
<p>จากผลสำรวจความต้องการแรงงานในโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ปี 2565 พบว่า มีภาวะขาดแคลนแรงงานฝีมือ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องจักรและยานยนต์ และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มากถึง 12,000 ตำแหน่ง</p>
<p>นายพูนพงษ์ กล่าวว่า แม้รายงานการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ปี 2566 จะแสดงให้เห็นถึงการเติบโตของกำลังแรงงานในระยะยาวที่ดีขึ้น แต่มีความเสี่ยงว่า ไทยอาจประสบปัญหาแรงงานทักษะที่ไม่เพียงพอในภาคบริการ</p>
<p>ในขณะที่คู่แข่งด้านการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ต่างเร่งการพัฒนาด้านแรงงานทั้งในแง่ของจำนวนและคุณภาพ ซึ่งในอนาคตอาจทำให้การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศของไทยทำได้ยากขึ้น และเป็นความท้าทายที่อาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ</p>
<p>เมื่อย้อนดูคุณภาพการศึกษาของไทยซึ่งเป็นต้นทางการผลิตแรงงาน พบว่า คะแนนของเด็กไทยต่ำลงในทุกหมวด ทั้งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน อย่างไรก็ตาม หากเทียบเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ระดับคะแนนของไทยยังต่ำกว่าสิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย ทั้งยังมีทิศทางที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง</p>
<p>นายพูนพงษ์ กล่าวอีกว่า ปัญหาของระบบการศึกษาไทย คือ การผลิตบุคลากรที่ไม่ตรง หรือไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด เกิดขึ้นจากค่านิยมที่ให้ความสำคัญกับการเข้าศึกษาในสายสามัญมากกว่าสายอาชีวะ ประกอบกับภาพลักษณ์ในเชิงลบที่มีต่อผู้เรียนในสายอาชีวะ ทำให้ความต้องการศึกษาในสายอาชีวะลดลง</p>
<p>"ไทยขาดแคลนแรงงานในสายอาชีวะจำนวนมาก ไม่สามารถรองรับการขยายตัวของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามายังไทย รวมถึงมีความเสี่ยงที่จะขาดแคลนแรงงานบางสาขาในอนาคต และขาดบุคลากรด้านการศึกษาที่มีความรู้ความเข้าใจการใช้เทคโนโลยีในการสอนให้เพิ่มสูงขึ้น"</p>
<p>นายพูนพงษ์ ยังกล่าวอีกว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหาในระบบการศึกษาไทย ส่งผลต่อการค้าและการลงทุนที่เกิดขึ้น เช่น ขาดแรงงานทักษะใหม่ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2565 พบว่า ไทยมีผู้ทำงานจริงเพียง 39.6 ล้านคน จากประชากร 66.1 ล้านคน</p>
<p>ขณะที่ผลสำรวจด้านแรงงานของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในปี 2565 พบว่า ไทยยังขาดแคลนแรงงานภาคอุตสาหกรรมในทุกระดับการศึกษา ซึ่งในภาคอุตสาหกรรมมีความต้องการแรงงานกว่า 168,992 คน แบ่งออกเป็นความต้องการแรงงานในระดับปริญญาตรีขึ้นไป 29,037 คน ระดับ ปวช.-ปวส. 38,079 คน ระดับ ป.6-ม.6 96,786 คน และอื่น ๆ อีก 5,090 คน</p>
<p>สะท้อนว่าระบบการศึกษาของไทยยังพัฒนาแรงงานได้น้อยกว่าความต้องการของตลาดอยู่มากพอสมควร ในขณะที่ ผู้ประกอบการต่างชาติมีค่าแรงสูง มีการแย่งตัวแรงงานด้วยการแข่งขันด้านค่าแรง ทำให้ต้นทุนการประกอบการสูงขึ้น และอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเลือกลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านที่มีจำนวนแรงงานในสายงานที่เกี่ยวข้องมากกว่า</p>
<p>ที่สำคัญคือ แรงงานที่มีลักษณะการทำงานซ้ำ ๆ อาจถูกแทนที่ด้วยระบบการทำงานอัตโนมัติ และอาจส่งผลให้ตัวเลขการจ้างงานรวมของประเทศลดลง และการศึกษาที่ขาดคุณภาพส่งผลต่อปัญหาความเหลื่อมล้ำ เพราะมีผลิตภาพต่ำ และมีทักษะที่ไม่หลากหลาย ทางเลือกในการประกอบอาชีพจึงมีน้อย เป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ</p>
<p>นายพูนพงษ์ฯ ย้ำว่า การศึกษานับเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ เพราะเป็นการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ในระยะยาว ทั้งยังต้องใช้เวลาในการพัฒนาพอสมควร ไม่สามารถสร้างหรือปรับเปลี่ยนได้ในเวลาอันสั้น ควรต้องเร่งพัฒนาการศึกษาตั้งแต่วันนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมในประเทศ</p>
<p>
ที่มา: Thai PBS, 15/1/2567</p>
<p> </p>
</div></div></div><div class="field field-name-field-variety field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">ข
https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์
https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai</div></div></div>
https://prachatai.com/journal/2024/01/107723