.พระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระสุริโยทัย ณ ทุ่งมะขามหย่อง จ.พระนครศรีอยุธยา
แสงสว่างบัลลังก์กรุงศรีฯ เริ่มริบหรี่
เมื่อสิ้น "พระสุริโยทัย" เมื่อพระสุริโยทัยสิ้นพระชนม์นั้น ปรากฏความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาตอนหนึ่งว่า
“ศักราช ๙๐๕ ปีเถาะเบญจศก (พ.ศ. ๒๐๙๑) ณ วันอาทิตย์ ขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๓ เวลาอุษาโยค สมเด็จพระเจ้าหงสาวดีก็ทรงเครื่องสิริราชปิลันธนาลังการาภรณ์ บวรมหาสังวาลเนาวรัตนสะพักพระอังสาอลงกตอังคาพยพอย่างอัครราชรามัญวิสัย สำหรับมหาพิชัยรณรงค์เสร็จ เสด็จทรงช้างพระที่นั่งพลายมงคลปราบทวีปเป็นราชพาหนะ ประดับเครื่องคเชนทราลังการาภรณ์บวรมหาสารวิภูสิต พร้อมด้วยเสนางคนิกรพิริยโยธาหาญ ดำเนินธงคลาพยุหโยธาทัพ พร้อมพลสามสิบหมื่น ช้างเครื่องเจ็ดร้อย ม้าสามพัน ให้พระมหาอุปราชเป็นกองหน้า พระเจ้าแปรเป็นเกียกกาย พระยาพสิมเป็นกองหลัง จากกรุงหงสาวดี รอนแรมมาเจ็ดเวน ข้ามแม่น้ำเมาะตะมะ โดยทางสมี
ขณะนั้น มีหนังสือบอกเมืองกาญจนบุรีเข้ามาว่า ชาวด่านไปถีบด่านถึงตำบลจอยยะได้เนื้อความว่า สมเด็จพระเจ้าหงสาวดียกพลมา ข้ามเมืองเมาะตะมะถึง ๗ วันจึงสิ้น
สมเด็จพระมหาจักพรรดิราชาธิราช ตรัสให้เทครัวเมืองตรีจัตวาและแขวงจังหวัดเข้าพระนคร และมีพระราชกำหนดขึ้นไปถึงเมืองพิษณุโลกว่า ถ้าศึกหงสาวดีเข้ามาติดพระนครศรีอยุธยาเมื่อใด ให้สมเด็จพระมหาธรรมราชาเอาทัพเมืองหน้าทั้งปวงยกมาเป็นทัพกระหนาบ แล้วตรัสให้พระยาจักรีออกตั้งค่ายตำบลลุมพลี ถือพลห้าหมื่น ล้วนใส่เสื้อแดงหมวกแดง
ฝ่ายพระมหานาคอยู่ วัดภูเขาทองสึกออกมารับอาสาตั้งค่ายกันทัพเรือ ตั้งค่ายแต่วัดภูเขาทองลงมาจนวัดป่าพลู พรรคพวกสมกำลังญาติโยมทาสชายทาสหญิงของมหานาค ช่วยกันขุดคูนอกค่ายกันทัพเรือ จึงเรียกว่า "คลองมหานาค"
เจ้าพระยามหาเสนา ถือพลหมื่นหนึ่งออกตั้งค่าย ณ บ้านดอกไม้ ป้อมท้องนาหันตรา พลใส่เสื้อเขียวหมวกเขียว พระยาพระคลังถือพลหมื่นหนึ่งตั้งค่ายป้อมท้ายคู พลใส่เสื้อเหลืองหมวกเหลือง
พระสุนทรสงคราม เจ้าเมืองสุพรรณบุรี ถือพลหมื่นหนึ่งตั้งค่ายป้อมจำปา พลใส่เสื้อดำหมวกดำ และบรรดาการพระนครนั้นก็ตกแต่งป้องกันเป็นสามารถ
ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าหงสาวดี ยกทัพข้ามกาญจบุรีมาถึงพระนครศรีอยุธยา ณ วันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๔ ตั้งค่ายทัพหลวงตำบลกุ่มดอง ทัพพระมหาอุปราชตั้งค่ายตำบลเพนียด ทัพพระเจ้าแปรตั้งค่ายตำบลบ้านใหม่มะขามหย่อง ทัพพระยาพสิมตั้งค่ายตำบลทุ่งวัดวรเชษฐ
ครั้นรุ่งขึ้น ณ วันอาทิตย์ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๔ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชเจ้าจะเสด็จยกพยุหะโยธาหวยหาญออกไปดูกำลังข้าศึก ณ ทุ่งภูเขาทอง จึงทรงเครื่องราชอลังการยุทธเสด็จทรงช้างต้นพลายแก้วจักรพรรดิ สูงหกศอกคืบห้านิ้วเป็นพระคชาธาร ประดับคชาลังการาภรณ์เครื่องมั่น มีกลางช้างและควาญ พระสุริโยทัย ผู้เป็นอัครราชมเหสี ประดับพระองค์เป็นพระยามหาอุปราช ทรงเครื่องสำหรับราชณรงค์ เสด็จทรงช้างพลายทรงสุริยกษัตริย์สูงหกศอกเป็นพระราชคชาธารประดับคชาภรณ์เครื่องมั่นเสร็จ มีกลางช้างและควาญ
พระราเมศวร ทรงเครื่องสิริราชปิลันธนาวราภรณ์สำหรับพิชัยยุทธสงครามเสร็จ เสด็จทรงช้างต้นพลายมงคลจักรพาฬสูงห้าศอกคืบสิบนิ้ว ประดับคชาภรณ์เครื่องมั่นเสร็จ มีกลางช้างและควาญ
พระมหินทราธิราช ทรงราชวิภูษนาลังการาภรณ์ สำหรับพระมหาพิชัยยุทธ เสด็จทรงช้างต้นพลายพิมานจักรพรรดิสูงห้าศอกคืบแปดนิ้ว ประดับกุญชรอลงกตเครื่องมั่น มีกลางช้างและควาญ
ครั้นได้มหาศุภวารฤกษ์ราชดฤถี พระโหราลั่นฆ้องชัยประโคมอุโฆษแตรสังข์อึงอินทเภรี สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าก็ยาตราพระคชาธารข้ามฟากไป พระอัครมเหสีและพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์โดยเสด็จ มีทหารประจำการขี่กรกุมปืนปลายขอประจำคอทุกตัวสาร ควาญประจำท้ายล้อมเป็นกรรกงโดยขนัด หมู่พยุหแสนยากรโยธาหาญเดินเท้า ถือดาบดั้งเสโลห์โตมรหอกใหญ่หอกคู่ ธงทวนธนูปืนนกสับคับคั่งซ้ายขวาหน้าหลัง โดยกระบวนคชพยุหสงคราม
เสียงเท้าพลและเท้าช้างสะเทื้อนดังพสุธาจะทรุด สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชเจ้าเสด็จยืนพระคชาธาร ประมวลพลและคชพยุห โดยกระบวนตั้งอยู่ ณ โคกพระยา
ฝ่ายกองตระเวนรามัญเห็นดังนั้น ก็เข้าไปกราบทูลพระเจ้าหงสาวดี พระเจ้าหงสาวดีตรัสว่าชะรอยจะเป็นทัพพระมหาจักรพรรดิยกออกมาจะกระทำคชพยุหสงครามกับเรา พระองค์ตรัสให้ยกพลหลวงออกจากค่ายตั้งกระบวน
สมเด็จพระเจ้าหงสาวดีทรงเกราะเครื่องพิชัยยุทธ เสด็จทรงช้างต้นพลายมงคลปราบทวีปสูงเจ็ดศอกเป็นพระคชาธาร ประดับคชาภรณ์เครื่องมั่น มีกลางช้างและควาญ เครื่องสูงสำหรับราชณรงค์แห่โดยขนาด มีหมู่ทหารถือดาบดั้งหมื่นหนึ่งล้อมพระคชาธาร
พระเจ้าแปรทรงอลังการเครื่องพิชัยยุทธ ทรงช้างต้นพลายเทวนาคพินายสูงหกศอกคืบเจ็ดนิ้วเป็นพระคชาธาร ประดับคชาภรณ์เครื่องมั่น มีควาญและกลางช้างยกเป็นกองหน้า มีทหารดาบสองมือพันห้าร้อยล้อมพระคชาธาร และช้างท้าวพระยารามัญคับคั่ง
เหล่าพยุหโยธาเดินเท้าถือสรรพศัสตราดารดาษโดยกระบวน
สมเด็จพระเจ้าหงสาวดีก็ยกพยุหโยธาทวยหาญออกตั้งยังท้องทุ่งตรงหน้าทัพสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ห่างกันประมาณร้อยเส้น เสด็จยืนพระคชาธารคอยฤกษ์
ขณะนั้น สมเด็จพระเจ้าหงสาวดีทอดพระเนตรดูบนอากาศ เห็นพระอาทิตย์แจ่มดวงหมดเมฆหมอก แล้วมีคิชฌราชบินนำหน้าทัพ ครั้นเห็นศุภนิมิตราชฤกษ์ดังนั้น ก็ให้ลั่นฆ้องชัยอุโฆษแตรสังข์อึงอินทเภรีขึ้นพร้อมกัน ก็ตรัสให้ขับพลเข้าโจมทัพสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
ฝ่ายสมเด็จพระมหาจักรพรรดิดำรัสให้แยกพลเป็นปีกกา พลโยธาหาญทั้งสองฝ่ายบ้างโห่เห่เป็นโกลาหล เข้าปะทะประจันตีฟันแทงแย้งยุทธยิงปืน ระดมศัสตราธุมาการตระหลบไปทั้งอากาศ พลทั้งสองฝ่ายบ้างตายบ้างลำบากกลิ้งกลาดเกลื่อนท้องทุ่ง
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า ก็ขับพระคชาธารเสียทีให้หลังข้าศึกเอาไว้ไม่อยู่ พระเจ้าแปรได้ท้ายข้าศึกดังนั้น ก็ขับพระคชาธารตามไล่ช้างพระมหาจักรพรรดิ
พระสุริโยทัยเห็นพระราชสวามีเสียทีไม่พ้น สะอึกออกรับ พระคชาธารพระเจ้าแปรได้ล่างแบกถนัด พระคชาธารพระสุริโยทัยแหงนหงายเสียที พระเจ้าแปรจ้วงฟันด้วยพระแสงของ้าวต้องพระอังสาพระสุริโยทัยขาดกระทั่งถึงราวพระถันประเทศ
พระราเมศวรกับพระมหินทราธิราชก็ขับพระคชาธารถลันจะเข้าแก้พระราชมารดาไม่ทันที พอพระชนนีสิ้นพระชนม์กับคอช้าง พระพี่น้องทั้งสองพระองค์ถอยรอรับข้าศึก กันพระศพสมเด็จพระราชมารดาเข้าพระนครได้ โยธาชาวพระนครแตกพ่ายข้าศึกรี้พลตายเป็นอันมาก
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า จึงให้เชิญพระศพพระสุริโยทัยผู้เป็นพระอัครมเหสีมาไว้ตำบลสวนหลวง...
การศึกครั้งนั้น แม้ว่าจะสูญเสียพระสุริโยทัย แต่กรุงศรีอยุธยาก็ยังสามารถรักษาเอกราชไว้ได้ ส่วนหนึ่งเพราะได้กองทัพจากพระมหาธรรมราชา แห่งเมืองพิษณุโลก มาช่วยเหลือ
อย่างไรก็ดี...แสงสว่างเหนือบัลลังก์กรุงศรีฯ เริ่มริบหรี่ เมื่อสิ้นพระสุริโยทัย...• พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย บริเวณทุ่งมะขามหย่อง พระนครศรีอยุธยา
พระราชานุสาวรีย์นี้ สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระสุริโยทัย
พระมหาวีรกระษัตรีของชาติไทย ผู้ทรงองอาจกล้าหาญ สละพระชนมชีพถวายเป็นราชพลี
ปกป้องจอมไผทไทย สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระปิยบรมราชสวามี
รอดพ้นภยันตรายในสงครามยุทธหัตถี ณ สมรภูมิทุ่งมะขามหย่อง
เมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๔ ปีวอก พุทธศักราช ๒๐๙๑
มหาวีรกรรมอันยิ่งใหญ่นี้ ได้ธำรงรักษาอธิปไตยของชาติไว้สืบเนื่องมาตราบจนปัจจุบัน
เจดีย์พระศรีสุริโยทัย
อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพร ะนครศรีอยุธยา
เจดีย์พระศรีสุริโยทัย เป็นเจดีย์สูงใหญ่สี่เหลี่ยม ทรงย่อไม้มุมสิบสอง ภายในบรรจุพระอัฐิสมเด็จพระสุริโยทัย ตั้งอยู่ในเกาะเมืองด้านทิศตะวันตก ติดกับสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ ๓ (บริเวณกรมทหารเก่า)ถนนอู่ทอง อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ โปรดให้จัดพระราชพิธี ทำพระเมรุถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระอัครมเหสี พระสุริโยทัย ที่ในสวนหลวง ภายในวัดสบสวรรค์ แล้วโปรดให้สร้างพระอารามขึ้นตรงพระเมรุ มีเจดีย์สูงใหญ่สี่เหลี่ยม ทรงย่อไม้มุมสิบสอง บรรจุพระอัฐิสมเด็จพระสุริโยทัย พระอารามที่โปรดให้สร้างขึ้นที่สวนหลวง กับวัดสบสวรรค์ จึงรวมเรียกว่า "วัดสวนหลวงสบสวรรค์" ซึ่งปัจจุบันเป็นวัดร้าง มีสภาพพื้นดินว่างเปล่า ปัจจุบันยังมีพระสถูปเจดีย์องค์ใหญ่เป็นสำคัญ เรียกว่า เจดีย์พระศรีสุริโยทัย ศาลสมเด็จพระศรีสุริโยทัย สร้างไว้ข้างเจดีย์พระศรีสุริโยทัย