กินอย่างไรให้เหมาะสม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมการเติบโตของประชากรทั่วโลก และความต้องการอาหารเพื่อการบริโภค นำไปสู่การก่อมลภาวะให้กับโลกเราโดยอ้อม
ในอดีต การกินอาหารอาจเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน แต่ในปัจจุบัน กลับเป็นเรื่องที่ควรตระหนักและให้ความสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากสามารถส่งผลต่อสุขภาพร่างกายจนอาจก่อให้เกิดโรคภัย นำไปสู่การเสียชีวิต และที่สำคัญยังสามารถส่งผลร้ายทางอ้อมต่อสิ่งแวดล้อมในโลกของเราได้อีกด้วย
ประชากรทั่วโลกที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้ความต้องการทางอาหารมีสูงขึ้นอย่างฉับพลัน บวกกับความหลากหลายของอาหาร ทำให้เรามีการบริโภคอาหารมากขึ้น ดังนั้นเราจะมาดูกันว่า เราควรเลือกรับประทานอาหาร เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของร่างกาย และที่สำคัญ ช่วยรักษาสภาพแวดล้อมของโลก เราให้มีความน่าอยู่ต่อไป ซึ่งถูกตีพิมพ์เป็นคู่มือจำนวน 90 หน้าในชื่อ A Meat Eater's Guide to Climate Change and Health
เริ่มต้นด้วยประเด็นสภาวะอากาศผันผวนและโลกร้อน ที่ทุกคนกำลังประสบกันอยู่ในขณะนี้ กลับไม่ได้มีสาเหตุหลักมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงและการปล่อยควันพิษสู่ชั้นบรรยากาศเพียงอย่างเดียวอย่างที่ใครๆหลายคนเข้าใจแท้จริงแล้ว การเรอหรือการผายลมออกมาบ่อยครั้งของสัตว์ต่างๆและกระบวนการแปรรูปเนื้อสัตว์ก็เป็นสาเหตุหลักที่มีส่วนทำให้สภาพอากาศแปรปรวนและโลกร้อนเช่นกัน เพราะสัตว์ส่วนใหญ่จะมีการระบายก๊าซในกระเพาะออกมาในรูปของก๊าซมีเทน
นอกจากนี้การใช้ปุ๋ยเพื่อปลูกอาหารสัตว์ การปศุสัตว์ กระบวนการต่างๆ ไปจนถึงการปรุงอาหาร มีส่วนทำให้โลกร้อนขึ้นทั้งสิ้น ซึ่งทั้งหมดนี้รวมไปถึงอาหารทุกรูปแบบ เช่น เนื้อวัว เนื้อปลา ธัญพืช ผลิตภัณฑ์นม และผัก แม้กระทั้งการทิ้งอาหารเหลือ ก็สามารถกลายเป็นแหล่งสำคัญในการสร้างมลภาวะ และมลพิษ
"หากครอบครัว 4 คนหยุดรับประทานสเต็กเนื้อแกะสัปดาห์ละ 1 มื้อ จะเท่ากับการจอดรถยนต์ทิ้งไว้ 3 เดือน"
เนื้อสัตว์ เป็นอาหารที่สร้างผลเสียต่อสภาพแวดล้อมมากที่สุด โดยเนื้อแกะเป็นอาหารที่ก่อก๊าซคาร์บอนมากที่สุด คือ ก่อก๊าซ CO2 40 กก. ต่อการกินเนื้อแกะ 1 กก. ตามมาด้วยเนื้อวัว ซึ่งก่อก๊าซคาร์บอน 27 กก. ในเนื้อวัว 1 กก. ที่เรารับประทานเข้าไป
ถ้าเปรียบเทียบกับการขับรถยนต์ การที่รับประทานสเต็กเนื้อแกะส่วนอกขนาด 110 กรัม จะเท่ากับการขับรถยนต์ขนาดกลางเป็นระยะทาง 21 กม. เลยทีเดียว และถ้าหากครอบครัวจำนวน 4 คนหยุดรับประทานสเต็กเนื้อแกะนี้เป็นเวลาสัปดาห์ละ 1 มื้อ จะเท่ากับการจอดรถยนต์ทิ้งไว้ 3 เดือนเลยทีเดียว
ในทวีปต่างๆ คนอเมริกันบริโภคเนื้อสัดว์มากกว่าคนยุโรปถึง 60 % และมากกว่าประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ด้วยตัวเลขจำนวนเนื้อสัตว์ 100 กก. ต่อปี ในขณะเดียวกัน ประเทศจีน เป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าจับตามองในฐานะประเทศที่มีการบริโภคเนื้อสัตว์สูงอย่างรวดเร็วจนใกล้เคียงกับสหรัฐอเมริกา
ด้านสุขภาพ หากบริโภคเนื้อสัตว์จำนวนมาก สามารถนำไปสู่โรคร้ายต่างๆเช่นเดียวกัน เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวานและโรคอ้วน โดยคนทั่วโลกบริโภคเนื้อวัวเพิ่มขึ้นจาก 70 ล้านตันในปี 1960 เป็น 300 ล้านตันในปัจจุบัน
ชีส อีกหนึ่งส่วนประกอบในอาหาร ที่มีส่วนสร้างมลภาวะให้แก่โลกของเราเช่นกัน สาเหตุหลักมาจากการต้องใช้นมจำนวนมากในการผลิตชีส ในส่วนของเนื้อสัตว์อื่นๆเช่น เนื้อหมู เนื้อปลาแซลมอนเลี้ยง เนื้อไก่ ต่างมีส่วนในการก่อมลภาวะเรือนกระจก หรือการปล่อยน้ำเสียจากการกระบวนการเลี้ยงสัตว์ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการทำลายสิ่งแวดล้อมเช่นกัน
การช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการเลือกรับประทานอาหาร สามารถทำได้โดยง่าย ด้วยการจับจ่ายอาหารอย่างพอเหมาะ เพื่อไม่ให้เกิดอาหารเหลือทิ้งและสร้างมลภาวะต่อไป จะช่วยลดก๊าซเรือนกระจกและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ
ที่สุดแล้ว การบริโภคอาหารสำหรับมนุษย์ที่ดี คือการบริโภคอาหารแต่พอดี และให้บริโภคพืชมากกว่าเนื้อสัตว์